ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1907


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๙๐๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านท้ายหาด รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ทุกคำนี่ทิ้งไม่ได้เลย ธรรมเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ถามว่าเดียวนี้เป็นทุกข์ไหม เป็น เพราะสภาพธรรมไม่ใช่เรา ไม่มีเราทุกข์เพราะสภาพนั้นที่เกิดขึ้นเกิดแล้วดับไป แล้วรู้ทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ต้องไว

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไวเลย แล้วรู้ไหม คำว่ารู้ไม่ลืม ใช่ไหม รู้คืออะไร เพราะฉะนั้น สภาพธรรมเป็นทุกข์จริง แต่รู้ทุกข์ไหม นี่คือการที่เราจะมีปัญญาของเราเองไม่ใช่ฟังไปเฉยๆ แต่จากการสนทนากันจะทำให้เราเข้าใจว่าเราเข้าใจแค่ไหนลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่าหรือเดี๋ยวเข้าใจ เดี๋ยวก็ลืมใช่ไหม ก็ต้องเป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่ามีความไม่รู้มากมาย จะให้เป็นความรู้มั่นคงติดต่อกันไปเลยทีเดียวเป็นไปไม่ได้ นอกจากอาศัยการฟังบ่อยๆ การไตร่ตรอง และการมั่นคงว่าสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้แหละ พระธรรมที่ทรงแสดงแล้วว่าเป็นสิ่งที่จริงเกิดดับต้องสามารถรู้ได้ แต่ไม่ใช่เราต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งที่มาจากการฟังเข้าใจก่อน มิฉะนั้นปริยัติไม่มีจะไปปฏิบัติ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยค้านกับความจริงค้านกับพระพุทธพจน์ด้วย

    เพราะฉะนั้น ความเข้าใจแต่ละครั้งจะค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นค่อยๆ ละความไม่รู้จนกว่าจะประจักษ์โดยปัญญาที่สะสมเข้าใจแล้ว ไม่ใช่โดยเรา เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ รู้ทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง รู้แล้ว

    ท่านอาจารย์ รู้แล้วไม่ต้องทำอะไร รู้แล้วใช่ไหม ยังมีเรารึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลยหรือ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามอย่างนี้ก็ต้องไม่มี

    ท่าน ไม่ได้ ไม่ได้เลยต้องเป็นผู้ที่ตรง มิฉะนั้นไม่มีปริยัติ ไม่มีปฏิบัติ ไม่มีปฏิเวธ ถ้าตอบอย่างนี้เหมือนกับว่าปฏิเวธแล้ว รู้แล้วใช่ไหม นี่เป็นสิ่งที่ผิด

    เพราะฉะนั้น คนส่วนใหญ่จะไม่ฟังพระธรรม จะไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพยิ่ง แต่จะฟังหรือคิดเอง คนอื่นพูดอะไรมา คล้อยตามโดยง่ายเพราะไม่ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ตรงไหม ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไหมฟังคนอื่น ใช่ไหม สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ธรรมที่ได้ฟังสามารถที่จะดับกิเลสถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ไหม เพราะไม่รู้อะไร

    จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และตรง ซึ่งยากเพราะอกุศลมากพร้อมที่จะพาไปผิด ด้วยความต้องการเพราะว่า โลภะเป็นนายมานานแสนนาน มีนายใหญ่มากไม่มีใครเสมอ ตื่นขึ้นมามีนายหรือยัง

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีแล้ว แค่ลืมตาก็นายนั่นแหละ ลืมตาทำไม รู้ไหม

    มีคำในพระไตรปิฎก ที่ว่าการแสวงหา เป็นทุกข์ในสังสารวัฏ นอกจากเกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์ในอดีตที่จะต้องมีปัจจุบัน และทุกข์ในปัจจุบันที่จะต้องทำให้เกิดทุกข์คือการเกิดดับของสภาพธรรมในอนาคตแล้ว แม้ปัจจุบันนี้ใครเห็นทุกข์จากการต้องแสวงหาบ้าง แค่ลืมตาก็แสวงหาแล้ว รู้ไหม เป็นทุกข์ที่ต้องแสวงหา แต่ทุกข์แท้ๆ ที่เป็นอริยสัจจะคือขณะนั้นเกิดขึ้น และดับไปไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น คำว่าอนัตตาจะไม่มีคำสอนในศาสนาอื่นเลยทั้งสิ้น เป็นอัตตาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครทำให้เราเกิดอัตตา คนนั้นไม่ได้สอนให้เราเข้าใจความจริงว่ากว่าจะไม่ใช่เราจริงๆ ต้องมีปัญญาระดับขั้นไหนบ้าง ขั้นฟังขาดไม่ได้เลย คิดเองไม่ได้เลย เชื่อใครไม่ได้เลย แม้แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพระสารีบุตรท่านก็กล่าวว่าท่านรู้แจ้งสภาพธรรมหมดกิเลสด้วยตัวท่านไม่ใช่เพราะเชื่อ แต่เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นปัจจัยให้ปัญญาของท่านเกิดได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากว่าปัญญาของใครจะเกิด พึ่งใคร

    ผู้ฟัง ตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ตัวเองจริงๆ พึ่งได้ไหมถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ลืมไม่ได้เลยต้องตรงจริงๆ ว่าพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึ่งเมื่อไหร่ ยามทุกข์ยากก็ไปกราบไหว้รูปนั้นรูปนี้จะทำให้หายทุกข์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลยเพราะไม่ใช่ปัญญาก็จะต้องมีทุกข์ที่จะต้องมีการเกิดแล้วก็ดับไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ปริยัติศึกษา และเข้าใจขึ้นๆ เป็นการรอบรู้จากการที่สนทนากันจะรู้ว่ารอบรู้แค่ไหนใช่ไหม ถ้ายังไม่รอบรู้ก็ผิดๆ ถูกๆ ไปตามเรื่องใช่ไหม แต่ถ้ารอบรู้ตรงกันทุกคำ และเป็นความจริงด้วยกว่าจะถึงปฏิ ปัตติ ปริยัติต้องเป็นสัจจญาณ

    ต้องไม่ลืมธัมมจักรกัปปวัตนสูตรทรงแสดงกับพระปัญจวัคคีย์ อาการ ๓ รอบของอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ ทุกคนรู้ชื่อ แต่ว่าสัจจญาณในอริยสัจ ๔ คืออะไร กิจญาณในอริยสัจ ๔ คืออะไร กตญาณในอริยสัจ ๔ คืออะไร นี่คือพระปฐมเทศนาธัมมจักรกัปวัตนสูตร

    แล้วเราทำไมผ่านไปไม่สนใจคิดหรือว่าเพียงแค่นี้หมดกิเลสรู้แล้ว ไม่ใช่เลย แม้การฟังก็ยังต้องฟังโดยละเอียดโดยรอบคอบ โดยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะว่าทุกคำมีค่าไม่ให้เราเห็นผิด และแม้แต่คำว่าปริยัติป้องกันความเห็นผิด เข้าใจว่าไปปฏิบัติไม่ต้องศึกษาธรรมแล้วจะรู้ความจริง ใครสอนอย่างนี้รู้ความจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่า

    ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้วจะไปรู้อะไรเมื่อไรที่ไหนไปคอยวันไหนจะไปรู้อะไรไปทำอะไรให้รู้อะไร ในเมื่อสิ่งนั้นยังไม่เกิด แต่สิ่งนี้กำลังปรากฏเพราะเกิดแล้วแล้วไม่รู้ จะต้องมีปัญญาขั้นฟังเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เรา แต่อะไรที่รู้ สติสัมปชัญญะอีกระดับหนึ่งไม่ใช่ขั้นฟัง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้รู้รึยัง

    ผู้ฟัง ก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าเข้าใจ เพียงเข้าใจเรื่องราว หรือคำนั้นซึ่งลึกซึ้งใช่ไหม แต่ยังไม่ได้ประจักษ์มิฉะนั้นจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าแม้ภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลเดินตามหลังพระองค์ไปสุนักขัตตลิจฉวีบุตร เป็นเชื้อสายของเจ้าลิจฉวี ก็ยังคิดว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมีประโยชน์มากทำให้คนพ้นทุกข์ได้

    แต่ไม่ใช่เพราะการตรัสรู้ คิดว่าเพราะคิดเอาทั้งหมด เพราะฉะนั้นหลายคนไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดว่าพระองค์ประเสริฐเพราะคิดเก่ง รู้ไปหมดคิดไปหมดแต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่คิดเป็นการประจักษ์แจ้งตรัสรู้สภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเกิดจริงๆ ดับจริงๆ แม้แต่จิตหนึ่งขณะก็ทรงแสดงโดยละเอียด ว่าจิตนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ และก็สภาพธรรมที่ไม่เกิดกับจิตนี้แต่เกิดกับจิตต่อไป สามารถจะถึงความเป็นมรรคมีองค์ ๘ ได้

    นี่คือการศึกษาไม่ใช่ว่าเราไปคิดเองหมด ใครเขาบอกอะไรเราก็ทำตามเพราะอะไร หวังจะรู้ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจแต่เป็นโลภะเป็นความไม่รู้เมื่อไหร่ ก็คือตรงกันข้ามกับปัญญาไหม

    เพราะฉะนั้น มีพระธรรมเป็นที่พึ่งให้พ้นจากความเข้าใจผิด ให้พ้นจากการหลงผิด ว่าเข้าใจธรรมแต่ความจริงรู้หรือยัง ผู้ตรง ตรงจริงๆ ปริยัติปฏิบัติ ปฏิเวธ ตั้งสามรอบรู้ในสามหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ ยัง เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นขั้นไหน ขั้นฟัง ปริยัติ ฟังใคร

    ผู้ฟัง ฟังผู้รู้

    ท่านอาจารย์ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ ๒๕๐๐ กว่าปี ยังมีอยู่ ที่จะกล่าวถึงคำจริงที่ตรัส จักขุวิญญาณ ภาษามคธี ภาษาบาลี หมายความถึงเห็นเดี๋ยวนี้จะต้องบอกไหมว่าเดี๋ยวนี้จักขุวิญญาณเกิดดับ ไม่เที่ยง ต้องพูดอย่างนี้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเลย เพราะใครพูดถึงจักขุวิญญาณ เรารู้ว่ากำลังเห็น อภิธรรมปิฏกหรืออภิธัมมัตถสังคหะปริเฉทต่างๆ มีภาษาบาลี แต่หมายความถึงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ นั่นจึงจะเป็นการศึกษาคือรู้ตัวธรรมจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่ไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจ เข้าใจมากพอที่จะเป็นปริยัติหรือยัง ยัง ปริยัติรอบรู้ทุกคำสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ขัดกันเลย

    อนัตตาต้องอนัตตา ถ้าคิดว่าอนัตตาแต่ทำหรือไปปฏิบัติถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผิด

    ท่านอาจารย์ ผิดก็ต้องว่าผิด ถูกก็ต้องว่าถูก นี่คือผู้ตรงซึ่งจะเป็นผู้ที่ได้สาระจากพระธรรมเพราะเหตุว่าปริยัติเป็นปริยัติจะเป็นปฏิบัติไม่ได้

    ใครสอนให้ทำคนนั้นเข้าใจพระธรรมหรือเปล่า ไม่เข้าใจแม้แต่คำว่าอนัตตา เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ตรง ยังไม่ได้รอบรู้ในปริยัติแต่เริ่มฟังเพื่อที่จะเข้าใจจนกว่าจะมั่นคงเป็นสัจจญาณ

    เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ รู้ได้แต่ยังไม่รู้ใช่ไหม ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง รู้ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ไม่ได้ไม่มีสาวกเลย ใช่ไหม ท่านฟังธรรมกันมาเป็นกัปๆ แต่เราก็ไม่ต้องไปนับ เพียงแต่ว่าเข้าใจขึ้นใครรู้ต้องไปถามคนอื่นหรือเปล่า ถ้าถามใครว่าถูกหรือผิด ขณะนั้นไม่เข้าใจ แล้วเขาบอกแล้วเราจะเข้าใจหรือ นั่นคือเขาบอก

    แต่ความเข้าใจต้องเกิดจากการไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น เหตุที่จะให้เกิดการ เข้าใจจริงๆ ก็คือว่ารู้ว่าแต่ละคำเป็นคำที่มีค่าหาประมาณไม่ได้เลย เป็นรัตนะที่แท้จริง ไม่ว่ายามทุกข์ยาก ยามขัดสนหรือว่า ยามลำบากยังไงก็ตาม พระธรรมที่ได้ฟังทำให้สามารถที่จะอารักขาจิตในขณะนั้น ไม่ให้เดือดร้อนหรือเป็นทุกข์ เพราะเข้าใจว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป จนกว่าจะรู้ความจริงซึ่งเป็นปฏิ ปัตติ

    เพราะฉะนั้น ใครจะบอกไปปฏิบัติไปไหม

    ผู้ฟัง ไม่ไป

    ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคง ต้องมั่นคงเพราะว่ามีหลายคน ฟังธรรมแล้วไปปฏิบัติหมายความว่ายังไง ยังคิดว่ามีหนทางอื่นแล้วอะไรพาไป ถ้ากำลังเข้าใจธรรมเดี๋ยวนั้นจะไปไหนไหม

    เดี๋ยวนี้กำลังเข้าใจสภาพธรรม แล้วจะต้องไปที่ไหนหรือเปล่า

    ในพระไตรปิฏก แต่ละท่านที่ได้ฟังพระธรรมสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เมื่อได้ฟัง ไม่ได้ไปไหนเลย และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสบอกให้ใครไปไหน แต่ให้อบรมเจริญปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ความจริงเป็นอย่างนี้เปลี่ยนได้ไหม เมื่อเปลี่ยนไม่ได้แล้วไปทำอะไรที่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น พระศาสนาก็อันตรธานเพราะคำไม่จริง ทำลายคำจริง อาจหาญร่าเริงที่จะเป็นสาวกไหม

    ผู้ฟัง อาจหาญ

    ท่านอาจารย์ เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของใครเลย

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่พี่เขาถามว่ามีใครกำหนดมาไหม ใช่ไหม อยากรู้เหมือนกัน รบกวนท่านอาจารย์ตอบ

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้น และดับไปพร้อมเจตสิก เดี๋ยวนี้จิตเห็นดับ ถูกต้องไหม ใครกำหนดให้จิตต่อไปรับสิ่งที่จิตเห็นเห็น ใครกำหนด สัมปฏิจฉันนะชื่อภาษาบาลี แต่หมายความว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ใครจะรู้บ้างว่าจิตเห็นหนึ่งขณะเท่านั้นเอง จิตขณะต่อไปไม่เห็นแล้ว เพียงแค่หนึ่งขณะต่อไปไม่เห็น แต่รู้สิ่งเดียวกับที่จิตเห็นๆ

    เพราะขณะนั้น จักขุปสาทยังกระทบโดยผัสสเจตสิก ยังกระทบสิ่งที่ยังไม่ดับ แต่ว่าจิตทุกจิตจะทำกิจของตนๆ ด้วยเหตุนี้ทรงแสดงว่าจิตทั้งหมดจิตไหนทำกิจอะไรซึ่งกิจของจิต ทั้งหมดมี ๑๔ กิจ ก้าวก่ายกันไม่ได้ สับสนกันไม่ได้ ให้จิตนี้ไปทำกิจนั้นก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ทันทีที่จิตเกิดขึ้นเห็นทำทัสสนกิจดับแล้ว จิตต่อไปไม่ได้ทำทัสสนกิจ แต่ทำสัมปฏิจฉันนะกิจ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราอยู่ในโลกมายากล ระดับไหน ใครก็ไม่สามารถที่จะทำอย่างนี้ได้เลย จะลวงยังไงก็ไม่เท่ากับจิต เกิดดับสืบต่อแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ และสภาพจำซึ่งเกิดกับจิตก็จำหมดเลย

    มีหน้าที่จำอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่รู้สึกสุขทุกข์ ไม่มีอะไรเพราะเจตสิกแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ จะไปก้าวก่ายทำกิจของเจตสิกอื่นก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณ จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดวงขาดสักดวงได้ไหม ให้เหลือ ๖ ได้ไหม ไม่ได้ บวกไปอีกสัก ๑ ให้เป็น ๘ ได้ไหมเพราะเป็นอนัตตา

    เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ใครรู้ว่าจิตเห็นเดี๋ยวนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ และจิตก็ต้องดับแน่ๆ เร็วสุดที่จะประมาณได้ นายมายากลยังไงๆ ก็จับไม่ได้ใช่ไหมเพราะเหตุว่าแม้ปัญญาจะเกิดก็เข้าใจนิมิต

    สภาพธรรมที่เกิดดับจนปรากฏให้รู้ว่า ธาตุรู้ลักษณะรู้ และไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่ใครจะไปรู้จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะใช่ไหม

    เป็นความจริงหรือเปล่าว่าการฟังทำให้เราสามารถเข้าใจความเป็นอนัตตา แล้วก็รู้กำลังปัญญาของตัวเองด้วยปัญญาระดับไหน ใครจะเอาคำไหน ปริญญาไหนสอบมาแล้วได้เท่านั้นเท่านี้ แต่เราเข้าใจธรรมหรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรมจะรู้ว่าปริญญาหมายความถึงอะไร ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องไปสอบ แล้วเขาบอกว่าถูกจำได้ถูก แต่ว่าต้องมีความเข้าใจในความเป็นอนัตตา

    จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดับแล้ว จิตต่อไปเกิดขึ้นเห็นหรือเปล่า เห็นไหม นี่คือการฟังธรรมอย่างละเอียดเพื่อเข้าถึงความเป็นอนัตตา จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็นเห็นหรือเปล่า เหมือนเห็น เพราะว่าไม่ปรากฏว่าจิตไหนดับ และจิตไหนเกิดต่อ เหมือนกับว่าเห็นอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม

    แสดงให้รู้ว่าความไม่รู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ละเอียดกว่านี้แค่ไหน นี่เพียงส่วนที่ทรงแสดงที่เราสามารถเข้าใจได้ แต่ส่วนละเอียดอีกมาก ที่ไม่ได้ทรงแสดงก็มี ที่ทรงแสดงเพราะว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังที่สามารถเข้าใจจนกระทั่งอบรมเจริญปัญญาดับกิเลสได้ก็มี

    เพราะฉะนั้น ทรงแสดงเฉพาะส่วนที่สามารถจะเข้าใจได้อุปมา ใบไม้สองสามใบในกำมือกับใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้น เห็นพระปัญญาคุณหรือยัง

    ฟังใคร ไม่ฟังคนอื่นแน่นอนใช่ไหม แต่พระธรรมที่ทรงแสดงทำให้เรา เห็นความเป็นอนัตตาไม่มีใครกำหนด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามธาตุ ธาตุจักขุวิญญาณธาตุสัมปฏิจฉันนะ เปลี่ยนคำแล้ว เป็นมโนธาตุไม่ใช่จักขุธาตุไม่ใช่จักขุวิญญาณธาตุ เพื่อเกื้อกูลให้เห็นจริงๆ ว่าทั้งหมดเป็นธรรมที่ละเอียดๆ ๆ จนกระทั่งเมื่อเข้าใจขึ้น รอบรู้ขึ้นจึงจะเป็นปัจจัยให้ปฏิ ปัตติเกิดได้

    เพราะฉะนั้น จะไปหลงทำอะไรโดยไม่รู้อะไร แล้วประโยชน์คืออะไรนอกจากเสียประโยชน์แทนที่จะเป็นขณะที่กำลังฟังพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเป็นปัจจัยให้สามารถ ที่วันหนึ่งก็จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถึงเฉพาะลักษณะหนึ่ง ทีละลักษณะหนึ่ง ไม่ได้หลายอย่างเลย ถ้าหลายอย่างไม่ได้ให้เข้าใจ หลายอย่างปนกันจะเข้าใจอะไร แต่ถ้าทีละหนึ่งก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจเฉพาะหนึ่งนั้นได้

    เพราะฉะนั้น บางทีไม่ต้องตอบตรงๆ ตอบตรง มีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้ให้ความเข้าใจ เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะชอบถามมาตอบไป แต่ว่าเขาเข้าใจอะไรขึ้นหรือเปล่ากับการที่พูดถึงความจริงจนกระทั่งเขาเข้าใจด้วยตัวเอง และก็สามารถที่จะรู้ได้ถึงความละเอียดของธรรม ว่าไม่ใช่ใครจะไปคิดเองหรือใช้สำนวนที่เหมือนกับจะถูก แต่ว่าไม่ถูก เพราะเหตุว่าต้องรู้ความจริงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    จิตเห็นดับแล้วรู้ไหมว่ามีจิตต่อไปเกิดขึ้นรู้จักจิตที่เกิดต่อไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้จักกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักกันเลยใช่ไหม จิตเห็นก็ดับไป และก็เป็นปัจจัยโดยที่ว่าไม่ต้องไปบังคับเลย การดับไปของจิตขณะก่อนเป็นนัตถิปัจจัย จิตนั้นต้องไม่มีจิตนี้จึงจะเกิดได้ ถ้าจิตนั้นยังคงมีอยู่อุปปาทขณะ ฐิติขณะ ภังคขณะ ยังไม่หมดไปทั้ง ๓ จิตต่อไปเกิดไม่ได้เลย ใครกำหนด

    ผู้ฟัง ไม่มีใครกำหนด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครกำหนดแต่เป็นนิยามของธรรม ของจิตที่จะต้องเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟั จิตแต่ละดวงนี้ก็คือไม่เหมือนกันเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อันเก่าเลย ใหม่ตลอด เพราะฉะนั้น ในแสนโกฏกัปจิตอะไรก็ดับไปแล้ว เมื่อวานนี้ก็ดับไปแล้ว ก็ดับไปเลยเพื่อที่จะได้ไม่ติดข้องในสิ่งซึ่งเหมือนเดิมแต่ความจริงไม่ใช่

    จิตเห็นต้องเห็น แล้วต้องเห็นแต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรไม่ใช่จิตเห็นแล้ว แม้แต่จิตขณะต่อจากจิตเห็นก็ไม่ใช่จิตเห็น ไม่ได้ทำทัสสนกิจด้วย เห็นอย่างจิตเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย แต่เหมือนเห็น เพราะเหตุว่ารู้อารมณ์เดียวกัน เพราะรูปยังไม่ดับ จะให้ไปรู้อื่นไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ถ้าจิตเห็นอีกทีหนึ่งก็ไม่ใช่จิตตัวเก่า

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ดับแล้วดับไปไม่กลับมาอีก ค่อยๆ สะสมความเป็นอนัตตา เพื่อที่ละความติดข้อง ถ้ายังติดข้องยังคงไม่รู้ไม่มีทางเข้าใจเห็นว่าไม่ใช่เรา และเป็นสิ่งที่จะต้องรู้ว่าอุปาทานขันธ์อยู่ที่เห็น อยู่ที่สิ่งที่ปรากฏทุกอย่างที่มีจริงแล้วไม่รู้เป็นอุปทาน ที่ตั้งของความติดข้องทั้งนั้น

    นี่คือความละเอียดยิ่งเพื่อละความเป็นเรา ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จะเป็นนั่งทำอะไรก็ไม่มีทางจะไปละความเป็นเราได้ใช่ไหมทรงแสดงไว้ว่าสภาพธรรมที่จะเกิดต้องมีปัจจัยอาศัยให้จิตนั้นเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น จิตจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องมีนามธาตุหรือนามธรรมอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต

    นามธรรมซึ่งเกิดกับจิตแต่ไม่ใช่จิตมีถึง ๕๒ ประเภทใช้คำว่าเจ ตะ สิ กะ (เจตสิก) หมายความถึงธรรมที่เกิดกับจิตเกิดในจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิตแยกกันไม่ออกเลย เวลาที่รับประทานแกง แกงเผ็ด แกงมัสมั่น แกงกะหรี่ แกงอะไรก็แล้วแต่ น้ำแกงนั้นมีเครื่องแกงหลายอย่างไหม แยกออกไหม แยกออกไหม ขนาดรูปยังแยกไม่ออกแล้วนามธาตุซึ่งไม่มีรูปเลยจะละเอียดกว่านั้นสักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์หรือเปล่าที่ทรงแสดงเรื่องเจตสิก ทุกคำเป็นรัตนะ ค่ามหาศาล จากการมืดสนิทเกิดมาก็ไม่รู้อะไรเลยไม่มีการได้ยิน ได้ฟังสักคำที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ตลอดชีวิต กับโอกาสที่มีโอกาสจะได้ฟังอย่างวันนี้ใช่ไหม ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่ต้องมีปัจจัย แน่นอน

    กรรมพามา อย่างอื่นไม่ได้พามาเลย กุศลกรรมก็ทำให้ได้ยินเสียง ซึ่งครั้งหนึ่งทรงแสดงด้วยพระองค์เอง ณ พระวิหารต่างๆ เป็นคำภาษามคธีภาษาบาลี แต่ว่าใครจะเข้าใจในภาษาใดได้ทั้งหมด แต่จะไปเปลี่ยนคำที่ตรัสไว้ในภาษานั้นให้เป็นอีกภาษาหนึ่งไม่ได้เพราะนี่เป็นการรักษาคำจริง ความจริงซึ่งถ้าเปลี่ยนไปจะหาคำเก่าไม่เจอเพราะว่าแต่ละภาษาจะไม่มีคำที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้โดยตลอด ถ้าไม่มีการศึกษา

    คนไทยนี่แหละใช้ภาษาไทยว่าเห็น ได้ยิน คิด นึก สุข ทุกข์ แล้วเข้าใจธรรมหรือเปล่ายังต้องศึกษาฉันใด ชาวมคธแคว้นนั้นต้องฟังพระธรรมแม้ว่าใช้คำนั้นในชีวิตประจำวัน แต่ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงอะไรธรรมซึ่งเกิดดับชาวมคธจะรู้ไหม เขาใช้คำว่าจักขุวิญญาณ ใช้คำว่ารูปารัมมณะ แต่เขารู้ไหมว่าสภาพสองอย่างเกิดดับไม่มีทาง เหมือนเราเห็นเกิดดับหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอฟังพระธรรมรู้เลย ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จนกว่าจะรู้ความจริง แล้วก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเข้าใจพระธรรม เป็นคำตอบหรือยัง

    เพราะเหตุว่าถ้าเพียงตอบใช่หรือไม่ใช่อย่างนั้นอย่างนี้ไม่เป็นประโยชน์กับคนฟัง แต่ถ้าได้ฟังธรรมด้วยตัวเองไตร่ตรองด้วยตัวเอง คำตอบของคนนั้นเป็นคำตอบที่เกิดจากการพิจารณาไตร่ตรอง และเข้าใจ ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เมื่อเข้าใจแล้วจะให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ใครจะมาบอกว่าธรรมเที่ยง เราก็รู้ว่าไม่จริงพูดไม่ถูก ไม่ได้ฟังธรรมคิดเองใช่ไหม หรือว่าให้ไปนั่งทำอะไร เพื่อจะได้รู้การเกิดดับของสภาพธรรม ไม่จริงเพราะว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลย ใช่ไหมธรรมแท้ๆ เลยกำลังเกิดขึ้นกำลังปรากฏแล้วก็ดับด้วยยังไม่รู้ แล้วจะไปไหนแล้วจะไปทำอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไร ก็มีความเป็นเราที่จะทำเพื่อให้เรารู้แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่เราเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็มีคำสอนที่อาจจะคล้ายคลึงแต่ไม่ใช่ เป็นธรรมปฏิรูป ของเทียมไม่ใช่ของแท้ เพราะฉะนั้น ผู้ฟังก็แล้วแต่บุญกรรม สะสมมาที่จะเชื่อก็เชื่อไป สะสมมาที่จะรู้ว่าไม่ใช่เหตุผล ก็ไม่เชื่อใช่ไหม แล้วก็ฟัง

    สามารถที่จะพิจารณาว่าคำไหนเป็นคำจริง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นเหตุให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะคลาย ต้องมีการคลายก่อนจะดับ นี่ไม่มีการรู้อะไรเลยแล้วก็ไปดับได้ยังไง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งแล้วแต่การสะสมมา ว่าสะสมมาที่จะเห็นผิด แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานมีคนเห็นผิดไหม มากไม่ไปเฝ้าแม้ว่าพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ไปตามการเห็นผิด เพราะฉะนั้น อันตรายอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะพ้นจากอันตรายได้โดยการไตร่ตรองว่าเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    28 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ