ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1911


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๙๑๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านเรือนไหม จ.ราชบุรี

    วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ก็มีทั้งกัลยาณมิตร มิตรที่ดีงามเป็นประโยชน์เกื้อกูล กับมิตรชั่ว จะคบมิตรไหน ชีวิตที่จะต้องมีปนเปไปกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ บุคคลที่นำประโยชน์มาให้อย่างแท้จริง ต้องบุคคลที่สามารถที่จะเกื้อกูลให้ชีวิตของบุคคลนั้นไปสู่ในทางที่ดีงามซึ่งจะมีมากขึ้นก็ต่อเมื่อได้เข้าใจถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น ก็ยาก จากการที่มีชีวิตโดยไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วทำอะไรบ้าง จนตายไปแต่ละภพแต่ละชาติ กับการที่มีโอกาสที่จะเริ่มได้ฟังได้เริ่มรู้ว่า ชีวิตสั้น และก็ชีวิตที่สั้น สั้นแบบไหน ใช่ไหม แบบสะสมอกุศลไว้เต็มเปี่ยม หรือว่าสะสมคุณความดีทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งปัญญาสามารถที่จะรู้เข้าใจ และนำไปในกิจทั้งปวง

    แม้แต่ขณะนี้ที่มาฟังธรรมก็เพราะมีปัญญา ที่เห็นว่าจากไม่รู้ควรรู้ และจะรู้ได้จากไหน จะรู้ได้จากใครก็มีผู้เดียวที่สามารถที่จะให้ความจริงได้ ไม่ผิดเลย และถึงที่สุดด้วยคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น จากการฟัง และก็เริ่มเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่วิเวกคือขณะที่สงัด สงบจากอกุศล และอกุศลเร็วขนาดไหน สะสมมาในจิตมากมายมหาศาล แค่เพียงเห็นก็มีแล้ว ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ได้ยินก็มีความติดข้องแล้ว

    เพราะฉะนั้น เรื่องวิเวกเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ค่อยๆ อบรมเจริญไปด้วยการเริ่มเข้าใจความจริงก่อน แล้วถึงจะสามารถสละ ละความติดข้อง ซึ่งติดข้องมานานมาก เพราะฉะนั้น วิเวกที่นี่ให้ทราบว่าจากความเห็นผิด จากความไม่รู้ จากอกุศลทั้งหมดซึ่งจะค่อยๆ เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น

    ส่วนศัพท์ทั้งหลายก็ตามกำลังของปัญญา ขณะที่ฟังขณะนี้ วิเวกหรือยัง ยังก็ถูก เพราะว่าต้องเข้าใจมากทีเดียว กว่าจะเริ่มค่อยๆ คลายได้ และระดับขั้นของวิเวก ก็มีจนกระทั่งถึงปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารยเป็นคำถามจากท่านผู้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของการปล่อยวางต้องทำอย่างไร เพราะดูเหมือนจะยึดติดว่า เราจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้สำเร็จลุล่วงอยู่ตลอดเวลาไม่จบสิ้น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมหรือเปล่า ฟังแล้วเหมือนว่าเข้าใจแล้วจึงถาม แต่คำถามส่องถึงความไม่เข้าใจธรรม เพราะว่าธรรมมีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ ใครที่ไหนทำอะไร เพราะฉะนั้น การฟังคำแรกจะต้องเข้าใจไปจนถึงคำสุดท้ายไม่เปลี่ยน

    ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว เดี๋ยวนี้ได้ยินแล้วใครทำอะไร แล้วจะทำอะไร ถ้ายังคิดที่จะทำหมายความว่าไม่เข้าใจธรรมทุกครั้งแม้เพียงคิด ก็หมายความว่าขณะนั้นเป็นเราที่คิดว่าทำ ไม่ใช่เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วมีเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้จะทำอะไร ได้ยินเดี๋ยวนี้เกิดแล้วจะทำอะไร คิดนึกเดี๋ยวนี้เกิดแล้วจะทำอะไร

    แต่ไม่รู้เหตุว่าทำไมสภาพธรรมนั้นจึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ทุกๆ วันก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่หลากหลายมากตามเหตุตามปัจจัยซึ่งไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่เริ่มต้นที่จะเข้าใจถูกต้อง มีความคิดว่าเราฟังธรรมแล้วเราจะทำ อันนั้นหมายความว่าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้น เพียงแค่ประโยคแรก ก็ต้องไตร่ตรองว่าทำอะไรได้ ที่จะทำ เดี๋ยวนี้ทำได้ไหม เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ แล้วจะทำอะไรได้เมื่อไหร่ในเมื่อเดี๋ยวนี้ก็ยังทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ใครทำอะไรได้ ช่วยบอก ไม่ได้แน่ เห็นแล้ว ทำคิดไม่ได้แน่ คิดแล้ว ทุกอย่างที่คิดว่าจะทำเกิดแล้ว แม้แต่ความคิดว่า จะทำอะไร ขณะนั้นก็เกิดความคิดอย่างนั้นแล้วไม่คิดอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้นๆ ในความเป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดไม่ใช่เรา อยากมีปัญญา ใช่ไหม แต่รู้จักปัญญาหรือเปล่า ปัญญาไม่ใช่ภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาไทยคือความเข้าใจถูกความเห็นถูก ต้องมีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่เข้าใจสิ่งนั้น คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

    เข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงของสิ่งนั้น ขณะใดที่เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งนั้นขณะนั้นละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจ ไม่ต้องมีตัวตนไปทำอะไรอีกเลย ขณะใดก็ตามที่ฟังเข้าใจความเข้าใจตรงกันข้ามกับความไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ ฟังก็ไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีโสตปสาทรูปไม่ได้ยินแน่ เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถจะคิดจากการได้ยินได้ฟังเพราะไม่ได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างทุกขณะทั้งหมดเลยไม่ว่าจะพูดถึงอะไร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแน่นอน ถ้ายิ่งศึกษาปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้น ก็จะยิ่งเข้าใจแต่ละอย่างว่าไม่มีใครที่จะไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ฟังแล้วเข้าใจมีความเห็นที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นก็จะละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจ

    แต่ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ จะให้ไปละความไม่เข้าใจได้ไหมก็ยังคงเป็นความไม่เข้าใจอยู่

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์การอบรมเจริญปัญญาที่จะถึงการรู้เหตุที่จะไม่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นอีกต่อไป กราบท่านอาจารย์ให้ความละเอียดด้วย

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้พูดถึงเรื่องโลภะ และตัณหามีมากใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีมาก

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่หมด

    ผู้ฟัง แค่เข้าใจว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงก็ยังไม่ทราบเลย แค่มองก็ติดข้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่หมดนั่นคือคำตอบ

    ทุกคนมีทรัพย์สมบัติมากไหม ตอนตายเอาไปได้ไหม แม้แต่ร่างกายซึ่งเคยยึดถือว่าเรา ตัวเราก็ยังเอาไปไม่ได้เลย แต่จิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายตั้งแต่นานแสนนานมาแล้ว ถ้าย้อนจากวันนี้ก็จากเมื่อวานนี้จนกระทั่งจากขณะแรกที่เกิด

    เกิดก็ย้อนไปถึงชาติก่อนๆ อีก เอาอะไรมาบ้างสู่โลกนี้ ก็จะเห็นได้ตราบใดที่ยังมีกิเลสมากติดข้องมาก ทางตารู้ตัวกันเอง ใครติดข้องเท่าไหร่คนอื่นบอกไม่ได้ใช่ไหม ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นอาหารทุกรสติดข้องแค่ไหน ใครก็บอกไม่ได้อีก เต็มไปด้วยการสะสมความติดข้องในทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปเอาอะไรไป ทรัพย์สมบัติเอาไปไม่ได้เลย แต่เอาความไม่รู้ และความติดข้องไปด้วยแน่นอน เพราะเหตุว่าแต่ละขณะแต่ละครั้งที่โลภะความติดข้องเกิดแล้วดับ สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็มีฉันทะอัธยาศัยความพอใจ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจต่างๆ กันไปตามการสะสม

    เพราะฉะนั้น ก็มีแต่ความไม่รู้เอาไปด้วย แล้วก็กิเลสทั้งหลาย โลภะก็มาก โทสะก็มาก โมหะก็มาก อิสสา มานะสารพัดอย่างรวมทั้งความเห็นผิดไม่เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเหตุเป็นอย่างนี้ แล้วถึงการกระทำอกุศลกรรม เพราะโลภะบ้าง โทสะบ้างเป็นต้น เป็นเหตุ

    เหตุมีต้องได้รับผลแน่ผลต้องมีแน่ และผลนั้นก็ต้องมาจากเหตุที่ได้ทำไว้นั่นแหละไม่ได้มาจากเหตุอื่นที่ไม่ได้ทำ หรือว่าของคนอื่นก็ไม่ใช่ แต่เมื่อกรรมใดที่ได้ทำไว้แล้วจากจิตแล้วก็สะสมสืบต่อจนกระทั่งถึงกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ก็ยังเป็นปัจจัยที่สามารถที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ที่เราจะพูดว่ากรรม และผลของกรรม และต้องชัดเจนว่าขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าคนอื่นรู้ไม่เท่าเราหรอก ว่ากรรมดีได้ทำมามากเท่าไหร่ และอกุศลที่ยังมีอยู่มากแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น เลือกไม่ได้เลย หลังจากตายชั่วขณะที่จิตขณะสุดท้ายดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด มืดสนิท ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย จะเป็นอะไร เป็นใครอยู่ที่ไหน นรกมี สวรรค์ก็มี พรหมโลกก็มีสัตว์เดรัจฉานก็มี

    เพราะฉะนั้น ไม่อยู่ในอำนาจไม่มีใครอยากเลือกไปเป็นมดไม่มีใครอยากเลือกเป็นช้าง อยากจะเป็นเทวดาหรืออยากจะเป็นมนุษย์ แต่ทำไมมีมด ทำไมมีนก ทำไมมีสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะกรรมที่ได้ทำแล้ว และใครจะไม่ไปถ้าไม่ใช่พระโสดาบันยังมีเหตุที่พร้อมที่จะให้ไป ตามกรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเป็นทางที่จะทำให้เห็นโทษภัยของสิ่งที่ไม่ดีว่าสิ่งที่ไม่ดีที่สามารถกระทำกรรมหนักๆ ได้ ฆ่า มารดาบิดาเป็นต้น ก็สามารถจะเกิดเพราะการสะสมของกรรม เพราะความไม่รู้ เพราะความติดข้อง เพราะความโกรธเพราะความโลภ แล้วแต่อะไรจะเป็นเหตุ

    ใครรู้บ้างว่าจะไม่กระทำกรรมนั้น เพราะว่าขณะนี้ไม่ทำจริงแต่เหตุสะสมทุกวัน โลภะยังมีมากๆ ทุกวัน โทสะก็ยังมี เพราะฉะนั้น เมื่อมีเชื้อมีเหตุที่จะให้กระทำกรรมที่ร้ายแรง กรรมที่ร้ายแรงก็ย่อมเกิดขึ้นได้ และผลของกรรมก็คือว่าต้องเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เลือกไม่ได้เลย

    สัตว์เดรัจฉานมีตั้งมากมายเลยประมาณไม่ได้เลย แต่ละแถบแต่ละถิ่นของประเทศต่างๆ รูปร่างต่างๆ กันไป น่าอัศจรรย์ว่าใครทำให้เป็นอย่างนั้นได้ แม้แต่คนก็มีแค่ตา หู จมูก ลิ้น กายก็ยังไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะมีจำนวนพลเมืองของประชากรโลกมากเท่าไหร่ก็ยังต่างกัน พอที่จะให้รู้ว่าคนนี้ไม่ใช่คนนั้น

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากรรมละเอียด แล้วก็เป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครยับยั้งได้เลยว่าจะให้ผลอย่างไร ในชาติไหนถ้าเห็นอย่างนี้แล้วจะสะสมอกุศลต่อไปมากๆ หรือรู้ว่ามีโทษมากที่พร้อมจะให้ผลทันทีในชาตินี้ก็ได้ ในชาติหน้าก็ได้ หรือถ้ายังไม่ให้ผล ในชาติต่อๆ ไปก็ได้

    คิดถึงแม้บุคคลผู้ประเสริฐสุดคือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าประชวรก่อนปรินิพพานจากกรรมในอดีตที่ได้ทำไว้นานแล้ว ก็ยังสามารถที่จะให้ผลได้

    เพราะฉะนั้น จากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมได้รู้ว่าอะไรเป็นเหตุไม่ดี ที่จะทำให้เกิดผลที่ไม่ดี เกิดไม่ดี เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดีทั้งนั้นเลย กับการที่สามารถที่จะพ้นจากเหตุที่ทำให้ต้องเกิดโดยการที่มีความเข้าใจขึ้น รู้ความจริงมากขึ้น ลดคลายความติดข้องซึ่งเป็นเหตุให้อกุศลทั้งหลายค่อยๆ ละลดลงไป

    ซึ่งเป็นความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของพระธรรมที่จากการไม่เคยฟัง ได้ฟังจากอกุศลมากๆ ที่เคยมีความเข้าใจธรรมค่อยๆ ละคลายอกุศลตามกำลังของปัญญา

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าคนที่น่าเกลียดเต็มไปด้วยอกุศลสามารถที่จะค่อยๆ เปลี่ยนจากอกุศลนั้นค่อยๆ ลดลงไปด้วยความเข้าใจธรรม เพราะปัญญาย่อมนำไปในกิจทั้งปวงปัญญาจะไม่เห็นผิดจะไม่เห็นว่าอกุศลดี เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญาก็จะทำกรรมดีเพิ่มขึ้นอกุศลก็ค่อยๆ ลดไปจนกว่าสามารถสละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

    เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังเป็นเรา ความโลภความติดข้องทั้งหมดเพื่อเรา รักใครไม่เสมอด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า

    มีเราที่ไหนมีแต่ธรรมซึ่งเป็นเหตุคือกุศล และอกุศล เป็นผลคือกุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรม อกุศลวิบากเป็นผลของอกุศลกรรม ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะเห็นภัยจริงๆ จากอกุศลไม่มีใครทำให้

    สิ่งที่ได้ทำแล้วต่างหาก เป็นปัจจัย นรกนี่ไกลไหมสวรรค์นี่ไกลไหม

    ทันทีที่จุติจิตดับ กรรมสามารถนำไปได้ ทำให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งคนอื่นมองไม่เห็นเลยว่าเมื่อไหร่จะทำสักที อกุศลทั้งหลายที่ทำไว้แล้วเมื่อไหร่จะให้ผลเสียที หรือว่ากุศลทั้งหลายที่ทำไปแล้วบางคนก็คิดว่าเมื่อไหร่จะให้ผลเสียที ให้ผลแน่นอน แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความละเอียดยิ่งของแต่ละกรรม ที่ว่ากรรมไหนจะให้ผลเมื่อไหร่ โดยเฉพาะจากโลกนี้ กรรมไหนจะให้ผลรู้ไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์ถามว่าก่อนตายควรทำอะไร ก่อนตายก็คือฟังพระธรรมให้เข้าใจสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง และก็เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้เข้าใจ ถ้าไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่มีการฟังพระธรรมไม่สามารถจะเข้าใจได้

    อ.คำปั่น มีท่านผู้ร่วมสนทนาได้ฝากคำถามมาว่า ศึกษาธรรมเพื่อรู้ และเข้าใจถูกต้องแล้วละ ขณะนี้มีธรรมไม่รู้ รู้แต่เรื่องราว

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วรู้แต่เพียงเรื่องของธรรม นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ

    เพราะเหตุว่าตัวธรรมจริงๆ รู้ยากแม้เดี๋ยวนี้เป็นธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ว่ากำลังฟังเรื่องของธรรมก่อน

    ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดงก็มีหลายระดับเริ่มตั้งแต่ปริยัติ หมายความถึงการฟังเรื่องของธรรม เพราะว่าไม่รู้นี่ว่าธรรมคืออะไร และอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่เวลานี้ก็มีธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และไม่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน

    แต่พอฟังก็ได้ฟังเรื่องของธรรมแต่ตัวธรรมจริงๆ ทุกขณะเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักตัวธรรมตรงตามที่ได้ฟัง ก็ต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคง ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นธรรม นี่เริ่มที่จะไตร่ตรองคือคิดเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรม และธรรมอยู่ที่ไหน

    ตอบได้แล้วใช่ไหม อะไรเป็นธรรม และธรรมอยู่ที่ไหน ไม่ต้องไปหาเลยแต่ก่อนนี้ไม่เคยได้ยิน คำว่าธรรม ลืมตาก็ไม่รู้ไปหาธรรม บางคนก็เดินทางไปเหนือจรดใต้ไปหาธรรม แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ขณะไหนบ้างที่ไม่ใช่ธรรม

    นี่คือความเข้าใจที่ต่างกันในเรื่องของเรื่องราวก่อน

    เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างแม้ขณะนี้เองก็เป็นธรรม นี้เรื่องราวของธรรมแต่ละหนึ่ง เช่นขณะนี้มีเห็น เห็นมีจริงๆ นี่เริ่มแล้วสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่ก็ยังไม่รู้จักเห็น ถูกต้องไหมเพียงแต่ฟังว่า เห็นมีจริงๆ แล้วยังไงล่ะ และต่อไปอะไรล่ะ มักจะคิดกันอย่างนี้ว่าแล้วมีประโยชน์อะไร ที่จะฟังเรื่องเห็น

    เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าเห็นเป็นสภาพที่ต่างกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะเหตุว่าเห็นเป็นสภาพที่รู้ แต่สิ่งที่ปรากฏไม่รู้อะไรเลย อย่างเห็นดอกไม้ ดอกไม้ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่ามีใครกำลังเห็น แต่ว่าธาตุที่เกิดขึ้นแล้วเห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วจำ และคิด แม้ว่าจะไม่เป็นคำพูด แต่จำได้เลยว่านี่เป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น สภาพที่จำก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นว่าถ้าเห็นสิ่งใดก็จำในสิ่งที่เห็นนั่นแหละ ได้ยินเสียงไม่ใช่ไปจำเห็น หรือสิ่งที่ปรากฎให้เห็น ได้ยินเสียงเสียงเกิดปรากฏเมื่อไหร่สภาพจำเสียงมี ถ้าไม่จำเสียงก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น แต่ละขณะนี้เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง เป็นเรื่องของธรรมซึ่งธรรมนั้นยังไม่ปรากฏว่าเป็นธรรม แม้ว่ามีอยู่แต่การที่จะรู้จักสภาพของสิ่งที่มีไม่ใช่เพียงแค่ฟัง และจะรู้จักได้ทันที แต่รู้ว่าแม้ว่ามีกำลังเผชิญหน้าแต่ไม่รู้เพราะมีสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้เลย

    พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกคำนั้นว่า อวิชชาหรือโมหะคือความไม่รู้มีจริงๆ ในเมื่อทุกอย่างไม่ใช่เราแต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะ ความไม่เข้าใจก็มี ความไม่รู้ก็มี ความเห็นผิดก็มี ทุกอย่างมีแต่เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่สามารถที่จะได้รับประโยชน์อะไรเลยจากความไม่รู้นอกจากเพิ่มความไม่รู้ขึ้นเพิ่มความติดข้องขึ้น

    เพราะฉะนั้น เป็นความถูกต้องที่กล่าวว่า ขณะนี้ได้ฟังธรรมเพียงรู้เรื่องของธรรมนี่ถูก

    แสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจ ระดับของปัญญาที่ต่างขั้น คือขั้นฟังยังไม่เข้าใจเลย ว่าเห็นขณะนี้เกิดดับเกิดจริงๆ ดับจริงๆ แต่รู้ว่าเห็นมี และเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย และเห็นดับด้วย นี่คือฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ส่วนการที่ใครสามารถจะรู้เห็นเดี๋ยวนี้

    เฉพาะเห็นจริงๆ จึงสามารถจะรู้เห็นนี่แหละเกิด และเห็นนี่ดับก็เป็นการสะสมของปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่าปฏิ ปัตติ และคนไทยก็ใช้คำว่าปฏิบัติแต่ไม่เข้าใจเลย

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการฟัง ก็มีการฟังทั้งสิ่งที่ถูก และฟังสิ่งที่ผิด ถ้าสะสมความเข้าใจในเหตุผลมา ย่อมรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังถูกหรือผิด แต่ถ้าไม่ได้สะสมมา อะไรๆ ก็ถูกหมด พูดได้ยังไงอะไรๆ ก็ถูกหมด เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ถ้าบอกว่าเราเห็นเป็นเราไม่ดับเลย ถูกไหม ถ้ามีความเข้าใจ เริ่มรู้ว่าเป็นไปได้ยังไงก็เห็นไม่ใช่ได้ยิน แล้วเคยเห็นจะมีอยู่ตลอดเวลาไม่ดับไปได้ยังไง เพราะเหตุว่าเห็นต้องอาศัยตาอาศัยจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ส่วนได้ยินไม่อาศัยตาเลย แต่มีรูปพิเศษซึ่งสามารถกระทบเฉพาะเสียง กระทบกลิ่นกระทบอะไรก็ไม่ได้เลย ต่อเมื่อไหร่เสียงกระทบกับรูปนั้น เป็นปัจจัยให้ธาตุอีกชนิดหนึ่งเกิดได้ และเกิดขึ้นได้ยินเสียง

    เสียงจึงปรากฏ นี่คือฟังเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งเข้าใจในความไม่ใช่เราแต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแต่ละหนึ่ง อย่างมั่นคง ไม่หันไปในการที่คิดว่าเราจะทำให้เกิดความเข้าใจเพราะเหตุว่าไม่มีใครทำให้ความเข้าใจเกิดได้เลย

    เพราะความคิดว่าเราเป็นความเห็นที่ผิด เห็นเป็นเราหรือเปล่า เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า ได้ยินเป็นได้ยิน เห็นเกิดขึ้นแล้วดับ เราดับแล้วหรือ ไม่มีเหลือเลยหรือยังไง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เข้าใจตรงตามความเป็นจริง จึงต้องอาศัยความเป็นผู้ตรงต่อความจริงเมื่อฟังแล้วก็สามารถที่จะไตร่สวนพิจารณา ไตร่ตรองว่าความจริงเป็นอย่างที่ได้ยินได้ฟังหรือเปล่า หรือว่าความจริงไม่ใช่อย่างที่ได้ยินได้ฟังแม้แต่ความเห็นก็มีความเห็นถูก และความเห็นผิด

    เพราะฉะนั้น พอฟังความเห็นไม่ว่าจะความเห็นใดๆ สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด นั่นหมายความว่าเป็นผู้ที่ฟังด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง

    ซึ่งต้องอาศัยบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้บางคนไม่ว่าในครั้งที่ผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานหรือแม้สมัยนี้คนที่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจก็มี ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วเข้าใจหมด แต่คนที่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจก็มี คนที่ฟังแล้วสามารถที่จะรู้ความจริงดับกิเลสได้ถึงความเป็นพระโสดาบันก็มี ถึงการที่ดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยถึงความเป็นพระอรหันต์ก็มี

    เพราะฉะนั้น แสดงเห็นว่ามาจากไหนแม้แต่ความเข้าใจต่างกันก็ต้องมีเหตุ เพราะใครๆ ก็อยากรู้เร็ว อยากหมดกิเลสเร็ว แต่ว่าเร็วไม่ได้ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยว่าฟังแล้วเข้าใจไหม

    ถ้าฟังแล้วเข้าใจเริ่มต้นของการที่จะเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นธรรมตรงตามที่ได้ฟัง เพราะคำว่าปฏิ ปัตติหรือที่คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ หมายความถึงรู้หรือถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง ไม่ใช่หลายๆ อย่างพร้อมกัน ถ้าหลายอย่างชัดไม่ได้เลย แล้วก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นหนึ่งขณะจะรู้เพียงหนึ่ง ตามเจตสิกซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วยที่ทำให้ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ก็เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ทุกขณะ

    แต่เมื่อได้ยินได้ฟังคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาทไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    25 มิ.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ