ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1913
ตอนที่ ๑๙๑๓
สนทนาธรรม ที่ บ้านเรือนไหม จ.ราชบุรี
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลยเป็นเรื่องของเพื่อความสุขโสมนัสที่จะได้สิ่งที่ได้มาเพียงชั่วคราว เมื่อกี้นี้อร่อยมากเดี๋ยวนี้อยู่ไหน ไม่เหลือแล้ว
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอย่างนี้แหละตลอดชีวิตเกิดมาก็แสวงหาแต่สิ่งที่จะนำความสุขความพอใจมาให้ แต่ว่ายังมีความโสมนัสที่ดีกว่านั้นอีกคือได้ฟัง ได้เข้าใจความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้น คนที่ฟังธรรมก็จะมีความรู้สึกที่ต่างกันบางคนไม่เคยฟังอย่างนี้เลย แต่บางคนฟังแล้วก็ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรก็พูดเรื่องธรรมดา บางคนก็บอกพูดแต่เรื่องตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ
แต่ก็อยากถามว่าเกิดมาพ้นไหมจากตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ เมื่อไม่พ้นแล้วจะให้พูดเรื่องอะไร เพราะว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีทุกวัน เห็นทุกวัน ได้ยินทุกวัน รับประทานอาหารทุกวัน ใช่ไหม แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ถ้าได้มีการที่ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ ด้วยความไม่รู้ แต่อยู่ไปวันๆ ด้วยความเข้าใจถูกต้องขึ้นในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้น สิ่งธรรมดาธรรมดา ระหว่างความรู้กับความไม่รู้ อย่างไหนถูกต้องอย่างไหนสมควร ใช่ไหม
ถ้าคนที่คิดว่ารู้ได้ก็ควรรู้เว้นเสียแต่ว่าจะรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อสามารถจะได้ยิน ได้ฟังแล้วรู้ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และถ้าสามารถที่จะเข้าใจขึ้นๆ ก็จะเกิดความปลาบปลื้มปีติ ว่าได้มีโอกาสได้เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้น ก็แต่ละบุคคลซึ่งสะสมมาก็มีความเข้าใจมากขึ้น ความปีติโสมนัสก็เพิ่มขึ้นได้บูชาคุณของพระรัตนตรัยด้วยปัญญาที่มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก จากการที่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าจากคำถามที่ว่าพูดเรื่องธรรมแต่ยังไม่รู้จักธรรม
เพราะฉะนั้น พูดชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม และยังไม่เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจพระธรรมเมื่อไหร่ รู้เลยใครพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดดับเท่านั้น และก็เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ว่าผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ปัญญาต่างกันระดับไหนระหว่างผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มีในขณะนี้เหมือนไม่ได้ดับไปเลย นี่คือผู้ที่ไม่ได้รู้ความจริง แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้แสดงความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้อย่างละเอียดยิ่ง และก็รู้ด้วยว่าเป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดต้องเกิด จริงไหม
ยังต้องเห็นต่อไปอีก ต่อไปๆ ไม่หยุดเหมือนที่เคยเห็นมาแล้วแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้จนกว่าจะได้มีความเข้าใจขึ้น และก็จะรู้ว่าประโยชน์จริงๆ คืออย่างไร
เพราะฉะนั้น กว่าจะได้เห็นประโยชน์ของการที่วิชาอื่นเรายังเรียนเลยใช่ไหม ทำไมวิชานี้ไม่เรียน มีประโยชน์กว่ามาก ไม่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีการศึกษา แม้แต่การจะจัดดอกไม้หรืออะไรๆ ก็ตามแต่ ก็ต้องมีการศึกษาไม่อย่างงั้นก็คงจะไม่เหมือนอย่างที่ใครๆ บอกว่าวันนี้จัดดอกไม้สวย
ถ้าเพียงแต่ไม่มีความรู้ก็ไม่ทราบจะทำยังไง และจัดได้ตั้งหลายแบบจะเอาแบบไหนถูกใจใคร ถูกใจชาติญี่ปุ่นหรือถูกใจชาติอังกฤษหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องของความรู้ทั้งหมด
แต่ว่าความรู้อย่างนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความสุขใจที่แท้จริงคือสงบจากความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีโอกาสที่ได้ยินได้ฟังแล้วยังไม่เบื่อ แต่โอกาสที่จะได้ฟังอีกมีเมื่อไหร่ และก็มีความสนใจที่จะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา
วันนี้ยังไม่ถึงวันเลยใช่ไหมแต่ที่พระองค์ทรงแสดงพระธรรมมาก ตั้งแต่เช้าบางทีก่อนบิณฑบาต หลังจากเสวยภัตกิจรับประทานอาหารแล้ว ตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำ ก็ยังมีการสนทนาธรรมหรือมีการแสดงธรรมมากกว่าใครทั้งหมด
เพราะฉะนั้น พระธรรมแต่ละคำ ถ้าเข้าใจจริงๆ ทุกคำมีความหมายที่ลึกซึ้งแต่ว่าจะต้องเป็นคำที่เข้าใจจริงๆ ตามลำดับอย่าข้ามขั้นพอได้ยินคำไหนก็อยากรู้คำนั้น และได้ยินอีกคำหนึ่งก็อยากรู้คำนั้น แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เพราะไม่มีพื้นฐาน ที่จะรู้ว่าธรรมคืออะไร
ธรรมคือสิ่งที่มีจริงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ละเอียดยิ่งแม้แต่ขณะนี้กำลังเห็นเป็นธาตุรู้ ใช้คำว่าจิต แล้วยังมีเจตสิกสภาพนามธรรมซึ่งเกิดกับจิตด้วย เท่าไหร่ ทรงแสดงไว้โดยละเอียด และขณะนี้สามารถจะรู้ได้ไหม
เพราะฉะนั้น ผู้ฟังเริ่มมีความเห็นถูก ว่าเราเป็นใครพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แต่ละคำที่ได้ยินอย่าเพิ่งเผิน และประมาทว่าเราเข้าใจแล้ว ยังมีอีกมากที่เราจะค่อยๆ เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกระทั่ง วันหนึ่งเมื่อได้ยินพระธรรมสามารถเข้าใจได้ แล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริงเพิ่มขึ้นอีกทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้
ใครชอบกิเลสบ้าง อาจจะถามว่า ถามคำถามซึ่งตอบก็ไม่จริงหรอก ใช่ไหม เช่นไม่ชอบ จริงหรือ ไม่ชอบกิเลสเพราะยังไม่รู้จักกิเลสพอที่จะรู้ว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกิเลส ใช่ไหม อยู่กับกิเลสตลอดเวลา แต่ไม่เห็นกิเลสเลย
เพราะฉะนั้น เหมือนอยู่ในบ้านของศัตรู รู้ไหมว่าเขาเป็นศัตรู อยู่กับเขามาแสนนาน ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีการรู้ความจริง และก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่ถ้ารู้ว่ากิเลสเป็นธรรมที่ทำให้จิตใจเป็นมลทิน ไม่สะอาด
เศร้าหมองที่นี่หมายความว่าไม่สะอาดมีมลทินตามประเภทของกิเลสนั้นๆ แล้วก็มีมาก ควรที่จะให้มีมากๆ ต่อไปอีก หรือว่าเห็นโทษแล้วคิดว่าถ้ากิเลสเบาบางน้อยลงอย่างบุคคลที่ได้ฟังพระธรรมในครั้งอดีต จนถึงความดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยนั่นเป็นสิ่งซึ่งต้องต่างกับขณะที่มีชีวิตอยู่กับกิเลสแต่เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ความจริงก็พอใจที่จะอยู่กับกิเลส จนกว่าจะค่อยๆ รู้จักกิเลส
เพราะฉะนั้น กิเลสมากๆ จริงอย่างนี้อย่าเพิ่งคิดว่าจะหมดเร็ว ฟังก่อนให้ค่อยๆ เข้าใจ ฟังธรรมแล้วเข้าใจในเดือดร้อนไหม ไม่เดือดร้อนเลย ถ้าเข้าใจจะเห็นประโยชน์
เพราะฉะนั้น มีธรรมที่จะได้ยินได้ฟังอีกมากไม่ใช่แต่เฉพาะวันนี้ และก็สามารถจะไตร่ตรอง และก็เข้าใจขึ้นแล้วก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่มขึ้นด้วย
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ได้ยินได้ฟังแล้วก็ต้องอีกนาน กว่าจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ละเรื่องด้วยต้องกระจ่างแจ้ง
อย่างเมื่อกี้เราพูดเรื่องของความรู้สึกโสมนัส ความสุขใจ แล้วก็เรื่องของความติดข้อง น่าจะคิดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องรับประทานอาหารอร่อย ใช่ไหม
คืออะไรๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ติดข้องทั้งนั้นแหละ ใช่ไหมต่อไปนี้เพื่อที่จะไม่ให้มีโสมนัสติดข้องมากๆ ในสิ่งที่เป็นรสบ้างเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้างก็ไม่ต้องมีเสื้อสวยๆ ก็ไม่ต้องมีดนตรีเพราะๆ ก็ไม่ต้องมีกลิ่นหอม ก็ไม่ต้องมีรสอร่อย
แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นหรือ เพราะว่ายังไม่ได้เห็นโทษแล้วจะมากหรือจะน้อยก็เป็นโลภะ เพราะเหตุว่าโลภะไม่เคยหยุด ถ้าชอบสิ่งนี้แล้วพอไหม หาสิ่งใหม่ รสใหม่ ทุกอย่างใหม่เป็นธรรมดาของความไม่รู้ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีแต่อกุศลเพิ่มเติม
เพราะฉะนั้น การที่ฟังเผินๆ ก็จะมีคนถามแม้ในครั้งพุทธกาลอย่างนั้นก็ไม่ต้องถวายภัตตาหารที่มีรสประณีตแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์
แต่อย่าลืมกุศลจิตมีต่างกับอกุศลจิต กุศลจิตตรงกันข้ามกับอกุศลจิต เวลาที่มีความติดข้องต้องการ ขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะใดที่สามารถสละ ละความติดข้องต้องการ สามารถที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นขณะนั้นไม่ใช่อกุศล
เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถจะให้สิ่งที่ประณีตแก่บุคคลอื่นก็ยิ่งยากกว่าการที่จะให้เพียงสิ่งที่ไม่ประณีต
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องเข้าใจจริงๆ แล้วก็ต้องไตร่ตรองจนถึงที่สุดว่าความจริงเป็นอย่างไร ใครก็ห้ามโมหะความไม่รู้ไม่ให้เกิดไม่ได้ใครก็ห้ามความติดข้องไม่ให้เกิดไม่ได้ ใครก็ห้ามโทสะเมื่อไม่ได้สิ่งที่พอใจไม่ให้เกิดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็เต็มไปด้วยเรื่องของความไม่รู้ และเรื่องของกิเลสอย่างหนึ่งอย่างใดแต่ขณะใดที่จิต สามารถที่จะเป็นอโลภะไม่ติดข้อง อโทสะ อภัยให้ได้ไม่โกรธ
แล้วก็อโมหะคือฟังให้เข้าใจความจริงซึ่งเมื่อมีการรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วที่ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้แต่ในการคิดจะให้ก็ให้สิ่งที่ดี ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้รับ
เพราะฉะนั้น กุศลจิตสามารถสละสิ่งที่แม้ประณีตให้กับบุคคลอื่นได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นสภาพของจิตใจพร้อมกันนั้นก็ไม่มีใครไปบังคับให้คนนั้นชอบมากหรือชอบน้อย บางคนก็อาจจะไม่ชอบสิ่งนั้นก็ได้ แต่บางคนก็ชอบนิดหน่อย บางคนก็ชอบมาก ก็แล้วแต่การสะสม
เพราะฉะนั้น ก็ต้องแยกทางฝ่ายกุศล และอกุศลว่าขณะใดที่กุศลจิตเกิดขณะนั้นสามารถสละสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้บุคคลอื่นได้แม้แต่สิ่งที่ประณีต เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยแก่ผู้ให้ แล้วก็ผู้ที่จะพอใจมากๆ ก็เป็นไปตามสภาพธรรมในขณะนั้นซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ปัญญาสามารถเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งทั้งปวงได้ว่าแม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงการที่ หมดการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราจริงๆ ก็ต่อเมื่อเข้าใจทุกอย่างทั่วโดยละเอียดยิ่ง ไม่ใช่เว้นหรือว่าไม่ใช่เกรงว่าอยู่ตรงนี้เข้าใจไม่ได้ ต้องไปป่า ต้องไปเขาต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ นั่นคือความเห็นผิด
เพราะว่าถ้าปัญญาเจริญจริงๆ อบรมจริงๆ มีมากจริงๆ แหลมคมจริงๆ เข้าใจเดี๋ยวนี้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ได้เมื่อไร
เมื่อนั้นก็คือปัญญาที่ได้เจริญจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ทั่วไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล ซึ่งเวลาที่ไปงานศพไม่ว่าวัดไหนจะได้ยินพระอภิธรรมใช่ไหม สวดพระอภิธรรม กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อพยากะตาธัมมา
ควรเข้าใจไหม หรือว่าฟังแล้วก็ผ่านไป แต่นี่เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสเพื่อให้บุคคลอื่นมีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี ทุกคำตั้งแต่คำแรกจนถึงคำต่อๆ ไป
เพราะฉะนั้น เข้าใจคำไหน สักคำหนึ่งก็ดีแล้ว อย่างวันนี้เข้าใจธรรม อะไรทั้งนั้นที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้เห็นให้ได้ยินเป็นต้นเป็นธรรมซึ่งชั่วคราวแล้วก็หมดไป ลองคิดดูว่ายังเหลืออยู่บ้างไหมแม้เพียงชั่วขณะเมื่อกี้นี้เอง
นี่ก็คือเริ่มสะสมความเข้าใจถูกความเห็นถูก ค่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย
ผู้ฟัง ถ้าใครมีเงินมากก็จะได้อยู่ห้องแอร์เย็นหรือว่ามีรถดีๆ แต่จริงๆ ก็ไม่พ้นว่าได้ยินดี เห็นดีในขณะเดียวกันถ้าอกุศลวิบากก็คืออกุศลกรรมให้ผล เราต้องได้ยินไม่ดี เห็นไม่ดี ก็เหมือนกับแล้วแต่ว่าจะไปตามความคิด
ท่านอาจารย์ เพื่อที่จะให้เข้าใจถูกว่ามีจริงๆ หรือเปล่าที่เข้าใจว่ามี
หลับสนิทมีสมบัติไหม อยู่ไหนกัน สมบัติที่คิดว่ามีตอนหลับสนิท
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ตัวเองยังไม่มีเลย เพราะว่าไม่รู้เป็นใครนอน
ท่านอาจารย์ ขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลยไม่มีแม้แต่จะคิดเรื่องสมบัติ เพราะฉะนั้น ในขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏ ขณะที่กำลังเห็นมีสมบัติไหม ชั่วขณะที่เห็น
ผู้ฟัง เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้าเข้าใจ
ท่านอาจารย์ มีแต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏกับจิตเห็นเท่านั้น นี่คือความจริงกว่าจะเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงแต่ละคำจริงๆ ชัดเจนว่าไม่มีผิดเลย เพราะว่าจิตคือสภาพรู้หรือธาตุรู้เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นรู้อย่างอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้นที่มีในขณะนั้น สิ่งอื่นไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ขณะเห็นสมบัติมีไหม ตัวก็ไม่มี มีแต่เห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วทั้งสองอย่างก็ดับไปไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้น การที่เคยเข้าใจว่ามีทรัพย์สมบัติมีอะไรต่างๆ ให้รู้ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วดับเท่านั้นเอง ขณะที่เห็นไม่ได้คิดว่ามีสมบัติเลย เพราะว่าเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง และก็ดับไป ทางหูก็มีเสียงเท่านั้นที่สั้นมาก และก็ดับไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็เป็นอย่างนี้แหละรวดเร็วมาก แต่ความจำเก็บเล็กผสมน้อยจนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวว่าเป็นสมบัติแล้วก็มีเราที่มีสมบัติ คือให้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วแม้เราก็ไม่มีสมบัติก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แต่มีธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป
นี่คือจุดประสงค์ที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งจากเดิมเป็นคนที่มีสมบัติมีโน่นมีนี่ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วถ้าได้ฟังธรรมแล้วก็ต้องไตร่ตรอง ว่าแท้จริงแล้วมีหรือเปล่า ยังจำว่ามีใช่ไหม เมื่อคิด
แต่ขณะที่กำลังเห็นอยู่ไหนทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ไฟไหม้หมดแล้วเมื่อกี้นี้เองใช่ไหม ก็เป็นได้ ก็ยังไปคิดว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็ไม่ใช่สมบัติของใครด้วย และก็ไม่ใช่ใครด้วยเพราะเหตุว่าเพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ถ้าเข้าใจอย่างนี้กิเลสจะน้อยลงไหม ใช่ไหม การที่มีความเห็นถูกความเข้าใจถูก ก็จะละคลายความติดข้อง ไม่อย่างงั้นก็ตายแล้วทรัพย์สมบัติไปอยู่ที่ไหน แต่ว่าถ้าตายแล้วก็หมดเลยใช่ไหม ที่จะมานั่งคิดว่าทรัพย์สมบัติจะแบ่งปันอยู่ที่ไหนยังไม่ได้แบ่ง หรืออะไรอย่างนี้ก็ไม่มี เพราะแม้แต่ยังไม่ตายก็เป็นอย่างนี้
คิดๆ ได้ทุกอย่างจะคิดเป็นอะไรก็ได้
แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่ามีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีทุกอย่าง มีคิดด้วยแต่แล้วก็หมดไป ไม่เหลือเลย แต่สะสมกุศล และอกุศลความไม่รู้สืบต่อไป ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
ทุกวันนี้ถ้าไม่มีสภาพธรรมจะมีอะไรไหม แม้แต่สมบัติหรือเราก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ และก็เป็นธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิด ใครไปทำก็ไม่ได้ เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นๆ แต่ก็สามารถที่จะคิด ตามสิ่งที่สมมติ ว่านี่เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าสิ่งบรรดาที่เราคิดว่าเป็นของเราหรือมีจริงๆ แท้ที่จริงแล้วอะไรบ้างที่เป็นเราจริงๆ หรือว่าเป็นของเราจริงๆ
ความจริงถึงที่สุดก็คือว่าเป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้น และดับไปไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่โดยสมมุติมีเรามีลูกมีบ้านมีสมบัติ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าสภาพธรรมเห็นยากเพราะเหตุว่าถูกหุ้มห่อไว้ด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย
แม้แต่บ้าน สมบัติต่างๆ หุ้มห่อไว้มิดชิดเลยว่าแท้ที่จริงแล้วอะไรล่ะ อยู่ไหนล่ะมีตรงไหน ถ้าเกิดป่วยไข้มีสมบัติมหาศาล สมบัตินั้นเป็นของเราหรือเปล่า ใช้อะไรได้หรือเปล่าหรือว่าสำหรับดูเล่น หรือว่าสำหรับคิดให้เพลิดเพลินหรือพอใจ แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น เป็นสมบัติของเราจริงๆ หรือ มีเงินธนบัตรมากไหม ใครที่สะสมไว้มากๆ มีไหม พิมพ์ใหม่ อันเก่าใช้ไม่ได้แล้วไม่เหลือเลยเป็นไปได้ไหม ใครจะไปยับยั้งถ้ามีเหตุการณ์ที่จะเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้นหายไปไหนหมดในพริบตาที่เข้าใจว่ามี
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ทุกคนเกิดมาต้องเห็น ต้องได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าเป็นเทวดาสบายมากเลย ไม่ต้องไปทำมาหากิน ไม่ต้องมานั่งนับสมบัติมีอะไรอยู่ที่ไหน มีทุกอย่าง แม้แต่อาหารก็เป็นทิพย์
มีสมบัติมากไหม สำหรับใช้สำหรับบริโภคโดยไม่ต้องแสวงหา เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงจริงๆ เศษกระดาษหรือว่าสิ่งที่เราคิดว่ามีมากแต่ถ้าไม่ได้เป็นประโยชน์เลย ชื่อว่ามีสมบัติหรือเปล่า และที่ว่าเป็นของเราก็เพียงแค่จำไว้ จะหายไปเมื่อไหร่ได้หมดเพราะว่าไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง
แต่สมบัติจริงๆ คือบุญ ไม่ต้องทำอะไรสมบัติทั้งหลายก็มาได้เพราะบุญ
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าแม้แต่คำที่เราใช้ว่าสมบัติหมายความถึงมนุษยสมบัติหรือเทวสมบัติก็ต่างกันไป
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษาสำหรับผู้ฟัง
กราบเรียนอาจารย์ในช่วงท้าย
ท่านอาจารย์ แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นบุคคลซึ่งไม่มีใครเสมอหรือเปรียบปานได้เลย ที่กล่าวว่ารัตนอื่นใดไม่เสมอด้วยพุทธรัตนะ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจในความเป็นรัตนะ และก็ไม่มีการเคารพความเป็นรัตนะ
รัตนะนั้นก็หาเป็นรัตนะไม่ สำหรับผู้ที่ไม่เคารพ ด้วยเหตุนี้ถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีรัตนะสิ่งที่มีค่าสิ่งที่ประเสริฐใดเสมอกับพระพุทธรัตนะ เราก็รู้ว่าทุกคำของพระองค์เป็นประโยชน์ และมีค่าควรแก่การที่จะได้ยินได้ฟัง แต่ไม่ใช่เพียงฟังไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจมั่นคง ทีละเล็กทีละน้อย เช่นคำว่าธรรมได้ยินบ่อยๆ
ถ้าถามจริงๆ คนที่ยังไม่เคยฟังธรรมเลยว่า ธรรมคืออะไรจะตอบได้ไหม ตอบไม่ได้แต่เมื่อฟังแล้วไม่เปลี่ยนความจริงต้องเป็นความจริงตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ที่เกิดแล้วจึงปรากฏ สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกิดจะปรากฎได้ไหม ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เองไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย สิ่งที่กำลังมีปรากฏนี่แหละ เริ่มเข้าใจว่ามีจริงๆ แล้วต้องเกิดขึ้นด้วย เกิดแล้วก็ดับไปด้วย คือคำที่ได้ยินได้ฟังตรงทุกคำตั้งแต่ต้น ธรรมทั้งหลายที่เกิด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ภาษาบาลีก็มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้น อนิจจังไม่ใช่เกิดแล้วอนิจจังตอนตาย หรือว่าวันนี้สบายดี พรุ่งนี้อนิจจังป่วยไข้ได้เจ็บแล้วไม่ใช่อย่างนั้น แต่ทุกอย่างที่กำลังมีขณะนี้ตามความเป็นจริงเกิดแล้วปรากฏแล้วดับไป
แค่นี้ ฟังจนกระทั่งมั่นคงขึ้น และฟังต่อไปอีกก็รู้ความจริงว่าแม้แต่ขณะเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ความจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่าจิตเกิดขณะหนึ่ง จะต้องมีสภาพธรรมซึ่งเกิดกับจิตที่ใช้คำว่าเจตสิก เกิดร่วมด้วยกี่ประเภท
เพราะฉะนั้น ฟังก็ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ว่าฟังไม่ใช่ฟังแล้วเผิน แต่ฟังแล้วไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคง ถ้ามีคนบอกว่าธรรมคืออย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ คนนั้นพูดถูกหรือผิด
แล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไรเพราะมีจริงๆ เมื่อมีจริงๆ ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าเป็นธรรมเท่านั้นเอง แต่เมื่อยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งรู้ได้โดยอาศัยการฟังก็ขึ้นอยู่กับจิตใจที่ผ่องแผ้วจากโลภะความติดข้อง จากโทสะจากความไม่รู้ เห็นประโยชน์ว่าควรรู้
เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ จะฟังพระธรรมต่อไปอีกเท่าที่มีโอกาส และก็เข้าใจขึ้นแน่นอน
อ.คำปั่น ขอนำข้อความหนึ่งที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้สั้นๆ
"ว่าเวลาที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคิดถึงใคร"
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเข้าใจแล้ว คิดถึงใคร
ถ้าไม่มีการกับตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครก็จะไม่ได้ยินคำต่างๆ เหล่านี้เลย เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ได้ยินแล้วเข้าใจ ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติที่เราใช้บ่อยๆ ไม่ใช่ให้ท่องว่าพุทโธ
แต่ถ้าท่องว่าพุทโธแล้วไม่รู้เลยว่าพุทโธคืออะไร
แต่ว่าพุทโธคือแม้เพราะเหตุนี้ที่เราได้เข้าใจคำว่าธรรม เริ่มต้นเลยแล้วก็แม้เพราะเหตุนี้ที่ทรงแสดงพระธรรมไปโดยตลอด เพราะฉะนั้น เข้าใจธรรมเมื่อไหร่คิดถึงใครอื่นไม่ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ต้องท่องว่าพุทโธด้วยขณะใดก็ตามที่กำลังเข้าใจพระธรรม ขณะนั้น พุทธานุสติ เมื่อระลึกได้ว่าคำนี้มาจากใคร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1900
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1920