ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1914
ตอนที่ ๑๙๑๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมดิอิมพีเรียล จ.เชียงใหม่
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ ในความละเอียดของคำว่า สละความถูกต้องเพื่อชีพ หรือว่าสละชีพเพื่อความถูกต้อง สองประโยคนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ฟังผู้ศึกษาธรรมอย่างไร และก็เกื้อกูลต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ได้ฟัง ก็ควรจะเป็นคำที่ไตร่ตรองเพื่อความเข้าใจ ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไร เคยได้ยินคำอื่นมาก่อน แต่พอได้ยินคำใหม่ๆ ก็ต้องคิดว่าคำนั้นหมายความถึงอะไร
แต่ว่าก่อนอื่นการที่ฟังธรรมแต่ละครั้งให้ทราบว่า เหมือนกับการได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สถานที่ที่ทรงแสดงธรรมในอดีต เพราะเหตุว่าสิ่งที่จะได้ยินได้ฟังทั้งหมด ได้ตรัสไว้แล้วในพระไตรปิฏก
เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ยิน ก็สามารถที่จะรู้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นอีกภาษาหนึ่ง ก็คือภาษาไทยที่เราใช้ธรรมดานี่แหละ ด้วยเหตุนี้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานแสนนาน และได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา แล้วเราเพิ่งเริ่มที่จะได้ยินได้ฟัง
แต่ก็ไม่ประมาทว่าผู้ทรงแสดงเป็นใคร ไม่ใช่คนธรรมดาศึกษาเพียง ๔๐ ปี ๕๐ ปีก็สามารถที่จะพูดถึงสิ่งที่ศึกษาได้ แต่การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะได้ทรงศึกษาโดยครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยพระบารมีที่ยากที่ใครสามารถบำเพ็ญได้ เพื่อรู้ความจริง แค่นี้แต่ละคำทำให้เราเริ่มคิดแล้ว ว่าทำไมความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยากแม้แต่แต่ละคำ ความจริงของคำนั้นคืออะไร
เพราะฉะนั้น ทุกคนก็คงจะสนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง และความจริงของคำนั้นไม่ใช่เพียงแต่คิดว่าเข้าใจแล้วในฐานะของผู้ที่ยังไม่ได้ฟังธรรม เข้าใจเป็นอย่างหนึ่งแต่เมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็จะมีความเข้าใจที่ละเอียดขึ้น
แม้แต่ แต่ละคำที่กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ สละชีพเพื่อความถูกต้อง แสดงว่าเดี๋ยวนี้ใครรู้บ้างว่าความถูกต้องคืออะไร และชีพคืออะไร
เพราะฉะนั้น ทุกคำไม่เผินเลย ทุกคนเกิดมามีชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันมีการยังชีพให้ดำเนินไป ซึ่งการยังชีพให้ดำเนินไปยังเพื่ออะไรอีก บางคนเพื่อเกียรติยศ เพื่อชื่อเสียง เพื่อลาภสักการะ แต่ว่าสิ่งนั้นไม่ถาวรเลย เพียงแต่มีแล้วก็หมดไปชั่วคราวทุกชาติ
มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ มีจริงๆ แต่ก็ไม่ยั่งยืน เพียงแต่ปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น ความจริง และความถูกต้องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าที่ทุกคนหวังในลาภสักการะชื่อเสียงเกียรติยศ กับการรู้ความจริงที่จะทำให้หมดกิเลสได้อย่างไหนเป็นความถูกต้อง
เพราะฉะนั้น แม้แต่ๆ ละคำ ก็ต้องคิดไตร่ตรองว่าความถูกต้องคือคุณความดี การสละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขซึ่งมีเพียงชั่วคราว
แต่ความถูกต้องเป็นอีกคำหนึ่งของปัญญาที่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรที่เป็นประโยชน์ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ฟังแต่ละครั้งก็จะได้สาระจากการที่เรารู้ว่าทุกคำทำให้เราเกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้องซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน และคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้ แต่พระธรรมทุกคำที่ได้ตรัสไว้แล้วสามารถที่จะทำให้เริ่มเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นพระคุณแม้แต่คำธรรมดาซึ่งเราได้ยินจนชินหูแต่เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เช่นคำว่าความถูกต้อง ใครจะรู้ว่าอะไรถูกต้อง
เกิดมาแล้วอะไรเป็นความถูกต้อง มีชีวิตอยู่ทุกวันๆ ไปโดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตั้งแต่เกิดจนตายเป็นความถูกต้องหรือเปล่า จะมีชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็ก เข้าโรงเรียน จบมหาวิทยาลัย ทำงานแล้วก็จากโลกนี้ไป อะไรเป็นความถูกต้องที่ควรอย่างยิ่งที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ถ้าอยู่ไปเหมือนคนที่ไม่ได้เข้าใจธรรมทั้งหลายก็เหมือนคนที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ถ้ามีโอกาสได้ยินได้ฟังคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้กล่าวคำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่ใช่กล่าวลอยๆ แต่ต้องเป็นความจริงใจว่า ทั้งหมด ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นพึ่งพระรัตนตรัยได้แต่พึ่งคนอื่นพึ่งไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่าแต่ละคำไม่ควรจะเผิน และคิดว่าเป็นสิ่งที่ง่าย และก็ผ่านไป แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะเข้าใจแต่ละคำเพราะว่าเมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ได้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จักจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพูดคำที่ไม่รู้จักจนกว่าจะได้ฟังพระธรรมจึงเริ่มรู้ว่าที่จริงแล้วแต่ละคำที่ได้ยินหมายความว่าอะไร
เช่นคำว่าธรรม ทุกคนได้ยินใช่ไหม ยุติธรรมก็เคยได้ยิน ถูกต้องไหม สามัคคีธรรม ก็มี ทุกอย่างมีคำว่าธรรมอยู่ กุศลธรรมก็มีอกุศลธรรมก็มี
ทุกคนที่ไปงานสวดศพจะได้ยินคำว่ากุสลา ธัมมา ธรรมแล้ว อกุสลาธัมมา ก็ธรรม แล้วยังมีอัพยากตา ธัมมา ทุกงานศพ ไม่ได้มีแค่กุสลาธัมมา และอกุสลา ธัมมา แต่ก็มีอพยากตา ธัมมาด้วย
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธในครั้งโน้น เป็นผู้ที่มีบุญที่ได้สะสมไว้แต่ปางก่อน มีโอกาสได้เฝ้าได้ฟังพระธรรม และเข้าใจคำที่ตรัส เช่นเพียง ๓ คำ กุสลาธัมมาก็คือกุศลธรรมทั้งหลาย อกุสลาธัมมาก็คืออกุศลธรรมทั้งหลาย อพยากตาธัมมาไม่สนใจได้ยินก็ผ่านหูไป
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะกุศลธรรม อกุศลธรรมใครก็พูดได้ แต่มีใครจะพูดคำว่าอพยากตาธัมมา แล้วก็ชาวพุทธในครั้งโน้น เข้าใจได้
แต่ชาวพุทธในครั้งนี้ เรามีประเพณีมากมาย สืบต่อการกราบพระ สวดมนต์แต่ไม่มีการศึกษาธรรม และการสนทนาธรรมซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นมงคลเพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเจริญในความเห็นที่ถูกต้องในความเข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้าขาดการฟังธรรมก็จะไม่มีโอกาสเลยที่จะได้เข้าใจ และไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ได้ยินแต่ชื่อเคารพกราบไหว้มาตั้งแต่เด็ก
แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธพระเจ้าคือใคร ตรัสรู้อะไรทรงแสดงธรรมอะไรมีค่ามาก ๔๕ พรรษาสำหรับผู้ที่ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สามารถที่จะได้ฟังแล้วก็เห็นประโยชน์ และก็อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เคารพกราบไหว้สักการะในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณคือหมดจดจากกิเลสด้วยพระปัญญาคุณ ถ้าไม่มีปัญญาอะไรๆ ก็ดับกิเลสไม่ได้เลย
ลองคิดดู รู้ตัวไหมว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้กิเลสมากแค่ไหน หรือว่ากิเลสไม่ค่อยมีเท่าไหร่ วันนี้ก็ไม่ได้ไปโลภโมโทสันอะไร นั่นคือคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย
แต่ถ้าฟังพระธรรมโดยละเอียดก็จะเข้าใจจริงๆ ว่ากิเลสมีหลายระดับมากตั้งแต่ไม่ปรากฏให้รู้เลยว่ามีจนกระทั่งปรากฏเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งปรากฏใหญ่มาก จนทุกคนก็สามารถที่จะเห็นได้ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลสได้หมดไม่เกิดอีกเลย ลองคิดดู
แล้วก็ไม่ใช่เพียงแต่ตรัสรู้เฉพาะพระองค์เดียวด้วยตนเอง แต่ยังทรงพระมหากรุณาเห็นว่าคนอื่นก็มีโอกาสจะได้ฟังโดยเฉพาะสิ่งที่มีจริงๆ ก็ทำให้เราสามารถที่จะรู้คุณค่าของพระธรรมว่าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
จากที่ไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้เลยเริ่มรู้ความจริงว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่จะทำให้พูดไงก็ตาม ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แต่เมื่อศึกษาพระธรรมเข้าใจมากเท่าไรเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งพระธรรมยังมีอยู่ แต่ว่าต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ คือด้วยความละเอียดในทุกคำอย่าข้าม เผินไม่ได้เลย
พระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้หนทางที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า มีกิเลสมากแล้วก็จะดับกิเลสได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ก็ทรงถึงพร้อมด้วยความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปการะสัตว์โลกด้วยการทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเห็นด้วย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นๆ
เพราะฉะนั้น แต่ละคนไม่ทราบเลยว่าทำไมถึงได้อยู่ในห้องนี้ ถ้าไม่มีบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน คนอีกมากมายไม่ใช่แต่เฉพาะที่จังหวัดนี้ประเทศนี้หรือทั้งโลก ที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะได้รู้ความจริงน้อยมาก และก็ไม่รู้ด้วยความจริงมีกำลังปรากฏ สิ่งที่ปรากฏเดียวนี้แหละ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ สามารถรู้ได้ เข้าใจได้ถ้าไม่รู้จักว่าความจริงคืออะไรจะศึกษาอะไรจะรู้อะไร
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มตั้งแต่แม้แต่เพียงสิ่งที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงแต่ละคำเมื่อเข้าใจแล้วจะลึกซึ้งขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินคำว่าธรรม ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีศรัทธาที่จะฟังพระธรรมด้วยความตั้งใจที่จะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่ง่าย
และเมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ และเข้าใจได้โดยง่าย แต่ต้องมีศรัทธาความผ่องใสของจิตที่รู้คุณค่าว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โลภะ โทสะ โมหะหรือสิ่งใดก็ตามเพียงชั่วคราวของชาตินี้ติดตามไปไม่ได้เลย
แต่การเข้าใจธรรมที่ได้เคยฟังมาบ้างจะค่อยๆ สะสมสืบต่อจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ประโยชน์จริงๆ ของการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็สามารถที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมแต่ไม่ประมาท
เพราะฉะนั้น แม้แต่เรื่องที่ได้ยินได้ฟังเป็นประโยคสั้นๆ แต่ความลึกซึ้งก็คือว่าต้องเข้าใจจริงๆ ว่าทั้งหมดคือเดี๋ยวนี้เอง ทุกคน สละสิ่งที่เป็นความสะดวกสบายความเพลิดเพลินเพื่อฟังธรรม นี่คือสละชีพเพื่อความถูกต้อง มองไม่เห็นเลยว่าเราสละแล้วแต่ว่ากว่าสละจริงๆ เลยต้องมีความเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วชีวิตก็มีทั้งกุศล และอกุศล
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรมเป็นกุศล เพราะฉะนั้น เราก็สละอกุศลที่ไม่สนใจไม่เห็นประโยชน์แล้วก็คิดถึงแต่ความสะดวกสบายบ้างความสนุกสนานเพลิดเพลินบ้าง รู้ว่าไม่มีค่าเท่ากับการได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้น ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ฟังเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อมีโอกาส และก็สามารถที่จะได้เข้าใจขึ้นจากการสนทนาธรรม
การสนทนาธรรมก็เป็นมงคลหนึ่งในบรรดามงคลทั้งหลายคือธรรมที่จะนำความเจริญมาให้ ความเจริญในทางปัญญาด้วย
อ.คำปั่น นี่คือในช่วงแรกแห่งการสนทนาธรรม ท่านอาจารย์ก็ปรารภถึงสละ ชีวิตเพื่อความถูกต้อง ซึ่งก็อย่างที่เป็นไปอยู่ในขณะนี้ มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้อบรมเจริญปัญญาศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
กราบท่านอาจารย์ ถ้าเป็นประโยคแรกที่บอกว่าสละความถูกต้องเพื่อชีพอันนี้เป็นความไม่มั่นคงเป็นความไม่ถูกต้องใช่ไหม
ท่านอาจารย์ มีความถูกต้องแต่สละ ใช่ไหม ไม่สนใจเลยว่าความถูกต้องคืออะไรนั่นคือสละแล้ว เพื่อชีพคือชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการลาภบ้าง ยศบ้าง สรรเสริญบ้าง สุขบ้าง
เพราะว่าใครที่เกิดมาแล้วต้องการเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ถูกใจไพเราะ ได้กลิ่นหอมๆ ได้รสอร่อย ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์
แค่นี้เองเกิดมาตลอดทั้งชีวิตก็ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก
แต่คิดนึกเป็นประโยชน์ไหม หรือยิ่งคิดก็ยิ่งติดข้อง เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเห็นประโยชน์สะสมมากับผู้ที่ไม่มีโอกาสเลยความเห็นต่างกันความคิดต่างกัน
เพราะฉะนั้น ก็สละชีพเพื่อความถูกต้องคือ พระธรรมยากแน่ พระธรรมต้องอาศัยกาลเวลาแน่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งกว่าใครจะรู้ความจริงต้องฟังพระธรรมแน่นอน เพราะเหตุว่าสามารถจะรู้ได้ในฐานะเพียงสาวกคือผู้ฟัง ไม่ใช่ในผู้ที่คิดเอง
เพราะฉะนั้น ก็ต้องสละหลายอย่างแต่ว่าสิ่งที่ได้รับ ก็เป็นสิ่งที่ เกินคุ้มเพราะเหตุว่าทุกขณะเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ได้หมดเลย สิ่งที่เคยคิดว่าเป็นเราหรือของเราไม่สามารถที่จะเป็นของเราได้จริงๆ จะติดตามไปไม่ได้เลย
แม้แต่รูปร่างกายของเรา เราคิดว่าเกิดมาได้เป็นเราแต่ขณะสุดท้าย เมื่อหมดสิ้นการที่จะเป็นบุคคลนี้ รูปนี้เคลื่อนไหวก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้
สิ่งที่เคยเหมือนกับว่าเป็นของเราก็ไม่ใช่ของเราแม้รูป และแม้แต่ความคิดว่าทรัพย์สมบัติของเราญาติมิตรสหายของเราก็ไม่เหลือเลยเหมือนที่จากมาแล้วจากชาติก่อน
เพราะเหตุว่าไม่ได้มีชาตินี้ชาติเดียว แต่ละคนหลากหลายมาก มาจากชาติต่างๆ ที่ได้สะสมมาหลากหลาย จนกระทั่งหลากหลายเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ทันทีที่จากชาติก่อนมาสู่ชาตินี้ ลืมหมด
ทรัพย์สมบัติมีมากมีมากไหมชาติก่อน เคยเป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์หรือว่าเคยเป็นใครทำดีทำชั่วอย่างไรมา ชื่ออะไร มีญาติพี่น้องแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ฉันใดทันทีที่จากโลกนี้ไปลืมหมด ยังไม่จากจึงไม่ลืม
เพราะฉะนั้น ที่ไม่ลืมจำอะไรไว้ เป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าจำว่าได้เคยฟังธรรม ได้มีความเข้า ใจธรรม พอฟังอีกรู้เลยเข้าใจขึ้นจากการที่ได้สะสมมาไม่สูญหายเลย
ทุกอย่างที่สะสมไม่ว่ากุศลใดๆ ทั้งสิ้นอกุศลใดๆ ทั้งสิ้นเก็บไว้ในจิตโดยการสะสมสืบต่อ ไม่มีใครสามารถที่จะลักขโมยยักยอกออกไปได้เลย เมื่อเหตุมีอยู่ที่ใดที่นั่นก็เป็นที่ที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จิตที่สะสมกุศล และอกุศลมาก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลของกุศล และอกุศลปรากฏให้เห็นในแต่ละชาติ เพราะฉะนั้น เราเห็น เราได้ยินเหตุการณ์ต่างๆ ทุกวันถ้าไม่มีกรรมที่ได้ทำไว้ก่อน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น สัตว์โลกไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นจึงเป็นที่ดูบุญ และบาป และผลของบุญ และบาปชัดเจนว่ามีเหตุที่จะให้แต่ละคนต่างกันแม้แต่เห็น ได้ยิน คิดนึก ทุกสิ่งทุกอย่างหลากหลายไป
ซึ่งละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือว่าทุกขณะไม่ยั่งยืน ขณะเมื่อกี้นี้ได้ยินเสียงแล้วใช่ไหมเสียงเก่า ไม่ใช่เสียงนี้หมดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วเป็นอย่างนี้ทั้งหมดไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
วันหนึ่งที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างในชาตินี้ก็ต้องมาถึง จะช้าหรือจะเร็ว เพราะ ฉะนั้น ที่เคยติดข้องไว้มากๆ ถึงเวลาก็ลืมหมดจะมีประโยชน์ไหม ถ้าได้ศึกษาธรรม แล้วก็เข้าใจธรรมรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งขึ้น มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่เอามาแลกกับความเข้าใจที่ได้เข้าใจแล้วยอมไหม
ให้กลับไปเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยได้ยินได้ฟังอะไรเลย เพราะว่าทรัพย์สมบัติซึ่งเข้าใจว่าควรจะต้องมีมากๆ เพราะว่าเป็นประโยชน์ แต่เมื่อเทียบกับความเห็นถูกความเข้าใจถูกแล้วนี่ก็ห่างกันมาก เพราะทรัพย์สมบัติมากเป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่ว่ารัตนะนั้นสามารถที่จะทำให้หมดความทุกข์
แต่พระธรรม ธรรมรัตนะ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ บุคคลนั้นก็คลายจากความทุกข์ได้ ไม่ว่าจะกำลังเป็นโรคร้าย แต่ก็มีธรรมที่ทำให้รู้ว่า ก็เป็นของธรรมดา และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าที่เข้าใจว่าเป็นโรคร้ายความจริงคืออะไร
เพราะว่าความจริงมี สามารถเข้าใจได้รู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นธรรมไม่เว้นเลย ถ้าเข้าใจจริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าได้มีความเข้าใจอย่างนี้ ทรัพย์สินเงินทองซึ่งเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งจะมาแลกกับธรรมที่ได้เข้าใจแล้วก็ไม่มีใครยอมแลกยิ่งกว่านั้นคือกำลังติดข้องในทรัพย์
ขณะที่แรกไปแล้วไม่มีความเข้าใจเพราะเอาไปแลกกับความเข้าใจแล้วก็ตาย จากโลกนี้ไปในขณะนั้นแล้วจะเหลืออะไรใช่ไหม
ถึงอย่างไรเวลาตายจากโลกนี้ไปแล้วทรัพย์ทั้งหมดไม่ได้ตามไปได้เลย แต่ว่าเมื่อเอาไปแลกกับความเข้าใจแล้วไม่เหลือแล้วก็ยังคงมีความไม่เข้าใจ
แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้วอะไรๆ ก็ไม่สำคัญสิ่งที่เข้าใจแล้วจะติดตามต่อไป เป็นทรัพย์ที่แท้จริง เพราะเหตุว่าจะนำมาซึ่งความสำเร็จในการที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เฉพาะวันนี้
แสนโกฏกัปป์มาแล้วเมื่อวานนี้ เดือนก่อน ปีก่อนก็เป็นแค่นี้เองแล้วก็หมดไปทุกวันหมดไปทุกขณะ เมื่อวานนี้ไม่เหลือแล้ว เดือนก่อนก็ไม่เหลือเลย
พรุ่งนี้ วันนี้ก็ไม่เหลือแล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้ทำอะไรที่ไม่เหลือแล้วในวันพรุ่งนี้แต่ถ้าวันนี้ได้ฟังธรรมได้เข้าใจธรรมยังมีการสืบต่อไปถึงพรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไปด้วย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้เข้าใจธรรมเห็นประโยชน์จริงๆ ไม่มีสิ่งใดจะมีค่าเท่ากับพระรัตนตรัย
อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ความถูกต้องคืออย่างไร และมีระดับใดบ้าง และความถูกต้องที่สูงสุดในคำสอนของพระผู้มีพระภาคคือยังไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสภาพธรรมเลยจะไม่มีพระโพธิสัตว์ จะไม่มีการบำเพ็ญความดีพร้อมเพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ ก่อนฟังพระธรรมใครรู้บ้าง แม้แต่ว่าอะไรจริงก็คิดไม่ออก
ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้เห็นมีจริงๆ ไหม ตัวอย่างเดี๋ยวนี้เห็นมีจริงๆ หรือเปล่าขอคำตอบด้วย
มี แต่บางคนสงสัยเห็นจริงๆ รึเปล่าเพียงแค่ได้ยิน เกิดสงสัย ทั้งๆ ที่เป็นธรรมดา คือธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรงแล้วก็จริงใจเพราะประโยชน์จริงๆ ของการฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจความจริงเพราะว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะกล่าวความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้เลยถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น เห็นมีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ภาษาบาลีไม่มีคำว่า สิ่งที่มีจริงเลย นี่เป็นภาษาไทย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นสองภาษาแต่ตรงกันก็คือว่าธรรมที่ชาวมคธพูด หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจริงจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้น ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งขณะนี้สิ่งที่มีจริงยังไม่มีการเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็จะตรัสรู้คือรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีไม่ได้
จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเห็นมีจริงถูกต้องใช่ไหม รู้เพียงเท่านี้ พอไหม เห็นอะไรเห็นไหม ไม่เคยมีการคิดไตร่ตรอง
เห็นมีจริงแต่เห็นเป็นอะไรแล้วเห็นอะไร แต่พระโพธิสัตว์ไม่คิดเหมือนคนอื่นเลย คนอื่นก็มีชีวิตไปวันๆ เพลิดเพลินไปแล้วก็จบ แต่พระโพธิสัตว์สิ่งที่มีจริงเหล่านี้สามารถจะเข้าใจความจริงได้ไหม เพราะว่าทุกคนเกิดแล้วตาย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่เกิดแล้วตายที่เป็นความจริง เห็นแล้วไม่เห็นก็จริง ใครเห็นได้ตลอดวัน ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เกิดเห็นแล้วไม่เห็นเพราะอะไร
ขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม ถึงจะได้รู้ว่าแท้ที่จริงเพื่อทำก็คือทรงแสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีทุกอย่าง ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียวไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น
คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคำตอบสำหรับทุกคำถาม เพราะว่าทรงตรัสรู้ แม้แต่ว่าสิ่งที่ทุกคนไม่เคยคิดเลย ขณะนี้มีเห็น ถูกต้อง
แต่เห็นไม่ได้มีตลอดเวลา ทันทีที่เกิดได้ยิน ไม่มีเห็นเร็วปานนั้น จนกระทั่งไม่รู้เลยว่าเห็นต้องไม่มีในขณะที่ได้ยิน เพราะว่าเหตุที่จะให้เกิดเห็นต่างกับขณะที่ได้ยิน
เพราะฉะนั้น จะเป็นพร้อมกันสองอย่างไม่ได้ แม้แต่สิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่จะปรากฏได้ทางหนึ่งทางใดด้วยกัน เช่นเวลาที่เสียงปรากฏ สีสันต่างๆ หรืออย่างอื่นไม่มีปรากฏเลย
ขณะที่เห็น อ่อนแข็ง เย็นร้อนอะไรก็ไม่ปรากฏ มีเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้นเริ่มลึกซึ้งหรือยัง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1900
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1920