ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1916


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๙๑๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมดิอิมพีเรียล จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ จะเป็นสองไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แม้แต่เสียงจบแล้วเป็นแต่ละหนึ่ง เสียงใหม่เกิดใหม่ไม่ใช่เสียงเก่า เพราะฉะนั้น จากการที่ได้เริ่มเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดแล้วดับไปโดยไม่เคยรู้มาก่อน ก็มีการที่จะค่อยๆ พิจารณาความจริงถึงคำที่ผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้เลยสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา บังคับให้เกิดไม่ได้เช่นแข็ง

    ใครจะไปไม่ให้แข็งเกิดเป็นแข็ง ใครจะไม่เสียงเกิดไหนลองบังคับไม่ให้เสียงเกิดก็ไม่ได้ ลองบังคับไม่ให้คิด ก็บังคับไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น ชั่วขณะที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยยากแสนยากที่จะเข้าถึงความจริงว่าขณะนี้เป็นอย่างนั้น

    ต้องมีการที่จะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าที่ไม่เคยรู้ความจริง เป็นมิจฉัตตะมาตลอดเวลา ยึดถือว่ามีเรา มีเขา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทรงตรัสรู้ความจริง ได้แสดงความจริงซึ่งมีโอกาสจะได้ยินได้ฟังแน่นอน เมื่อเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ว่าอยู่ในโลกไม่นาน แล้วก็จะจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม และยังเพิ่มกิเลสขึ้นมากกว่าเดิมอีก

    เพราะทุกครั้งที่มีการเห็นมีการได้ยิน เพราะไม่รู้จึงติดข้อง จึงมีการหลงยึดถือสิ่งที่เกิดดับเร็วมากว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะไม่รู้ในการเกิดดับ

    ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมต้องละเอียดจริงๆ ทุกคำต้องไตร่ตรอง อย่าเพิ่งคิดว่าพอแล้วเข้าใจแล้วเช่นคำว่าอริยสัจจะ ความจริงขณะนี้มีแน่นอนเห็นมีเป็นสัจธรรม แต่ว่ายังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับของเห็น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่อริยสัจธรรม ถ้าเป็นอริยสัจธรรมคือความจริงแท้ๆ นี่แหละสามารถที่จะรู้ความจริงจนละความไม่รู้ และดับกิเลสได้จึงจะเป็นอริยสัจธรรม

    ไม่ใช่ไปรู้อื่นเลย คนที่อบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้ ก็คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแม้เป็นคำสั้นๆ ซึ่งภาษาไทยก็หมายความว่ามีปัญญาที่เห็นถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    แค่นี้ฟังแล้วถูกต้องแค่ไหนหรือว่าคิดเองไม่ได้แน่ เข้าใจว่าถูกอย่างชาวโลกใช่ไหม เพราะฉะนั้น ความจริงของชาวโลกกับความจริงของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ก็ห่างไกลกันมาก แต่ว่าจากความที่แค่รู้ความจริงอย่างโลกๆ อย่างชาวโลกว่า เกิดแล้วแก่ จริง แล้วก็เจ็บแล้วก็ตาย จริง นั่นคือชาวโลก

    แต่ความจริงของผู้ที่ทรงตรัสรู้ อะไรเกิดชัดเจนยิ่งกว่านั้นอีกว่าไม่ใช่เราเกิด แต่อะไรเกิด เพราะเหตุว่าทุกอย่างที่มีจริงถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงก็จะเข้าใจคำว่าธรรมลึกซึ้งขึ้น

    เพราะเหตุว่าธรรมทุกอย่างเป็นธาตุหรือธา-ตุเป็นสิ่งที่มี และก็ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ความโกรธความขุ่นใจเกิดขึ้น ไม่ทันจะต้องไปเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นเลย ดับแล้วทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเกิดตามเหตุตามปัจจัยที่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้จึงเป็นธรรม และเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง

    เกลือเค็มไหม เกิดเป็นเกลือไม่ใช่เป็นคนแต่ธาตุเค็มเกิด เพราะฉะนั้น เค็มมีจริงๆ ไม่ใช่คนแต่เป็นธาตุที่เค็ม เพราะฉะนั้น แข็งเกิดไม่ใช่เค็มแต่เป็นธาตุแข็ง เสียงเกิดเป็นธาตุเสียง ได้ยินเกิดไม่ใช่เสียง แต่เป็นธาตุที่เกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ก็ตามธาตุทั้งหมดก็ต่างกันโดยประเภทใหญ่ๆ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดแน่นอนแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยปรากฏทุกวัน แข็งปรากฏเสียงปรากฏ รสต่างๆ ปรากฏ

    แต่ถ้าไม่มีอีกธาตุหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยแม้ขณะนี้ก็มี และกำลังรู้ก็ไม่เคยรู้ความจริงเลย เพราะตื่นมาก็มีแต่สิ่งที่ปรากฏให้รู้ ให้ได้ยินลืมรู้ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้เสียอย่างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ปรากฏไม่ได้

    เช่นขณะนี้เห็น เพราะว่ามีจักขุปสาทที่เราใช้คำว่าตา เป็นรูปพิเศษจริงๆ ไม่ใช่เพียงแข็งเพียงอ่อนแต่เป็นรูปที่ไม่ใช่อ่อนไม่ใช่แข็ง แต่อาศัยเกิดกับสิ่งที่อ่อนที่แข็งแต่ว่าเป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนหู มองไม่เห็นหู เห็นแต่ใบหู ส่วนประกอบต่างๆ หูข้างนอกหูข้างใน แต่ธาตุที่สามารถกระทบเสียงที่เราใช้ว่าโสตปสาทเป็นรูป เป็นสิ่งที่ไม่รู้อะไรแต่เป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับเสียงคิดดูทั้งหมดเป็นธรรมทั้งนั้นเลย แต่เพราะความไม่รู้ก็เป็นเราไปหมด แต่ถ้ารู้ละเอียดขึ้นๆ ๆ แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่เพียงธาตุซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    เพราะฉะนั้น อะไรเกิด เห็นไหมเราพูดว่าเกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายความจริงอย่างโลกๆ ชาวโลกธรรมดาแต่ว่าพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ชาวโลกธรรมดาแต่สามารถที่จะเข้าใจความจริงแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดมากจนถึงที่สุดว่า ที่ว่าเกิดถ้ามีแต่เพียงรูปเท่านั้นเกิด ธาตุที่ไม่รู้อะไรเลย อ่อน แข็ง เย็นร้อนเกิดขึ้นมาไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิด

    เพราะฉะนั้น คิดก็ต่างกับแข็ง เห็นก็ต่างกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่เราบอกว่าเกิด อะไรเกิด ชาวโลกก็บอกว่าคนเกิด สัตว์เกิดแต่ว่าตามความเป็นจริงธาตุรู้เกิดพร้อมกับรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น นามธรรม และรูปธรรมเกิดพร้อมกัน ไม่ใช่เราแล้วดับไปเลย แล้วการดับไปของสิ่งที่เกิดแล้วนั่นแหละเป็นปัจจัยทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น เพราะฉะนั้น โลกก็ดำรงอยู่ได้ด้วยธาตุรู้ ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ มีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับแต่ก็เป็นปัจจัยให้ขณะอื่นสืบต่อเป็นธาตุรู้ไม่สิ้นสุด ในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ถ้าไม่มีเห็นหนึ่งขณะเดี๋ยวนี้ไม่มีสังสารวัฏฏ์แล้ว แต่ที่เป็นสังสารวัฏฏ์เพราะไม่เคยหยุดไม่เคยขาดเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าเห็นหมดก็จริง แต่มีได้ยินไม่มีเห็นไม่มีได้ยิน ก็มีคิดนึกถึงแม้ว่าไม่มีเห็น ไม่มีคิดนึก ไม่มีได้ยินหลับสนิทก็ดำรงภพชาติพร้อมที่จะเกิดขึ้นเห็นใหม่ เห็นอีกได้ยินอีกไปจนกว่าจะตาย

    เพราะฉะนั้น อะไรเกิดไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุ นานาธาตุซึ่งเกิดขึ้นแต่ละหนึ่งแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความจริงที่เกิดจากการตรัสรู้ความจริงแท้ๆ กับความจริงของชาวโลกก็ต้องต่างกัน ฟังแล้วเป็นประโยชน์ไหมได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ จนถึงปัญญาที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์ คือการได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน ปัญญาระดับไหน ทั้งหมดเป็นปัญญาเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกในฐานะของผู้ที่ไม่ได้รู้ด้วยตัวเองก็ต้องอาศัยฟังผู้ที่ตรัสรู้จึงชื่อว่าสาวกผู้ฟัง ฟังพระธรรมที่บุคคลที่รู้แล้วแสดง

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดไม่ใช่ของใครเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ไม่ได้ตรัสรู้ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ แต่ผู้ใดที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วมีพระมหากรุณาที่เห็นว่าคนอื่นไม่รู้แล้วเขารู้ได้จากคำนั้นที่ทรงแสดง ถ้าไม่ตรัสเลยไม่ทรงแสดงพระธรรมเลย ๔๕ พรรษา ก็เป็นการตรัสรู้เพียงด้วยพระองค์เองเท่ากับเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    แต่นี่เมื่อทรงบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าการถึงความรู้แจ้งสภาพธรรมด้วยตนเอง ยังประกอบด้วยพระทศพลญาณยากแสนยาก และก็เหนือบุคคลอื่นบุคคลใดทั้งสิ้น ในสากลจักรวาล โลกจึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันสองพระองค์ไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นถึงบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อนที่ทำให้เป็นผู้ที่มีโอกาสยากยิ่งที่จะได้ฟัง และยากยิ่งกว่านั้นคือฟังแล้วก็ยากยิ่งที่จะเข้าใจ แต่เข้าใจได้แล้วมากมายเลยไม่ว่าจะเป็นพรหมเป็นเทพเป็นมนุษย์ในกาลที่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์

    แต่พระธรรมยังอยู่พร้อมที่จะให้คนอื่นได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังได้ศึกษาได้อ่านได้ไตร่ตรองแล้วก็รู้ว่าคำจริงทั้งหมดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็รู้ตัวเองใช่ไหม ปัญญาแค่นี้เทียบกับพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษาแต่ละคำเผินไม่ได้ ผ่านไม่ได้ต้องละเอียด

    แม้แต่เมื่อเช้านี้ที่เราพูดคำว่าโยคาวจร หรือแม้แต่จะพูดคำว่าสัมมัตตะ มิจฉัตตะ เพราะเราเคยได้ยินแต่คำว่าสัมมามรรค ถ้าศึกษาก็รู้ว่ามิจฉามรรคต้องมีแน่ มิฉะนั้น จะต้องมีสัมมาทำไม แต่เพราะเหตุว่าทาง และมีทั้งถูก และผิดแยกจากกันเลยทางถูกต้องถูกไม่มีผิดใดๆ มาเจือปนเลยเป็นสัมมามรรค และสิ่งที่ผิดก็ต้องมี ถ้าไม่มีผิดจะมีถูกไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผิดก็เป็นมิจฉามรรคพาไปไหน เมื่อเป็นมรรคหมายความถึงเป็นหนทาง หนทางที่ถูกพาไปสู่ความรู้ที่ถูกที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ส่วนหนทางที่ผิด ตรงกันข้ามน้อยพาไปสู่ความเห็นผิด ยิ่งขึ้นๆ ไม่รู้จักว่าสิ่งใดถูก และสิ่งใดผิด

    เพราะฉะนั้น ความเป็นผิดสามารถที่จะถึงการหลงผิดว่าได้รู้แจ้งสภาพธรรม เพราะฉะนั้น จึงมิจฉาญาณนอกจากมิจฉามรรค ๘ ที่ทุกคนรู้แล้วว่าได้แก่เจตสิกอะไรหรือสภาพธรรมอะไรบ้าง

    แต่เพิ่มอีกสองคือมิจฉาญาณเข้าใจว่าพ้นแต่ไม่พ้นจริงๆ จากกิเลสแต่เข้าใจผิดแล้วก็มิจฉาวิมุตติ มิจฉาญาณคือเข้าใจว่ารู้แต่สิ่งที่รู้ไม่ใช่ความจริงมิจฉาวิมุตติเข้าใจว่าพ้นแล้วจากความเห็นผิด

    แต่เมื่อความรู้ไม่ใช่รู้ถูกก็จะพ้นไม่ได้เลยจึงเป็นมิจฉาวิมุตติตรงข้ามกับสัมมา สัมมามรรค ๘ และก็สัมมัตตะ ๑๐ เพิ่มสัมมาญาณกับสัมมาวิมุตติ นี้ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมทุกคำที่ทรงแสดงเพื่อประโยชน์ เพื่อเข้าใจถูก เพื่อเป็นผู้รอบคอบ เพื่อเป็นผู้ละเอียดเพราะเหตุว่าความไม่รู้มีมาก แล้วกิเลสก็มากมายพร้อมที่จะหลงไปเพราะไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้พระธรรมทุกคำที่ศึกษาโดยความไม่ประมาทด้วยความเคารพจริงๆ ก็จะช่วยทำให้ผู้นั้นพ้นจากความเห็นผิด และความเป็นผิดได้ แต่ต้องเป็นผู้ตรงซึ่งเป็นบารมีหนึ่งใน ๑๐ บารมี

    อ.ธีรพันธ์ กราบเรียนถามท่านวิทยากรหัวข้อประเด็นก็คือ คืนมีความสุขให้กับประชาชน

    ท่านอาจารย์ คืนความสุขให้ประชาชน ความสุขของใครไปคืนให้ใครใช่ไหม คืนได้ไหม เอาแบบไหนมาคืนให้ใช่ไหม ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่คิดแล้วก็ตามๆ ไป แต่ว่าหมายความว่าคำพูดได้แสดงว่าก่อนนั้นไม่สุข หรือว่าไม่มีสุขเรียกว่าสุขหายไป จึงเอาสุขนั้นคืนมาให้

    แต่ว่ายังเผิน เพราะว่าตามความจริง และต้องรู้ว่าสุขคืออะไร และเมื่อไหร่ ความสุขอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีใจ มีสุขมีทุกข์ไหม ไม่มีเลย แล้วใจใครจะไปทำให้สุขให้ทุกข์ได้สามารถที่จะแก้ไขเพียงความลำบากซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้จิตใจเดือดร้อนเป็นทุกข์ แต่ว่าแก้จริงๆ หรือเปล่า คืนมาให้จริงๆ หรือเปล่า นี่เป็นสิ่งซึ่งก็จะต้องพิจารณาดูจากสิ่งที่เป็นทุกข์ และไม่เคยดีเลยก็กลับมาดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อยพ้นจากความทุกข์ยากลำบากไป ก็เหมือนกับว่าความสุขค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากความทุกข์ซึ่งมีเพราะว่าความสุขหายไป

    แต่เผินมาก เพราะเหตุว่าต้องรู้จริงๆ ว่าใครจะคืนความสุขให้ใครได้ เพราะว่าความสุขของแต่ละคนต้องมาจากจิตของแต่ละคน เอาเงินทองกองให้เราล้นหลามแต่คนที่มีความทุกข์ใจ หายไหม

    เอาความสุขใจไปให้ใครเขาได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดต้องรู้ว่าสุขนั้นจะมาจากไหน ไม่ใช่มาจากความไม่รู้แล้วโลภ และต้องการไม่มีที่สิ้นสุดเลย ความต้องการของคนไม่รู้เลยว่าเพียงแต่ขณะที่คิดติดข้องเท่านั้น ตามความเป็นจริงคือจิตนั้นหวั่นไหวแล้ว หวั่นไหวจากความสงบแล้ว ทุกข์เกิดแล้วแล้วจะเอาสุขมาให้ตรงไหนใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ที่รู้ความจริงเท่านั้น จึงสามารถที่จะทำให้คนที่มีทุกข์ค่อยๆ คลายทุกข์ได้ไม่ใช่เพราะเงินทองทรัพย์สมบัติ แต่เพราะปัญญาที่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกจริงๆ เพราะว่าในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เกิดไม่ว่าจะเป็นสภาพใดๆ ทั้งสิ้นปัญญาประเสริฐสุด ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับปัญญา เพราะเหตุว่าแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกข์อย่างไร แต่ปัญญาทำให้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงขณะนั้นไม่ทุกข์เพราะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้เป็นสิ่งซึ่งเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่เกิดมา ตามบุญ ตามกรรมหรือเปล่า เพราะว่าคนไทยพูดคำที่ถูกต้อง แต่ไม่ลึกซึ้งเพราะเหตุว่ายังไม่เข้าใจจริงๆ

    บุญกรรมแยกกันหรือเปล่า หรือว่าบุญคืออะไรกรรมคืออะไรจนกระทั่งบางคนก็ถามว่าทำอย่างนี้เป็นบุญใหม นี้แสดงว่าไม่รู้จริงๆ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มีมาก แต่ผู้รู้มี เพราะฉะนั้น คงไม่ลืมมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ลืมเมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น แต่ถ้าไม่ลืมไม่หวั่นไหวเลยเพราะเหตุว่าพึ่งได้จริงๆ ทุกยามทุกกาล ทุกสถานการณ์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าเราจะไม่เพียงตามคำพูดที่ได้ยินแต่ว่าต้องเข้าใจจริงๆ ว่าคำพูดนั้นหมายความ ตื้นลึกหนาบางระดับไหน จากความทุกข์ยากเดือดร้อนก็ค่อยๆ คลายเหตุที่จะให้เป็นทุกข์เดือดร้อน ก็กล่าวว่าคืนความสุขให้ประชาชนแต่ประชาชนทุกคนต่างคนต่างทุกข์ไม่เหมือนกันเลย เศรษฐีก็ทุกข์ได้ มีทุกอย่างก็ยังทุกข์ได้ แล้วยังไงใครจะไปทำให้คนนั้นมีความสุขได้ แต่ว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้ความทุกข์นั้นลดน้อยลง

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดคำอะไรเช่นความมั่นคงของประเทศชาติ ถ้าไม่ใช่คนดี ความมั่นคงนั้นมาแต่ไหน ใช่ไหม จะทำยังไงๆ ให้มั่นคงได้ เพราะฉะนั้น ความมั่นคงจริงๆ ความสุขที่แท้จริงก็ต้องจากความดีเท่านั้นไม่ใช่อย่างอื่น ไม่ใช่เพียงแต่คิดเองว่าทำอย่างนี้แล้วคนนั้นจะเป็นสุข แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่รู้ว่าสุขอยู่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจจริงๆ ก็สามารถที่จะช่วยคนอื่นได้อย่างพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์ให้คนอื่นพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงตามลำดับ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าคำพูด พูดได้ตามกำลังของความคิด แต่ว่าถ้าเป็นความจริงแล้วจะสุขหรือจะทุกข์ใดๆ ก็ตามถ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คนนั้นมีที่พึ่งอย่างแท้จริง

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ที่กล่าวว่ามั่นคงต้องเพราะความดี

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีแต่ทุกคนเป็นคนเลวมั่นคงไหม

    อ.อรรณพ ไม่มั่นคง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะทำยังไง ถึงจะมั่นคง เห็นไหมก็ต้องมีปัญหาต่อไป ถ้าสามารถให้ทุกคนเข้าใจความจริง และก็ทำความดีเพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะฉะนั้น ความดีก็เพิ่มขึ้นความมั่นคงของประเทศที่มีคนดีเท่านั้นหรือมากขึ้นก็จะทำให้ความมั่นคงนั้นเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง มีหลายพระสูตรที่ได้กล่าวว่าเมื่อมีอกุศลก็เหมือนกับมือที่ไม่เรียบร้อยก็ต้องหดเก็บไว้ไม่แน่ใจว่าประโยคเต็มเป็นยังไง แต่ประมาณว่าก็เก็บเนื้อเก็บตัวอะไรประมาณนี้ นั่นหมายความว่าไม่กล้าหรือยังไง

    ท่านอาจารย์ เก็บอย่างไง พูดได้แต่ว่าวิธีนี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญา เป็นวิธีของความไม่รู้ เป็นวิธีของอกุศลซึ่งก็จะพอกพูนความไม่รู้ และความเป็นเราเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง อย่างเช่นจะชายตามองรูปสวยๆ ถ้ามีความเข้าใจว่าไม่ดูเพราะรู้ว่าเป็นอกุศลกับไม่ดูเพราะกลัวว่าจะเป็นอกุศลก็ต่างกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นผู้นั้นมีความรู้ตามความเป็นจริงว่าปัญญาไม่พอ จึงมีความต้องการอย่างหนึ่งอย่างใด ใช่ไหม แม้แต่จะเหลือบจะชายตาดู ก็เป็นเราที่ไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้น ไม่มีเราเกิดแล้วถ้าไม่ชายตาก็เกิดแล้ว ถ้าชายตาเกิดแล้วด้วยเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเราพูดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดทั้งนั้น ว่าจะอย่างนั้นจะอย่างนี้ จะไม่ให้เป็นอย่างนี้ จะไม่ให้เป็นอย่างนั้น ลืมว่าขณะนั้นเกิดแล้ว คือความคิดนั้นเกิดแล้ว คิดอย่างนั้นได้เกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริง ว่าขณะนี้มีแต่สิ่งที่เกิดแล้วทั้งนั้นถูกต้องไหม เห็นก็เกิดแล้ว ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน แต่พอได้ยินก็เกิดแล้ว จะมีใครไปทำอะไรได้

    เพราะฉะนั้น ความจริงที่ซ่อนเร้นก็คือว่าไม่มีเราแน่นอน มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วแต่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น เมื่อมีความไม่รู้ไม่เข้าใจการเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นธรรมที่ต้องเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นก็ยึดถือสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละว่าเป็นเราเพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงก็คือว่าเป็นสิ่งนั้นต่างหาก ที่เกิดขึ้นเป็นแข็ง เป็นคิดเป็นชอบ เป็นโกรธ เป็นทุกอย่างจนกระทั่งแม้เป็นคิดที่จะทำอย่างนี้หรือว่าไม่ทำอย่างนี้ทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ความละเอียดลึกซึ้งก็คือว่าสิ่งนี้เกิดแล้วแต่หลงเข้าใจว่าจะไปทำสิ่งอื่น แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วซึ่งปรากฏเพียงชั่วเล็กน้อย แล้วก็ดับไปแต่ว่ามีสิ่งอื่นเกิดอีก เพราะฉะนั้น ไม่มีความมุ่งหวังต้องการแม้สิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าจะรู้เฉพาะสิ่งนี้

    ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นดับแล้ว ยังไงยังไงก็รู้ไม่ได้เหมือนกับว่าทันทีที่รู้ว่ามีก็ดับเลย ความรวดเร็วถึงอย่างนั้นแต่ก็ยังมีเหมือนเดิมที่จะให้เข้าใจอีก เช่นเห็นจะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลยเห็นก็ยังคงเป็นเห็นคือมีสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าให้รู้ว่าสิ่งนี้มีจริงๆ เห็นก็มีจริงๆ แล้วก็เห็นสิ่งที่ปรากฏแม้ว่าสภาพธรรมนี้เกิดดับเร็วเพียงใดก็ตาม แต่ก็เกิดอีก

    เกิดอีกเป็นอย่างนี้อีกไม่เป็นอย่างอื่นจนกว่าความเข้าใจ จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในขณะนี้เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นแม้ความไม่รู้ก็มีเหตุปัจจัยที่จะไม่รู้สิ่งที่มีนั้นแหละเรื่อยๆ ไปจนกว่าสามารถที่จะได้ยินได้ฟัง คำซึ่งเป็นวาจาสัจจะซึ่งจะนำไปสู่มัคคสัจจะหนทางที่เป็นหนทางจริงๆ ที่จะละความไม่รู้เพราะมีการที่เห็นประโยชน์ของการฟังแม้ขณะที่ฟังทำไมถึงต้องกล่าวว่าได้ฟังสิ่งที่ได้ฟังโดยยากยิ่ง ไม่ใช่ว่าจะได้ฟังง่ายๆ และถึงแม้ว่าได้ฟังแล้วก็ยากที่จะรู้ความจริงได้ คำกล่าวเช่นนี้ ประโยชน์เพื่ออะไร

    ประโยชน์ให้ตั้งใจฟัง เพราะฉะนั้น ทุกอย่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประโยชน์ และมีความหมายถ้าเราไม่ผ่านไปเฉยๆ เราก็จะรู้คุณค่าของแต่ละคำแม้แต่ขณะนี้ไม่มีใครอยากจะมีโลภะมากๆ พยายามเหลือเกินไม่ชายตาใช่ไหมที่จะดูแม้เพียงนิดเดียวก็แสดงให้เห็นว่ารู้ตัวว่ามีโลภะมาก แต่ว่าอย่างไรโลภะถึงจะค่อยๆ น้อยลงสิ่งที่มีมากสะสมมานานมากแล้วจะให้หมดไปทันทีเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้

    เพราะว่าสิ่งที่มีมากเกิดเพราะอะไรเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่รู้ และมีมากจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปด้วยอะไรก็ได้ความรู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    11 ก.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ