ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1917


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๙๑๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมดิอิมพีเรียล จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่รู้ และมีมาก และจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปด้วยอะไร ก็ด้วยความรู้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทนต่อความจริง ทุกคนอยากจะมีปัญญามากๆ ยิ่งฟังแล้วก็รู้สึกว่ากิเลสมากยิ่งอยากจะหมดเร็วๆ นี่คืออยาก

    แต่ไม่ใช่เหตุที่ถูกต้องที่สมควรที่จะให้ความไม่ดีทั้งหมดที่สะสมมาทุกอย่างไม่ใช่แต่เฉพาะความอยากหรือความติดข้องค่อยๆ ละคลายไปได้ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงว่าถ้าไม่มีปัญญาเจริญขึ้นเลย ทุกวันนี้ก็มีแต่การสะสมสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเหมือนโปรยธุลีลงไปในใจทุกขณะ ที่เห็นแล้วก็ชอบ ไม่ชอบหรือว่าจะมีความสำคัญตนหรืออะไรก็ตามแต่ทั้งหมดที่เป็นธรรมฝ่ายอกุศลพร้อมที่จะเจริญงอกงามเหมือนวัชพืช

    ไม่ต้องอาศัยอะไรเลยเพราะความไม่รู้นั่นเองทำให้เกิดมีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเป็นโอกาสที่ประเสริฐยิ่ง ที่รู้ว่าความเข้าใจอย่างนี้แหละเพียงเท่านี้แม้น้อยแต่มากขึ้นได้ เมื่อเห็นประโยชน์แล้วก็สะสมไปเรื่อยๆ วันหนึ่งสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกคำเป็นความจริงปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว

    ผู้ฟัง มีอีกคำถามหนึ่งที่กล่าวว่าไม่พัก และไม่เพียรมีความหมายว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่กำลังปรากฏไม่รู้สักที แล้วก็ไม่ฟังสักที ทั้งสองอย่างเลยใช่ไหม มีโอกาสที่จะได้เข้าใจก็ไม่ฟังให้เข้าใจ พักแล้ว

    รู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เราเพียรที่จะรู้อย่างนั้นด้วยความเป็นเรา ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะยังเป็นเราตราบใดไม่ใช่ปัญญาที่มีความเห็นที่ถูกต้องว่าธรรมลึกซึ้ง ผู้ที่ทรงแสดงทรงตรัสรู้ผู้นั้นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงคำนี้ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ จะไม่ไปทางผิด เพราะเหตุว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจะไม่มีคำพูดว่าเมื่ออกุศลเกิดทำอะไรไม่ได้ก็ปล่อยไป ใช่ไหม

    ปล่อยอะไร ไม่ต้องปล่อยอะไรทั้งหมดต้องเป็นไปอย่างนั้นคืออกุศลที่เกิดแล้วก็ต้องดับๆ แล้วก็สะสมสืบต่อไปใครจะไปทำอะไรได้นอกจากผู้เขลาเพราะไม่รู้ เพียงอย่างนี้คำที่ว่าทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้งว่า ทำอะไรไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่ตัวตนที่จะไปทำอะไรได้เลยเพราะไม่มีตัวตน เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด

    ขณะนี้ที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ใครรู้บ้างว่าจิตเจตสิก เกิดดับทุกขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ไม่รู้เลยอยู่ที่ตัวแท้ๆ แล้วก็กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงขณะที่กำลังฟังธาตุรู้ต่างหากที่เกิดขึ้น เมื่อมีรูปที่สามารถกระทบเสียงเท่านั้น ถ้ารูปนี้ไม่มีเสียงปรากฏไม่ได้เลย แต่เมื่อมีธาตุที่สามารถกระทบเสียงได้ เสียงกระทบกับธาตุนั้นเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นมีความต่างแล้วจากธาตุที่เป็นโสตปสาทที่สามารถกระทบเสียง และธาตุที่เป็นเสียงซึ่งกระทบได้เฉพาะธาตุเดียว คือโสตปสาทกระทบอื่นไม่ได้เลย

    แล้วก็ทำให้เกิดอีกธาตุหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้เฉพาะเสียงที่กระทบกับโสตปสาทไม่ใช้เสียงอื่น

    ทั้งหมดนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้วก็ยังไม่เป็นคำที่เข้าใจ เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับเร็วมากทุกขณะต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงอนุเคราะห์แสดงโดยละเอียดยิ่งโดยนัยของพระอภิธรรม โดยนัยของพระสูตร โดยนัยของพระวินัยซึ่งเป็นการขัดเกลากิเลสเพราะว่าตราบใดที่ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้เศร้าหมองอย่างยิ่ง เศร้าหมองที่นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกข์โศกแต่หมายความว่าไม่สะอาดอย่างยิ่งเพราะว่าแปดเปื้อนด้วยอกุศลมากมาย แล้วก็นานมาแล้วด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ขจัดอกุศลทั้งหลายที่มากมายในจิตให้เบาบางจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏไหมแม้ว่าสิ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละไม่เป็นอย่างอื่นเลย แสนโกฏกัปป์มาแล้วเห็นเกิดเป็นอย่างนี้ ได้ยินเกิดเป็นอย่างนี้ แต่ว่ามีความสามารถที่จะเข้าใจแม้ว่าเมื่อได้ฟังแล้วตรงตามที่ได้เข้าใจจากการฟังมากน้อยเพียงไหน

    ก็ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงยิ่งขึ้นในความเป็นธรรม ในความเป็นอนัตตาแล้วไม่พัก คือว่ารู้ว่าหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใจขึ้นก็คือฟังจนกว่าจะเข้าใจขึ้นแล้วก็ไม่เพียรที่จะไปให้ความรู้มากยิ่งกว่านี้โดยวิธีอื่น

    เพราะว่าความรู้เท่านี้แม้แค่นี้มาจากไหน มาจากการฟัง เพราะฉะนั้น ความรู้ที่จะเพิ่มขึ้นอีกต้องมาจากไหนก็ต้องมาจากการฟังอีกให้มากขึ้นจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ไปเพียรผิดด้วยความเป็นเราที่คิดว่าสามารถที่จะทำให้จิตซึ่ง ไม่สะอาดอย่างยิ่ง ใช้คำว่าเน่าเหม็นเชื้อโรคหรืออะไรก็แล้วแต่เท่าที่จะเห็นได้ว่าอกุศลทั้งหลายนี้เป็นอย่างนี้มากอย่างนี้แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหนอยู่ที่จิตของแต่ละคน ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่มีความเห็นถูกว่าเพียรไม่ใช่เรา พักก็คือว่าไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจก็มีความเป็นเรายากก็ปล่อยไป อันนี้ก็คือผิด แล้วถ้าขวนขวายโดยการที่ไม่ใช่ปัญญาที่เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งรู้ว่า

    แม้ปัญญาอีกระดับหนึ่ง จากปริยัติจนถึงปฏิ ปัตติก็จะต้องมีปัจจัยคือความรู้ความเข้าใจจากปริยัติที่มั่นคงนั่นแหละเป็นปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีการไปถามคนที่ปฏิบัติ ปฏิบัติอะไรเพราะเขาเข้าใจคำว่าปฏิบัตินี่คือทำ แต่ตามความเป็นจริง และปริยัติ ปฏิ ปัตติ ปฏิเวธต้องสืบเนื่องกันว่า ปริยัติคือการรอบรู้ในพระพุทธพจน์จากการฟัง จากการอ่าน จากการสนทนา จากการค่อยๆ เข้าใจขึ้นจึงจะเป็นปัจจัยให้ไม่ใช่เรา ปฏิ ปัตติสภาพธรรมที่มีในขณะนี้แต่มีกำลังขึ้น อย่างขณะนี้ใครจะรู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมว่า ขณะใดก็ตามที่กำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริงจากการที่ได้ยินได้ฟังขณะนั้นไม่ใช่เราแต่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดีทั้งหมดเช่นสติได้ยินคำนี้ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ที่เข้าใจไม่ใช่เรา แต่เป็นสติ และก็เป็นโสภณเจตสิกอื่นมีทั้งศรัทธา มีทั้งหิริ มีทั้งโอตตัปปะ มีทั้งวิริยะสภาพธรรมที่ดีงามเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่เกิดพร้อมกันเพื่อที่จะทำกิจที่จะถึงความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น เมื่อสติมากขึ้นมั่นคงขึ้นก็ถึงระดับที่ไม่ใช่เพียงฟังเข้าใจเรื่องเห็นทั้งๆ ที่กำลังเห็นแต่สามารถเริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นตรงขณะที่เห็น ถ้าตรงในขณะที่เห็นไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดแต่มีเห็นธรรมดาอย่างนี้อย่าผิดปกติ

    ธรรมดาจริงๆ แต่เริ่มรู้ว่าถ้าผิดปกติคือมีความเป็นเราเข้าไปทำให้ผิดปกติ แต่เมื่อเป็นปกติเพราะมีความเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดธรรมดาอย่างนี้ไม่ต้องทำอะไร แต่เริ่มค่อยๆ เข้าใจ เริ่ม จริงๆ แล้วท่านกล่าวว่ายังไม่ใช่ภาวนาที่แท้จริง

    ถ้าภาวนาที่แท้จริงต้องเริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณขั้นแรกเพราะว่าได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม ได้พบตัวธรรมจริงๆ ซึ่งขณะนี้ได้ยินเรื่องของธรรม แต่ธรรมก็เกิดดับไปไม่เห็นมีใครรู้จักเห็น ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นเห็น และก็ดับไป

    จนกว่าเมื่อถึงเวลาที่ปัญญาสมบูรณ์ ด้วยการที่ไม่ได้หวังด้วยความเป็นเราหรือเฝ้ารอคอย วันไหนเหมือนกับรอคอยปัญญา แต่ว่ารอคอยคือโลภะ แต่ว่ามีการเข้าใจขึ้นเป็นหนทางเดียวที่จะละโลภะ

    คือแล้วแต่เหตุสมควรแก่ผลเมื่อไหร่ก็สามารถที่จะเข้าใจตรงลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง ปฏิ ปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ปัญญา และสติถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง จึงสามารถที่จะรู้ และรู้รอบเพียงหนึ่ง ถ้าสองอย่างสามอย่างปนกัน ไม่มีทางที่จะแยกออกไปรู้ว่าหนึ่งนั้นคืออะไร

    แต่เมื่อสามารถที่จะถึงลักษณะเฉพาะหนึ่งทีละเล็กทีละน้อยก็เริ่มรู้จริงๆ ว่าหมดแล้ว แต่ว่ากว่าจะประจักษ์ความจริงว่าเกิด และดับจริงๆ ก็ต้องเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ขึ้นๆ

    ด้วยเหตุนี้ปัญญาเป็นใหญ่ ปัญญาประเสริฐสุดเพราะเหตุว่าสามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดเป็นผู้ที่ตรง และรู้ว่าขณะไหนเป็นความติดข้องต้องการขณะไหนละความติดข้องต้องการ

    ขณะที่ติดข้องคืออยากจะมี อยากจะเข้าใจ อยากจะรู้ ขณะที่ไม่ติดข้องคือกำลังเริ่มเข้าใจ ขณะที่เข้าใจจะติดข้องในสิ่งซึ่งไม่ใช่เราไม่ได้ เพราะว่าเป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมต้องละเอียด ไม่พักไม่เพียร พักเมื่อไร และก็เพียรเมื่อไหร่ซึ่งต้องไม่ทั้งสองอย่าง มิฉะนั้นแล้วก็เป็นหนทางผิด

    ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพ เรื่องความกล้าหาญที่จะรู้ความจริง ขอยกตัวอย่างเรื่องติดละคร ทีนี้ในการเข้าใจว่าการดูละครก็สะสมมาที่จะติดข้องดู อันนี้คือการกล้าหาญที่จะยอมรับความจริงว่ายังไม่ใช่เวลาของการฟังธรรมแต่เป็นเวลาของการ ติดละคร

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นเรื่องคิด ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ใช่เรื่องคิด และเป็นความเข้าใจจริงๆ นี่จะเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ อย่าลืมมีเห็นนี่มีแน่ มีได้ยินก็มีแน่ มีได้กลิ่นก็มีแน่ มีลิ้มรสก็มีแน่ มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายก็มีแน่ มีคิดก็มีแน่

    เพราะฉะนั้น เรื่องคิดทั้งหมด ขณะใดก็ตามที่ไม่ใช่เห็น เป็นคิดไม่ใช่ได้ยินก็เป็นคิด ไม่ใช่ขณะที่กำลังได้กลิ่นจริงๆ ชั่วขณะนั้นที่ปรากฏก็เป็นคิดแล้ว เร็วมากความคิดที่ติดตามทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ

    แต่คิดนี่มีหลายขั้นด้วยขณะนี้ถ้าถามว่าคิดอะไรใครจะตอบ

    ผู้ฟัง ก็คิดเยอะมากเลย

    ท่านอาจารย์ ตอบไม่ได้ ดับไปแล้วโดยไม่รู้ จะตอบคิดไหน เพราะว่าไม่รู้จริงๆ ว่าเพียงเห็นดับคิดต่อแล้ว

    ถ้าไม่คิดจะมีใครนั่งอยู่ที่นี่ไหม จะมีดอกไม้ไหม จะมีโต๊ะไหมถ้ามีแต่เพียงเห็น เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วอยู่ในโลกของความคิด มาก

    สิ่งที่ปรากฏทางตาให้คิด ถูกต้องไหม ไม่มีใครไม่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏให้คิดนี่แน่นอน แม้แต่เสียงที่ปรากฏ ก็ปรากฏให้คิด เสียงอะไร ทุกคนกำลังได้ยิน ขณะที่รู้ว่าเป็นเสียงอะไรเพราะมีเสียงปรากฏแล้วจำ และคิดถึงเสียงนั้นจึงรู้ว่าเสียงอะไร

    เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความคิด และความคิดจริงๆ ขณะที่คิดมืดหรือสว่าง

    ผู้ฟัง ถ้าขณะคิดก็มืด

    ท่านอาจารย์ ขณะคิดมืดเลยใช่ไหม แล้วก็คิดตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สิ่งอื่นนอกจากคิดเช่นเห็นหรือสิ่งที่ปรากฏทางหูเป็นเสียงต่างๆ กลิ่น รสหรือว่าเย็น ร้อน อ่อน แข็งที่กำลังปรากฏกระทบขณะนี้

    ปรากฏเร็วเหมือนฟ้าแลบแค่นั้นเอง ดับแล้วต่อจากนั้น โลกคิดหมด ถึงสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น โลกจริงๆ จะต่างกับโลกที่ปรากฏกับความไม่รู้ไหม

    ผู้ฟัง ต้องต่าง

    ท่านอาจารย์ ต้องต่างมาก เพราะฉะนั้น ที่จะรู้รอบ และรู้เมื่อไหร่ โลกจริงๆ หรือโลกที่กำลังปรากฏเหมือนหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่มีอะไรดับไปเลย นี่ก็แสดงถึงความห่างไกลกันมากกับการที่จะเริ่มเข้าใจความจริงว่าแท้ที่จริง ฟังไปเถอะถึงกำลังฟังอยู่ก็เพียงรู้เรื่อง ของสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังกำลังปรากฏ

    แต่ยังไม่ใช่การรู้จริงๆ เฉพาะแต่ละหนึ่งขณะสภาพธรรมแต่ละหนึ่งอย่างจนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ความลึกซึ้งยิ่งเพิ่มขึ้น

    ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาเหมือนฟ้าแลบแล้วก็เป็นโลกของความคิดเพราะมีคนเยอะแยะใช่ไหม แต่ละหนึ่งๆ แล้วจะรู้ได้ยังไงถ้าไม่คิด ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ความคิดก็มากมายไม่ใช่แต่เฉพาะทางตา ทางหูอีก ถ้ามีกลิ่นปรากฏทางจมูกกำลังรับประทานอาหารกลิ่นก็มี รสก็มี เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งก็มีอาหารเองก็เย็นบ้าง บางอย่างก็อุ่นใช่ไหม

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นอย่างนี้แหละ และก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ใครก็ยับยั้งไม่ได้เป็นโลกของความไม่รู้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำๆ ที่ได้ยินนำไปสู่ความเข้าใจขึ้น เริ่มเห็นเหมือนกับแสงสว่างที่ยังสลัวมากแต่ก็ยังมีพอ ที่จะรู้ว่าอะไรที่กำลังปรากฏในขณะนี้แม้ว่ายังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนตรงตามที่ได้ฟังที่เป็นการรู้แต่ละหนึ่งหรือว่ารู้รอบเป็นต้น

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าขณะนี้แม้สภาพธรรมที่จะได้ยินได้ฟังเพียงได้ยินได้ฟังเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ที่กำลังปรากฏไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ยิน หาเป็นอย่างที่ได้ยินไม่ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรดับ เดี๋ยวนี้มีคนมีสิ่งของทั้งนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น ละครอยู่ไหน เห็นไหมทุกอย่างที่เป็นคำที่ได้ยินทั้งหมด สามารถที่จะนำไปสู่ความจริงได้ ถ้ามีการไตร่ตรอง

    ชอบดูละครใช่ไหม

    ผู้ฟัง คนที่ติดละครก็ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตขณะดูละครเป็นอะไร

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็เข้าใจว่าเป็นความติดข้องในละคร

    ท่านอาจารย์ ทั้งติดข้อง ทั้งเพลิดเพลิน ทั้งสนุกเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์

    อยู่ดีๆ แท้ๆ ใช่ไหม อยากมีทุกข์โดยการไปดูเรื่องโศกเศร้าน้ำตาไหล ใช่ไหม แล้วเป็นยังไงเพราะความต้องการอย่างนั้นเกิดขึ้นยินดีพอใจ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียวว่าเพียงชั่วคราว และเป็นแค่คิด

    เพราะฉะนั้น ละครจริงๆ คือสภาพธรรมทั้งหมดแต่ละขณะซึ่งเกิดดับโดยไม่มีใครรู้ ลวงจริงๆ ว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลงชอบพอใจหรือขุ่นเคืองกับสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดแล้ว

    แล้วลองคิดดู ฉลาดไหม ฉลาดไหมติดข้องในสิ่งที่ไม่มีแล้ว เพียงปรากฏแล้วหมด แต่ก็ไปจำว่ามี ยังไม่พอ ยังไปดูละครอีก

    สิ่งที่มีก็ยังไม่รู้แล้ว ก็ยังไปรู้สิ่งที่ไม่มีเลยแต่ว่าคิดว่ามี พอเห็นก็จำได้เลยเมื่อวานนี้ไปถึงตอนไหนเรื่องอะไรต่อไปมีจริงๆ คนนั้นคนนี้เหมือนเดี๋ยวนี้ไหม เหมือนมีจริง แต่อะไรจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาจริง เกิดขึ้นให้เห็นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้น ละครจริงๆ ที่ควรรู้อย่างยิ่ง ไม่ต้องมีใครเขียนบทให้เราต้องไปร้องไห้หรือเศร้าโศก แต่คราใดที่ร้องไห้มาแล้วความเป็นเรา และความเป็นคนอื่นที่ทำให้เกิดความโศกเศร้าขึ้น

    ต้องไปดูอื่นไหม นี่เรื่องจริงๆ ยังไปเอาเรื่องปลอมขึ้นมารู้อีก เพราะฉะนั้น ก็ชอบของปลอมๆ ใช่ไหม และของจริงๆ ก็มีแต่ว่ายังเพลินไปกับของปลอม

    เพราะว่าเรื่องของแต่ละคน มากไปด้วยจิตประเภทไหน โลภะมากโทสะมาก เรื่องราวของตัวเองก็มาก เรื่องของวงศาคณาญาติก็มาก และยังเพื่อนฝูงอีก และขยายไปถึงบุคคลอื่นๆ อีก เรื่องทั้งนั้น ละครทั้งนั้น

    แต่ไม่รู้เลยว่านี่แหละละคร ไปดูละครดีกว่าให้เขาหลอกไปอีกใช่ไหม ไม่มีเลย บางคนก็ถึงกับว่าโลภะของสโนว์ไวท์ก็นึกถึงชื่อขึ้นมาแล้วแต่ว่าเขาจะใจเรียกเรื่องนั้นว่าอะไร ก็ยังจดจำว่ามี

    หรือสมัยโบราณแต่ก่อนนี้ก็โกโบริใช่ไหม ก็ยังมีโกโบริอยู่ในโลกของความคิด แล้วจริงๆ มีที่ไหน เพราะฉะนั้น แสดงให้รู้ว่ากว่าจะได้เข้าใจจริงๆ ว่าอะไรที่มีจริง

    อาจหาญร่าเริงที่จะมีความเข้าใจถูกต้องไหมว่านี่แหละละคร

    ไม่ต้องไปดูที่อื่นเลย แต่ไม่ชอบดูละครโรงนี้เพราะอะไร เพราะเล่นเอง ใช่ไหม ไม่ต้องไปให้ใครเขียนบทให้เลย ไม่ต้องเลย

    แต่ว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วรวมทั้งกุศล และอกุศลด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่มีแต่ละภพแต่ละชาติที่ยึดมั่นว่ามีเรา แม้แต่ที่จะบอกว่าชาติก่อนเกิดเป็นอะไร ใช่ไหม

    แล้วก็ชาติโน้นๆ เป็นอะไร และก็ชาติหน้าจะเป็นอะไรก็ตัวละครทั้งนั้น ที่เป็นเราที่ไม่รู้จบเกิดขึ้นเพราะยังมีกรรมผู้เขียนบท ใช่ไหม

    แต่ละบทคือแต่ละชาติชาตินี้ให้เป็นบทไหน เป็นหญิงหรือเป็นชาย แล้วเป็นยังไงบ้างในแต่ละขณะของชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นประสบ ทุกข์บ้างสุขบ้าง เพลิดเพลินไปกับเรื่องหลอก และเรื่องจริงก็เป็นทุกข์ไปโดยที่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ใช้คำว่าผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตื่นจากการหลับแล้วฝันถึงสิ่งที่ไม่มีเหมือนมี ในฝัน ในฝันมีอะไรตั้งหลายอย่าง ตื่นขึ้นไปไหนหมดที่มีในฝัน

    เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน ถ้าวันนี้หลับสนิท วันนี้ขณะนี้ที่ยังไม่หลับ เหมือนฝันไหม เพราะว่าพอหลับแล้วไม่เหลือเลยไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว จำอะไรก็ไม่ได้ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ทำอะไรมาแล้วทั้งวันดีชั่วก็ไม่รู้อีก

    เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับสิ่งที่ไม่มีในฝัน เพราะว่าในฝันมีทุกอย่างฉันใด วันนี้ก็มีหมดเลย แต่พอหลับไม่มีเลย ไม่มีเหลือ แต่พอฝันมี พอตื่นขึ้นมารู้ว่าไม่มี

    เพราะฉะนั้น ก็คือว่า เมื่อไหร่จะตื่น ที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงในสังสารวัฏฏ์ตลอดมาไม่มีอะไรเหลือเหมือนสิ่งที่ไม่เหลือในความฝันว่าตื่นขึ้น ยังมีอะไรเหลือไหมเมื่อวานนี้ เพียงแค่เมื่อกี้นี้ยังเหลือไหม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์จริงๆ ก็ไม่เหลือแต่ก็จะจำไว้ว่ายังเป็นตัวเองที่ไปเที่ยวมา ไปทานอะไรมาอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไปดูละครไหม ยังชอบดูละครอยู่ แต่ละครจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง กำลังลวงให้เห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้เป็นเพื่อนหรือเป็นเหตุการณ์ต่างๆ แท้ที่จริงก็คือเป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งปรากฏให้เห็นทางตาเพราะไม่รู้ว่าดับไปแล้ว แต่สืบต่ออยู่เหมือนว่ายังไม่ได้ดับไปเลยสักอย่าง

    เพราะฉะนั้น ก็ยึดมั่นเข้าใจว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง เที่ยงยังคงมี

    เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เป็นพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้เปลี่ยนไม่ได้เลย และใครที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะจริง ตรงเท่ากับพระธรรมที่ทรงแสดง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ถามว่าสนใจไหมละคร เรื่องราวของแต่ละคน เพราะความจริงมีแต่ปรมัตถ์แต่ก็คิดกันไปว่าเป็นอะไร ก็ยังสับสนว่าแล้วต่างอะไรจาก

    ก็ขอยกตัวอย่างละครจริงๆ ที่ไปดูสมมติพระเอกเรื่องนี้ หล่อรวยเพอร์เฟกต์

    ท่านอาจารย์ ขอโทษอยู่ไหน แค่อยู่ไหนขอดูหน่อย เอามาให้ดูหน่อยอยู่ไหน ไม่เหลือเลยแต่คิด และจำ แล้วก็จะคิด และจำอย่างนี้ไปจนตาย ยังมีพระเอกคนนั้น แม้ว่า

    กำลังจะจากโลกนี้ไปก็ยังจำว่ามีเห็นไหม และความจริงมีหรือเปล่า ตัวเองยังไม่มีเลยแล้วจะมีอะไร

    ผู้ฟัง แล้วเมื่อเช้าท่านอาจารย์ก็กล่าวอีกว่า ใครก็ตามที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก็จะไม่มีทุกข์ ตรงนี้ดูเหมือนว่าถ้าไม่เข้าใจว่า การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอย่างไร และก็จะไม่เป็นทุกข์อย่างไรก็จะไม่สามารถ จะเริ่มศึกษาพระธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ อวิชชานี่ไม่รู้เสียจริงๆ เลยจะให้เอาวิชาความไม่รู้มาเป็นความรู้ไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    11 ก.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ