ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1918
ตอนที่ ๑๙๑๘
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมดิอิมพีเรียล จ.เชียงใหม่
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ อวิชชานี่ไม่รู้เสียจริงๆ เลยจะให้อวิชชาความไม่รู้มาเป็นความรู้ไม่ได้เลย แม้ไม่มีก็ยังเข้าใจว่ามี ใช่ไหม
ก็ยังติดละคร คิดถึงละครอยู่นั่นแหละใช่ไหม
หรือว่าหมดความสงสัยเรื่องละครแล้ว ไม่มีพระเอกไหน
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ถ้าติดเขาจะปรุงไปจริงๆ แล้วว่าเรื่องนี้พระเอกนางเอกเศร้า ตัวอิจฉาอะไรเป็นยังไง
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้มีพระเอกใช่ไหม เวลาดูละครต้องมีแน่ เดี๋ยวก็มีพระเอกคนนั้นออกมาอีก ดูสิ จำไว้แค่ไหน พระเอกคนเมื่อวานนี้ ยังไม่จบ
วันนี้ก็ดูต่อว่าพระเอกคนนี้จะทำอะไร ยังคงเป็นพระเอกในความคิด ไม่มีเลยแท้ๆ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ ทำให้สามารถเข้าใจความจริงได้ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนี่แน่นอน แล้วแต่จะคิด ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร
ทำไมเป็นคนนี้ไม่ใช่พระเอกในละคร เห็นไหมทั้งๆ ที่ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ความคิดปรุงแต่งสารพัดนี่ใช่ นั่นไม่ใช่ ใช่ไหม
คุณอรวรรณยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ในจอโทรทัศน์ เห็นไหม ไม่ใช่พระเอกนางเอกในละครเรื่องนั้นเรื่องนี้พอดูละครเรื่องนี้พระเอกคนนี้ ดูละครอีกเรื่องหนึ่งพระเอกอีกคนหนึ่งแล้ว ใช่ไหม
ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จอโทรทัศน์จอเดียว เดี๋ยวเปลี่ยนไปจบเรื่องนี้แล้วมีเรื่องใหม่ต่อ และพระเอกคนใหม่มาแล้วในจอ
เพราะฉะนั้น ก็ทั้งหมดนี่จนกว่าจะรู้ความจริงว่าอะไรแน่ที่เป็นปรมัตถธรรมเป็นธรรมที่มีลักษณะที่ใครไม่สามารถจะเปลี่ยนได้เลย เป็นเฉพาะลักษณะนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ยังมีคำว่าปรมัตถธรรมสิ่งที่มีจริงนั้นไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้เลย
แข็งเป็นแข็งตลอดกาล เปรี้ยวไม่ใช่แข็ง แต่ถ้ามีแข็งเปรี้ยวก็ไม่มี นี่แสดงให้เห็นว่าเมื่อขณะใดก็ตามที่มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมเกิดทั้ง ๔ ธาตุนี่อาศัยกัน และกันเกิด ไม่แยกจากกันเลยยังไม่พอ เมื่อมีธาตุดินน้ำไฟลมเกิดยังมีสิ่งที่สามารถปรากฏกระทบให้เห็นได้ในขณะนี้ที่มหาภูตรูปนั่นแหละ แต่ไม่ใช่สภาพแข็ง
ยังมีกลิ่น กลิ่นอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่มหาภูตรูปนั่นแหละ รสอยู่ที่ไหน รสก็อยู่ที่มหาภูติรูปนั่นแหละ แม้แต่สิ่งที่มองไม่เห็นแล้วก็ไม่มีกลิ่นแต่ก็สามารถเมื่อเป็นอาหารบริโภคเข้าไปแล้วสามารถทำให้เกิดรูปได้
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่รู้อะไรเลย สิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ ไม่สามารถจะเปลี่ยนลักษณะนั้นได้ทั้งหมดเป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม
กลิ่นเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตธรรม รสมีจริงเป็นปรมัตธรรม เป็นเราหรือเปล่า เป็นปลาหรือเปล่า เป็นเนื้อไก่หรือเปล่า หรือว่ารสเป็นแค่รสที่สามารถจะปรากฏรสนั้นเมื่อมีธาตุที่กำลังเกิดลิ้มคือรู้รสนั้น
แม้ไม่ต้องเรียกไม่ต้องอธิบายเกินคำอธิบายใดๆ ขณะที่ธาตุรู้กำลังรู้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะทางตาหรือทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนลักษณะนั้นได้
แต่ว่าปัญญาสามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรมเพราะเป็นเพียงสาวกไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่จะทำให้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าละครในจอโทรทัศน์ นอกจอมีไหม
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ก็ขณะนี้
ท่านอาจารย์ ถ้ามีเวทีที่ไหน ใช่ไหม มีคนไปปรากฏตรงนั้น สมบัติมหรสพอยู่ตรงนั้นเลย เป็นพระราชาก็ได้ เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่จะคิด หรือเขาให้คิดเราก็คิดตามเขา
เขาให้คิดว่าคนนี้เป็น พระราชาก็คิดตามเขาไปเลย บนเวทีนี้แหละไม่ต้องไปอยู่ในจอให้คนนี้เป็นพระราชา ก็คือการที่ทั้งนอกจอทั้งในจอ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องมีจอเลยก็ยังมีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง และก็ทุกๆ วัน และแต่ละชาติความไม่รู้จะมากสักแค่ไหนยังไม่ตื่น ยังหลับอยู่ เพราะฉะนั้น ต้องฟังพระธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจว่าไม่ว่าจะนอกจอ ในจอหรือที่ไหนก็ตาม เห็นเป็นเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
นกก็เห็น งูก็เห็น ปลาก็เห็นแต่เห็นไม่ใช่นก เห็นไม่ใช่งู เห็นไม่ใช่ปลา เห็นเป็นเห็น แต่พอนึกถึงรูปร่าง นกเห็น ปลาเห็น งูเห็น จิ้งจกเห็น ตุ๊กแกเห็นเพราะรูป
แต่เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น และก็เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเลยไม่กลับมาอีก เราอยู่ที่ไหน พระเอกนางเอกอยู่ไหน
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ดูเหมือนฟังแล้วก็ยังสะสมความไม่รู้กับความติดข้อง แต่ก็ยังดีที่ว่าได้เริ่มฟังแล้วว่า จริงๆ แล้วมันคืออะไร แล้วจะยังไง
ท่านอาจารย์ แล้วคุณอรวรรณอยากจะเกิดอีกสักกี่ชาติดี
ผู้ฟัง ถ้าเลือกได้แบบความต้องการก็จะรู้ว่าไม่อยากเกิดนาน
ท่านอาจารย์ แน่ใจ ถ้าบอกว่าคุณอรวรรณจะเกิดอีกเพียงแค่ ๗ ชาติเท่านั้นแหละ เป็นไง ชอบไหม พอใจไหม ดีใจไหมว่าเราไม่ต้องเกิดอีกตั้งนานแสนนานเกิดอีกแค่ ๗ ชาติเท่านั้นเอง ดีใจไหม
ผู้ฟัง ขณะนี้ว่ารู้จริงๆ ยังอยากเห็นอยากได้ยิน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมเป็นความจริงต้องเป็นผู้ที่ตรง
พระอริยบุคคลขั้นต้นคือพระโสดาบันจะเกิดอีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติ คิดถึงอดีตแสนโกฏกัปป์มาแล้วจิตไม่เคยว่างเว้นจากการเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วดับไป
การดับไปของจิตนั่นแหละจึงจะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นได้ ทีละหนึ่งขณะสืบต่อมาเกินแสนโกฏกัปป์ สุขทุกข์ผ่านไปหมดเลย ไม่ว่าจะเคยเกิดเป็นคนยากจนไร้ทรัพย์ด้วยเป็นคนที่มั่งคั่งรูปสวยอะไรก็แล้วแต่ ทั้งหมดก็ผ่านไป และทุกขณะนี้ก็กำลังผ่านไป หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย
แต่ก็ยังจะต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน ไปไหนไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้แหละ ก็ยังไม่เข็ด ใช่ไหม เพราะเหตุว่าเคยทุกข์มาแล้วแต่อีก ๗ ชาติเท่านั้นเอาไหม หรือว่ายังไม่พอต่ออีกหน่อยหรือไง
ผู้ฟัง ยังอีกห่างไกลเรื่องของ ๗ ชาติ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา แต่เพราะความไม่รู้จึงมีความยินดีในสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ใครต้องมาสอนหรือมาบอกเลย เพียงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วไม่รู้ก็ติดข้องในสิ่งนั้นทันที
เพราะปรากฏนี่จะไม่พอใจได้ยังไง เราจะพอใจในเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏเลยเราจะไปพอใจในสิ่งที่ไม่ปรากฏได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม
แต่เมื่อปรากฏแล้วที่จะไม่ให้พอใจเป็นไปไม่ได้เลย พอใจแม้เพียงความติดข้องที่ต้องการเห็น อะไรก็ได้ อย่าเพิ่งตาบอดเลย ใช่ไหมหรืออย่างไง
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ใช่ เพราะว่าก็รู้เลยว่ายังอยากทานอาหารอร่อยอยากเห็นสิ่งดีๆ อยากฟังเสียงไพเราะแน่นอนอยู่แล้ว
ก็รู้ว่าก็ต้องเกิดตามเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ แล้วจะเข้าใจคำที่ว่าเกิดเป็นทุกข์ไหม ได้ยินจนชินหู แต่ถึงความเข้าใจไหมว่าเกิดเป็นทุกข์ต้องเป็นปัญญาไม่ใช่เรา จึงสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำซึ่งเป็นวาจาสัจจะทั้งนั้นได้
เพราะฉะนั้น ไม่น่าสงสัยเลยใช่ไหมว่ากิเลสที่สะสมมานานแสนนาน อีกนานแสนนานจึงจะหมดไปได้
เพราะว่าสะสมกิเลสมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น ปัญญาก็อีกนานแสนนานกว่าจะเข้าใจถูกต้องจริงๆ จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ขอแต่เพียงว่ามีโอกาสได้ฟังสิ่งซึ่งยากที่จะได้ฟัง และก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปแต่ละชาติ แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นใครก็ไม่รู้ต่อไปข้างหน้าแต่ก็เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟัง
ก็สะสมความเข้าใจต่อไปจนกว่าจะถึงกาลที่เข้าใจจริงๆ เห็นจริงถูกต้องตามความเป็นจริง หนทางนี้เป็นหนทางละ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ยังอยากอยู่นั่นแหละใช่ไหม ที่จะรู้ความจริง ซึ่งรู้ไม่ได้เพราะความอยาก
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ผู้ที่เขาดูละครเขาก็ดูเพื่อความบันเทิง ซึ่งท่านอาจารย์พูดไปผู้ติดละครจะรู้สึกไงบ้าง
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ไปห้ามความรู้สึกที่อยากดูละครแต่ให้เข้าใจถูก ไม่มีคำว่าอย่าในพระพุทธศาสนาเลย
เพราะอย่าได้ยังไงเป็นอนัตตาบอกแล้วจะเปลี่ยนคำพูดได้ยังไงอนัตตาก็ต้องเป็นอนัตตาแต่ให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ ที่ผมอยากจะกราบเรียนถามก็คือว่าอย่างผู้ที่เขาต้องการความบันเทิงก็ดูหนัง ดูละคร ถ้าไม่มีให้ดูเขาก็จะรู้สึกเหงาว่าไม่มีให้ดูเลยหรืออย่างบางครั้งก็อาจจะมีเหตุการณ์บ้านเมืองที่ต้องหยุดการแพร่ภาพพวกหนังละครเพราะว่าต้องแพร่ภาพทางราชการก็จะรู้สึกว่าไม่มีความสุขไม่ได้ดู เขาก็ต้องดูเพื่อความบันเทิง
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เห็นโทษ ใครทำให้เป็นทุกข์อย่าโทษคนอื่น ถ้าไม่ติดข้องไม่เดือดร้อนเลยแต่เพราะอยากใช่ไหม แล้วไม่ได้ดูก็เลยโกรธ เพราะมีกิเลส
กิเลสของตัวเองความโกรธเกิดขึ้นเพราะความติดข้องไม่ใช่เพราะคนอื่น จริงๆ แล้วไม่มีใครสักคนที่จะทำให้เราเดือดร้อนได้ ไม่มีจริงๆ ต่อให้เขาทำโทษ ตีรันฟันแทงทรมานเราหรืออะไรก็ตามแต่ จะไม่เดือดร้อนเลยถ้าไม่มีกิเลส
เดือดร้อนเมื่อไหร่รู้เถอะนั่นแหละเพราะอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คนนั้นทำ แต่เพราะกิเลสที่มีต่างหากที่ทำร้ายบุคคลนั้นเอง
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ส่วนประเด็นที่ผมจะกราบเรียนถามก็คือว่า ที่คนชอบดูหนังละครเพื่อความบันเทิงข้อความในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า"บันเทิงในธรรม"
ท่านอาจารย์ ฟังธรรม แล้วเป็นยังไง ต้องถามพวกที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ทุกข์หรือว่าบันเทิง
ก็เข้าใจความต่างแล้วใช่ไหม ไม่ต้องไปดูหนังดูละครก็ยังบันเทิงในความจริงได้ เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจความจริงจะต่างกับกำลังที่กำลังมัวเมา ใช่ไหม กำลังมัวเมาเป็นสุขอีกแบบหนึ่งด้วยความไม่รู้เลยว่าไม่ใช่ความจริงหลอกให้หลง หลอกให้เพลิน
แต่นี่เป็นความจริงซึ่งทำให้มีโอกาสที่ยากยิ่งในสังสารวัฎฏ์ที่จะได้ยินได้ฟังได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจความจริงยิ่งขึ้น ปีติเกิดแน่นอน
มีโอกาสที่จะได้ฟังสิ่งซึ่งยากที่จะได้ฟังแต่ได้ฟังแล้ว แล้วก็ได้ฟังเข้าใจขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นท่านกล่าวไว้ "ปีติ และสุขในธรรม"
ขณะที่ปีติ และสุขก็จะต่างกับไปดูหนังดูละครแน่ๆ แล้วถ้ามากขึ้นๆ หนังละครไม่มีความหมายเลย ไม่เหมือนพระธรรม ซึ่งขณะใดก็ตามที่ได้เข้าใจความปีติต่างกับความปีติอื่น
เพราะเหตุว่าเป็นการรู้ความจริงนี่เพียงขั้นฟังแต่ถ้าขณะใดก็ตามที่กำลังรู้ความจริงเพิ่มขึ้นตัวจริงๆ ของธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดแล้วดับเดี๋ยวนี้ผ่านไปโดยไม่รู้ แต่ก็มีขณะที่กำลังรู้สักหนึ่งขณะของความจริงที่แม้เกิดดับ แต่ก็เป็นจริง ขณะนั้นสุข และสงบ
เพราะเหตุว่าสงบจากการไม่รู้ ตัวจริงๆ ของธรรม เพราะฉะนั้น มีสภาพธรรมมากที่จะเกิดขึ้นเป็นผลของการเข้าใจธรรมซึ่งนำมาแต่สิ่งซึ่งไม่เป็นโทษเลย
ขอเรียนให้ทราบว่าถ้าเป็นผู้ที่ตรงจะรู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จักทุกคำ
คำไหนก็ได้ลองพูดมาจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น รู้จักคำที่พูดหรือเปล่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ตาม แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้วจะรู้ ความจริงแม้คำที่พูดว่าหมายความถึงอะไร คืออะไร
ผู้ฟัง เล่าเรื่องที่เคยได้ฝึกมา
ท่านอาจารย์ ฝึกอะไร
ผู้ฟัง ฝึกการนั่งสมาธิ
ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร
นี่คือกำลังแบ่งปัน เรากำลังแบ่งความคิด ปันความคิดที่เคยมีเพื่อที่จะได้รู้ว่าถูกหรือผิด เพราะว่าคิดมีทั้งถูก และผิด
ไม่ใช่คิดต้องถูกเสมอไป เพราะฉะนั้น เรากำลังจะได้ฟังความคิด ซึ่งจะได้ร่วมกันพิจารณาจากการที่ได้ฟังว่าความคิดอย่างนั้นถูกไหม ถ้าถูกต้องสามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจได้เช่นพอพูดถึงสมาธิ ฝึกสมาธิ
สมาธิคืออะไร มิฉะนั้นแล้วเราจะไม่รู้เลย ใครพูดอะไรก็ตามไปโดยไม่รู้ แต่อย่าลืมพุทธศาสนาคำสอนที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง ไม่ใช่ฟังไปแล้วไม่รู้อะไรเลยไม่มีประโยชน์เลยในการฟัง
ถ้าฟังเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ได้เข้าใจไม่รู้ใช่ไหม แต่ฟังแล้วสามารถที่จะเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ กำลังมีด้วยในขณะนี้อันนั้นเป็นสิ่งที่วาจาสัจจะจากผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว ขณะนั้นรู้เพราะได้ฟังพระธรรมมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแล้วเป็นที่พึ่งให้เราได้สามารถได้ยินได้ฟังได้เข้าใจด้วย
เพราะฉะนั้น การฟังทุกอย่างต้องรู้ว่าความจริงถึงที่สุดความจริงแท้ซึ่งไม่เปลี่ยนเลยคืออะไร เพราะฉะนั้น พอได้ยินคำว่าสมาธิอย่าเพิ่งหลง เพราะเหตุว่าสมาธิมีทั่วโลกไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเทศไทยที่ไหนๆ ก็มีสมาธิหลายรูปแบบด้วย แล้วใครสอนสมาธิเหล่านั้น
แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง แสดงให้เข้าใจว่าสมาธิหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ หรือเปล่า และสภาพธรรมอะไรที่เป็นสมาธิ เดี๋ยวนี้มีไหม นี่คือสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟังมีความเข้าใจถูกต้อง มีความเห็นที่ถูกต้องเพราะสิ่งนั้นมีจริงๆ
ไม่ใช่ฟังใครแต่เขาไม่สามารถที่จะให้ความเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นคืออะไร เช่นบอกว่าฝึกสมาธิ
สมาธิคืออะไร
ก่อนอื่นไม่หลงตาม เพราะว่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พิจารณาจนกระทั่งเป็นปัญญาของตัวเอง ถ้าไม่เกิดปัญญาไม่มีความเห็นทั้งหมดเสียเวลา ถ้าเรานั่งฟังในห้องนี้ตั้งแต่เช้ามากี่ชั่วโมง และฟังต่อไปอีกกี่ชั่วโมงแล้วไม่เข้าใจความจริงอะไร เลยเสียเวลาจริงๆ
ไม่มีประโยชน์เลยในการที่จะฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม
แต่ทุกครั้งแต่ละขณะจะกล่าวถึงว่าวินาทีที่มีประโยชน์วินาทีทองก็คือว่า เมื่อได้ยินได้ฟัง และสามารถเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่เผิน ทุกคำมีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหมดในจักรวาล
สากลจักรวาลด้วยคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่ทรงแสดงเพียงเล็กน้อยตามสติปัญญาของผู้ฟังที่สามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ยินถ้าใครไม่สามารถที่จะให้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียดยิ่งทุกคำ
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่สนใจที่จะเข้าใจความจริงจะไม่สามารถได้ความจริงจากคำสอนอื่นเลยเพราะท่านเหล่านั้นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้วิธีที่จะพิสูจน์ว่าประโยชน์จริงๆ ของการฟังคือฟังแล้วได้เข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า สิ่งนั้นถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ตรงไม่มี ไม่มีประโยชน์เลย
เพราะฉะนั้น เพียงได้ยินคำว่าสมาธิ สมาธิคืออะไร
มีในคำสอนของพระสัมมาธรรมเจ้าทั้งหมด แต่ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกได้ไหมว่าสมาธิคืออะไร ที่ฝึกสมาธิคืออะไร เพื่ออะไร
เพราะฉะนั้น สมาธิคืออะไร
ผู้ฟัง สมาธิคือมีจิตรู้อยู่กับตัวเองในขณะนี้ว่าเรากำลังทำอะไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้ไหมว่ากำลังทำอะไร เดี๋ยวนี้ก็รู้ว่ากำลังทำอะไรแล้วต้องไปฝึกไหม
ผู้ฟัง ก่อนที่จะไปฝึกเพราะว่าเหมือนกับมีความฟุ้งซ่านมีความสับสน
ท่านอาจารย์ และความฟุ้งซ่านมีจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ใครทำให้เกิดขึ้นได้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นแล้วดับไปหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปมันมีการสืบต่อ
ท่านอาจารย์ สืบต่อแล้วเดือดร้อนอะไร
ผู้ฟัง เดือดร้อนเพราะว่าเราเอาจิตเข้าไปยึดกับมัน
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าฟุ้งซ่านเป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วการรู้อย่างนี้เดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อนแต่ว่า..
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่เดือดร้อนเพราะเข้าใจว่าฟุ้งซ่านเป็นเรา ต้นเหตุอยู่ตรงนี้ ตรงความไม่รู้ความจริงแล้ว
ผู้ฟัง การที่ไปฝึกสมาธิก็เพื่อฝึกให้รู้ตรงนี้ว่า..
ท่านอาจารย์ แล้วรู้อะไร
ผู้ฟัง คือรู้ว่าทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ยึดติดไม่ได้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้ไหม ฟังแค่นี้รู้ไหม
ผู้ฟัง รู้
ท่านอาจารย์ แล้วต้องไปฝึกอะไร
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่ได้ฟังพระธรรม ถ้าฟังพระธรรมทรงแสดงไว้ทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง
เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้มีหนทางเดียว ไม่ได้ฟังคนเอง ไม่ได้มีคนอื่นเป็นที่พึ่งตรงกับที่ได้กล่าวทุกวัน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องตรงแล้วก็จริง พูดแล้วจริงตามที่พูดวาจาสัจจะ
เมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ยังไม่รู้จักพระรัตนตรัยหนทางเดียวที่จะรู้จัก รัตนตรัย ๓ ใช่ไหม
รัตนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถ้าไม่รู้คุณค่าจะไม่ประเสริฐเลย แต่จะรู้คุณค่าต่อไม่ได้ศึกษาจึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง
ลำดับแรก พระพุทธรัตนะถูกต้องไหม พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่ง แล้วจะพึ่งคนอื่นหรือว่าจะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้พึ่งเพื่อขอให้หายโรค พึ่งยาก็ได้ใช่ไหม หมอก็ได้ แล้วทำไมกล่าวว่าพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพื่อรักษาโรคถูกต้องไหม แต่พึ่งเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดมาแล้วมีทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นจริงแต่ละขณะก็ไม่รู้
จะรู้ได้ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรม ไม่มีการที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม
เราก็พูดแต่คำว่าธรรมมานานแต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร จนกว่าจะได้ฟังเข้าใจเมื่อไหร่ก็รู้ว่าธรรมไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษาที่ทรงแสดงกับชาวเมืองนั้นที่ใช้ภาษานั้นเหมือนเราใช้ภาษาไทย
เพราะฉะนั้น ใครพูดภาษาไหนก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมความจริงในภาษาของตนๆ เพราะฉะนั้น เมื่อใช้ภาษากับคนที่สามารถเข้าใจได้คือชาวมคธ
ก็ทรงแสดงคำว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงเพราะคำว่าสิ่งที่มีจริงชาวมคธฟังไม่รู้เรื่องไม่ใช่ภาษาของเขา แต่คนไทยฟังรู้ แต่พอบอกว่าฟังธรรมกั้นทันที เพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร
เพราะเราไม่ได้พูดคำนี้ทุกวันใช่ไหม แต่ว่าเมื่อได้รู้แล้วจากผู้ที่ได้ศึกษาภาษาบาลี และก็เข้าใจอรรถความหมายนั้นก็ตรงกัน
ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ด้วยพระองค์เองแล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดงให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย เพราะรู้ว่าไม่มีทางที่ใครสามารถจะรู้ความจริงนี้ได้เพราะว่าไม่ได้บำเพ็ญบารมีที่จะสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง
การที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแสนยาก ฟังไปกว่าจะเข้าใจกว่าจะค่อยๆ มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ต้องรู้ได้แน่เพราะมีจริง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1900
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1920