โสภณธรรม ครั้งที่ 029
ตอนที่ ๒๙
ผู้ฟัง สมมติว่ามีคนๆ หนึ่งเขาฆ่าความโกรธได้ แล้วก็อยู่เป็นสุขจริง ขณะที่เป็นสุขนั้นเป็นสุขวิปลาสหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ แล้วแต่ระดับขั้นของบุคคล สุขเล็กๆ น้อยๆ ชั่วขณะที่โทสะไม่เกิด ยังไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคลก็ได้
ผู้ฟัง สุขในที่นี้ผมว่าคงจะเป็น นิพพานํ ปรมํ สุขํ มากกว่า ไม่ใช่สุขอย่างที่วิปลาส
ท่านอาจารย์ โดยมากท่านผู้ฟังไม่ได้คิดถึงระดับขั้นต่างๆ ของสภาพธรรมแต่ละประเภท ซึ่งความจริงแล้ว แม้แต่ความหมายของคำว่า “สุข” นี่ก็ต้องมีหลายขั้นด้วย อย่างสุขของพระโสดาบัน กับสุขของปุถุชนนี่ก็ต่างกัน สุขของพระสกทาคามีกับพระโสดาบันก็ต่างกัน สุขของพระอนาคามีกับพระสกทาคามีก็ต่างกัน สุขของพระอรหันต์กับสุขของพระอนาคามีก็ต่างกันด้วย
ผู้ฟัง แล้วก็สุขของพวกที่ได้ฌานก็บอก นตฺถิ สนฺติ ปรมํ สุขํ ก็เหมือนกันอย่างที่อาจารย์ว่า เป็นขั้นๆ กัน ทีนี้ผมจะย้อนกลับมาปัญหาของคุณนิภัทรเมื่อสักครู่นี้ ผมมาฟังคำว่า พิจารณาฌานในที่นี้ ฌานในที่นี้ก็เป็นอารมณ์ได้ คือ ถ้าเผื่อว่าปรากฏถ้าปรากฏทางใจ เพราะฉะนั้นจะต้องใช้คำว่าพิจารณาฌาน อย่างที่อาจารย์ว่าในพระไตรปิฎกจะต้องบอกเป็นพิจารณาฌาน ไม่ใช่ยกฌานขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาอย่างที่เข้าใจกันทั่วๆ ไป แล้วก็พูดกันมาก จนกระทั่งทำให้ผู้ที่เรียนธรรมไขว้เขวกันมาก ตัวผมเองผมก็ไม่เคยเจริญฌาน แล้วก็เข้าใจว่าเอ๊ะถ้าไปทางลัดอย่างนั้นได้ก็ดี พระพุทธเจ้าคงไม่บอก เอกายโน มคฺโค คงจะต้องเป็นโทมคฺ ไม่ใช่เอกามคฺค มันทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผมยืนยันและสนับสนุนที่อาจารย์บรรยายมาทั้งหมด
ท่านอาจารย์ เรื่องของฌานจิต เป็นเรื่องของมหัคคตกุศล ซึ่งยิ่งใหญ่มากกว่ากามาวจรกุศล เพราะเหตุว่าตามธรรมดาของจิตที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ชวนจิตจะเกิดไม่เกิน ๗ ขณะ อารมณ์ก็ดับ เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่เล็กน้อยเหลือเกิน ความสุขในรูปก็ชั่วขณะที่รูปนั้นตั้งอยู่ ความสุขในเสียงก็ชั่วในขณะที่เสียงนั้นตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น ชวนะที่กำลังเป็นโสมนัสเวทนา ในขณะนั้นมีอายุที่สั้นมาก คือไม่เกิน ๗ ขณะ แต่ว่าสำหรับฌานจิตแล้วเป็นมหัคคตะ สามารถที่จะระงับอกุศลได้ตราบเท่าที่ฌานจิตนั้นยังเกิดดับสืบต่อกันอยู่ โดยภวังคจิตไม่เกิดคั่นเลย เพราะฉะนั้น จะเป็นกุศลซึ่งยิ่งใหญ่มากสักแค่ไหน คนที่โกรธก็เร่าร้อน แล้วพอหยุดโกรธก็สบายดี ชั่ว ๗ ขณะ แต่ว่าถ้าขณะนั้นเป็นกุศล สงบจากอกุศลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอหิริกะ อโนตตัปปะ โมหะ อุทธัจจะใดๆ ก็ตาม เป็นสภาพของจิตซึ่งสงบในอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบ แล้วก็ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ซึ่งไม่ใช่มหากุศลจิต ไม่ใช่กามาวจรกุศล และก็สามารถที่จะตั้งมั่นได้ตลอดเวลานานอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ ลองคิดดูว่าใครจะทำได้
กำลังโกรธ เพียงบอกว่าอย่าโกรธนะ แค่นี้ได้ไหม ถ้าไม่ได้ แล้วก็จะให้สงบจากอกุศล ให้ถึงความเป็นมหัคคตะ คือ อัปปนาสมาธิ ไม่มีภวังคจิตเกิดคั่นเลย ชวนะที่สงบนั้นเกินกว่า ๗ ขณะ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น สำหรับธรรมใดๆ ก็ตาม ซึ่งมีผู้กล่าว ก็ควรที่จะได้ตรวจสอบกับพระธรรมวินัย และก็คงจะไม่ลืมข้อความที่ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทะเลาะกับใคร แต่ว่าแต่ละบุคคลควรจะพิจารณาตนเองว่า ทะเลาะกับพระผู้มีพระภาคหรือไม่ ในเมื่อพระองค์ทรงแสดง “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” เริ่มด้วย สราคจิต คือ จิตที่เกิดร่วมกับความยินดีพอใจในอารมณ์ เป็นอกุศลจิตที่เป็นโลภมูลจิต ซึ่งเกิดเป็นประจำจึงควรระลึก เพราะเหตุว่าเป็นปกติ ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะระลึกรู้ลักษณะของจิตประเภทไหนได้บ่อย วันนี้ยังไม่ได้โกรธบ่อยๆ เท่ากับชอบหรือว่าติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏตั้งแต่ลืมตา เพราะฉะนั้น จิตประเภทไหนที่เมื่อระลึกเป็นปกติแล้วจะรู้ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเรื่องละอย่าลืม เป็นเรื่องรู้ รู้อะไร รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ไปทำให้เกิดขึ้นด้วยความต้องการ หรือด้วยความเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ผู้ที่เคยเจริญสมถภาวนา ก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคก็แสวงหาหนทางที่จะระงับกิเลส แต่ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท จึงสามารถที่จะถึงอัปปนาสมาธิเป็นฌานจิตขั้นต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่สติปัฏฐาน เมื่อสิ้นชีวิตลง และก็ไม่เป็นพระอริยบุคคล ฌานจิตที่ไม่เสื่อม ซึ่งเกิดก่อนจุติจิต ก็ทำให้ปฏิสนธิในพรหมภูมิ เป็นพรหมบุคคล แต่เป็นปุถุชน
ส่วนผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน แม้ว่าจะไม่ถึงฌาน ไม่มีฌานจิตที่จะพิจารณา แต่ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติตามความเป็นจริง ดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้น แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน พระอริยสาวกที่ไม่ได้ฌานจิต ก็มีจำนวนมากกว่าพระอริยสาวกซึ่งได้บรรลุโลกุตตระเพราะพิจารณาฌานเป็นบาท แล้วสมัยนี้ลองคิดดู ๒,๕๐๐ กว่าปี ในกาลสมบัติ ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลที่ไม่ได้ฌานจิต ยังมีน้อยกว่าผู้ที่ได้ฌานจิต แล้วสมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี ยังหวังที่จะทำฌานเสียก่อน แล้วก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยมีฌานนั้นเป็นบาท ก็ลองเปรียบเทียบดูว่า เป็นกาลสมบัติเหมือนในครั้งนั้นหรือเปล่า
ทำไมไม่พอใจกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งอายุสั้นมาก ดับแล้ว ขณะใดที่สติไม่ระลึกลักษณะสภาพธรรม ก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ ก็มีชีวิตอยู่ในโลกแต่ละขณะ ด้วยความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไปทำอย่างอื่นขึ้นด้วยความต้องการ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่หนทางที่จะละ ตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง
ทางตาที่เห็นนี้ ระลึกแล้วก็ศึกษาพิจารณา เพื่อที่วันหนึ่งจะรู้โดยการประจักษ์แจ้งว่า สภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนนั้นคืออย่างไร
บางคนก็กล่าวว่า ไม่รู้จักปรมัตถธรรมเลย ก็เป็นความจริง เพราะแม้ว่าเมื่อมีปรมัตถธรรมจึงมีบัญญัติ แต่เมื่อไม่รู้ว่า ปรมัตถธรรมเป็นอย่างไร สำหรับบุคคลนั้นก็เป็นโลกของบัญญัติ ตั้งแต่เกิดจนตาย โลกนี้มีคน มีวัตถุ มีสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเป็นปรมัตถธรรม แต่เมื่อไม่รู้ก็เอาปรมัตถธรรมกับบัญญัติปนกันทันทีอยู่ตลอดเวลา จึงแยกไม่ออกว่า สภาพธรรมใดที่เป็นปรมัตถ์ มีลักษณะอย่างใด และสภาพที่เป็นบัญญัติที่ไม่ใช่ปรมัตถ์นั้นคือเมื่อไร เพราะเหตุว่าพอเห็นก็ปนกันแล้วใช่ไหม ถ้าไม่มีปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางตาให้เห็น จะมีบัญญัติได้ไหม แต่เมื่อไม่รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปรมัตถธรรม ก็เป็นบัญญัติทันที ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่สติปัฏฐานเป็นขณะที่ระลึกศึกษาลักษณะของปรมัตถธรรม เพื่อที่จะรู้ว่า สภาพธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แยกปรมัตถธรรมออกจากขณะที่กำลังปนบัญญัติ ด้วยความนึกคิดในลักษณะของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิดก็แยกไม่ออก ก็เป็นแต่เพียงการได้ยินได้ฟังตลอด ไม่ว่าจะเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปีว่า ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และก็มีปรมัตถธรรมอยู่ตลอดเวลาให้รู้ได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่รู้เพราะอวิชชา ขณะใดที่สติเกิดระลึก แล้วก็ต้องศึกษาพิจารณาน้อมไปที่จะรู้ในอาการรู้ ซึ่งเป็นลักษณะของจิต วิชาณน ลกฺขณํ เป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ เพราะจิตเกิดจึงรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ว่าได้ยินอย่างนี้กี่ปีแล้ว แล้วก็ต่อไปอีกกี่ปี ถ้าสติไม่ระลึกในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่คิดนึก ก็ยังคงบัญญัติปนกับปรมัตถ์ทันทีทุกขณะที่เห็น ที่ได้ยิน
เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วต้องอดทนที่จะระลึกศึกษาพิจารณารู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม
ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็คงจะหมดปัญหาเรื่องการทำฌาน ใช่ไหม แล้วก็ไม่ใช่ฌานด้วย แล้วก็เข้าใจว่าเป็นฌานแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ บางท่านก็กล่าวว่าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว
สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของหิริ โอตตัปปะ ย่อมกล่าวคุณของหิริ โอตตัปปะซึ่งเป็นธรรมที่ถอยกลับจากอกุศล ขณะใดที่ไม่รังเกียจ ไม่กลัว ก็ยังคงเป็นไปกับอกุศลอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะใดที่ระลึกได้ รังเกียจและกลัว ขณะนั้นจะถอยกลับจากอกุศล เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องการพิจารณายาวนาน แต่เป็นขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นหิริโอตตัปปะ กระทำกิจของหิริโอตตัปปะ คือ ถอยกลับจากอกุศล
ข้อความใน อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต หิรีมาสูตร ข้อ ๓๐ มีข้อความว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีผิวพรรณงาม ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ไหว้เรา แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ ๗ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้เคารพในพระศาสดา ๑ ความเป็นผู้เคารพในธรรม ๑ ความเป็นผู้เคารพในสงฆ์ ๑ ความเป็นผู้เคารพในสิกขา ๑ ความเป็นผู้เคารพในสมาธิ ๑ ความเป็นผู้เคารพในหิริ ๑ ความเป็นผู้เคารพในโอตตัปปะ ๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ”
เทวดานั้นครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ไหว้เรา กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้นเอง
ภิกษุผู้มีความเคารพในพระศาสดา มีความเคารพในธรรม มีความเคารพอย่างแรงกล้าในสงฆ์ มีความเคารพในสมาธิ มีความเพียร มีความเคารพอย่างแรงกล้าในสิกขา ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะ มีความเคารพ ยำเกรง เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความเสื่อม ย่อมมีในที่ใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
ก็คงจะเห็นประโยชน์ของหิริโอตตัปปะ ซึ่งเป็นความรังเกียจและกลัวอกุศลธรรม
ผู้ฟัง ที่ว่ามีความเคารพในสมาธินั้น เคารพอย่างไร แต่คงจะไม่ใช่ทำให้เป็นฌานเสียก่อน
ท่านอาจารย์ สมาธิก็คือสัมมาสมาธิ จะใช้หมายถึงการเจริญสมถภาวนาก็ได้ ถ้าเข้าใจธรรมสอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎก ก็คงจะไม่มีข้อสงสัยเวลาที่กล่าวถึงสมาธิ ก็ต้องมุ่งหมายถึงสัมมาสมาธิแต่ละขั้น ตามความสามารถ
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องละเอียด ถ้าได้ยินสมาธิคำเดียว ก็จะทำสมาธิ หรืออยากทำสมาธิ นั่นก็ผิดไปได้ทันที เพราะไม่รู้ว่าสมาธินั้น ต้องหมายความถึงสัมมาสมาธิแต่ละระดับขั้น
โสภณสาธารณเจตสิกทั้งหมด มี ๑๙ ดวง และที่ได้กล่าวถึงแล้วก็ ๔ ดวง คือ สัทธาเจตสิก ๑ สติเจตสิก ๑ หิริเจตสิก ๑ โอตตัปปะเจตสิก ๑ โสภณสาธารณเจตสิกดวงต่อไปที่จะกล่าวถึง คือ อโลภเจตสิก ซึ่งทั้งหมดมี ๑๙ ดวง ที่จะต้องเกิดกับโสภณจิตทั้ง ๑๙ ดวง จะขาดโสภณสาธารณเจตสิกดวงหนึ่งดวงใดไม่ได้เลย และแต่ละดวงก็มีประโยชน์ มีความสำคัญ เห็นคุณประโยชน์ของโสภณสาธารณเจตสิกนั้นๆ ได้ ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเจริญให้มั่นคงขึ้น
สำหรับอโลภเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโลภเจตสิก ซึ่งเป็นสมุทัยสัจจ์ เพราะฉะนั้น จะเกิดยากไหม ในเมื่อโลภเจตสิกเกิดอยู่เป็นประจำ แล้วก็เป็นสมุทัยสัจจ์ด้วย แต่ว่าอโลภเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เป็นโสภณที่ตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น กว่าจะฝืนกระแสของอกุศล คือ โลภเจตสิกซึ่งเป็นสมุทัย และก็ให้อโลภเจตสิกเจริญขึ้น ก็เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาโดยละเอียดด้วย เพราะเหตุว่าโดยมากพอกล่าวถึงอโลภะ ทุกคนก็คิดถึงเพียงการสละวัตถุเป็นทานเท่านั้น ใช่ไหม แต่ว่าอโลภะนี้ไม่ใช่ความติด ไม่ใช่สภาพธรรมที่ติดในอารมณ์ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องสละ ละทุกอย่างที่เป็นอกุศลธรรม แม้แต่ความเห็นผิด ซึ่งแม้จะไม่ใช่สักกายทิฏฐิ คนที่มีความเชื่อมั่นในความเห็นของตัวเอง ยากต่อการที่จะพิจารณาว่า ในขณะนั้นที่เห็นอย่างนั้น ถูกหรือผิด เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นอโลภะ จะไม่ติดในความเห็นที่ตนยึดถือไว้ว่าเป็นความเห็นถูก แต่ว่าจะพิจารณาด้วยศรัทธา ด้วยสติ ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ แล้วละการติดในความเห็น ซึ่งเคยเชื่อมั่นในความเห็นของตน ถ้าความเห็นนั้นผิดก็ละได้ นี่คือลักษณะของอโลภเจตสิก เพราะเหตุว่าเมื่อโลภเจตสิกเกิด จะเกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง จะไม่เกิดกับจิตประเภทอื่นเลย และสำหรับโลภมูลจิต ๘ ดวง เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตต์ คือ เกิดร่วมกับความเห็นผิด ๔ ดวง เป็นทิฏฐิคตวิปยุตต์ ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ๔ ดวง ซึ่งในวันหนึ่งๆ ก็จะเห็นได้ว่า อโลภเจตสิกย่อมเกิดน้อยกว่าโลภเจตสิก
สำหรับลักษณะ ๔ ของอโลภเจตสิก ข้อความใน โมหวิจเฉทนี มีว่า
อลคฺคภาวลกฺขโณ เป็นสภาพที่ไม่ติดข้องในอารมณ์ เป็นลักษณะ หรือ อเคทลกฺขโณ มีความไม่กำหนัดยินดีในอารมณ์ เป็นลักษณะ เหมือนกับหยาดน้ำที่ไม่ติดค้างอยู่บนใบบัว ฉะนั้น
ลองนึกดู ลักษณะของโลภะ ตรงกันข้ามกับลักษณะของอโลภะ โลภะ ติด ยึด ไม่ปล่อยเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น โผฏฐัพพะที่กระทบกาย หรือแม้บัญญัติเรื่องราวที่คิดนึกต่างๆ ทางใจ วันหนึ่งๆ บางคนอาจจะคิดเพลินไป ฝันไปมีความสุขเพลิดเพลินไปกับความคิด นั่นก็เป็นลักษณะของความติด แต่ว่าลักษณะของอโลภะนั้น เหมือนหยาดน้ำไม่ติดค้างอยู่บนใบบัว เมื่อกระทบอารมณ์แล้วก็ผ่านไป ไม่มีลักษณะที่ต้องการ ขวนขวาย ติดข้อง แสวงหาอารมณ์นั้น
อปริคฺคหรโส มีการไม่หวงแหน เป็นกิจ เหมือนภิกษุผู้พ้นแล้ว ฉะนั้น
ในขณะที่ไม่ต้องการ ไม่ติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏ ก็เหมือนกับภิกษุผู้พ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลาย ฉะนั้น
อนลฺลีนภาวปจฺจุปฏฺฐาโน มีความไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เป็นอาการปรากฏ เหมือนบุรุษตกลงไปในที่อันไม่สะอาด ฉะนั้น
ยังอยากจะอยู่ที่นั่นไหม เหมือนบุรุษตกลงไปในที่อันไม่สะอาด ฉะนั้น เพราะฉะนั้น ลักษณะอาการที่ปรากฏก็คือ ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เป็นอาการปรากฏ
โยนิโสมนสิการ มีการทำไว้ในใจในอารมณ์โดยแยบคาย เป็นเหตุใกล้
ผู้ฟัง ลักษณะที่ปรากฏ กับ อาการที่ปรากฏรู้สึก เกือบจะเหมือนกันเลย
ท่านอาจารย์ แยกไม่ออกเลย เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการหนึ่งอาการใดที่ปรากฏ ให้รู้ คือ สภาพที่ไม่ติดข้อง ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของอโลภะ ซึ่งกระทำกิจไม่ติดข้อง
ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวัน ผมว่า ตัวนี้เป็นตัวร้ายมาก ติดแน่นเหนียว ไม่รู้จะติดขนาดไหน
ท่านอาจารย์ เป็นสมุทัยสัจจ์ ถึงจะเกิดในอรูปพรหมภูมิ ก็ไม่พ้น ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล ยังไม่มีการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
อโลภเจตสิกเป็นโสภณเจตสิก ที่เป็นมูลของกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งข้อความใน อัฏฐสาลินีนิกเขปกัณฑ์ ขยายความ กุศลบท มีข้อความว่า
ชื่อว่า “กุศลมูล” ด้วยอรรถว่า กุศลเหล่านั้นเป็นมูล หรือด้วยอรรถว่า ชื่อว่า “มูล” โดยความหมายว่า เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นแดนเกิด เป็นสภาพให้เกิด เป็นสมุฏฐาน เป็นที่บังเกิดแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น
สำหรับโสภณสาธารณเจตสิกทั้งหมดมี ๑๙ ดวง แต่ที่เป็นมูลมี ๓ ดวง คือ อโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ และปัญญาซึ่งเป็นอโมหเจตสิก ๑
สำหรับสภาพธรรมแต่ละประเภท พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสภาพฐานะของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าเจตสิกทั้งหมดจะมี ๕๒ ประเภท แต่เจตสิกที่เป็นมูลมีเพียง ๖ และก็ที่เป็นอกุศลมูล มี ๓ คือ โลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑ ที่เป็นโสภณมูลก็มี ๓ คือ อโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ อโมหเจตสิก ๑
เพราะฉะนั้น สำหรับเจตสิกซึ่งเป็นมูลนี้ เป็นสภาพธรรมที่เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นแดนเกิด เป็นสภาพให้เกิด เป็นสมุฏฐาน เป็นที่บังเกิดของกุศลธรรมทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกุศลทั้ง ๔ ภูมิ ไม่ว่าจะเป็นขั้นกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ หรือโลกุตตรภูมิ จะต้องเกิดจากสภาพธรรมที่เป็นกุศลมูลทั้งสิ้น เพราะเหตุว่ากุศลทุกขั้น ทุกระดับ ทุกประเภท จะเกิดขึ้นโดยปราศจากโสภณมูล คือ อโลภเจตสิกและอโทสเจตสิกไม่ได้เลย และก็ต้องไม่ปราศจากโสภณสาธารณเจตสิกอื่นๆ ด้วย แต่ว่าเมื่อแสดงโดยสภาพที่เป็นมูลแล้ว ก็ได้แก่ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และอโมหเจตสิก
เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ นี้ ถ้ารู้ว่าขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นรู้จักคุ้นเคยกับมูลได้ โดยการสังเกตว่า ในขณะนั้นต้องมีมูล คือ ต้องมีอโลภเจตสิก และ อโทสเจตสิก ซึ่งเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น กุศลนั้นๆ จึงเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นในขั้นของทาน ในขั้นของศีล ในขั้นของการฟังพระธรรม การแสดงธรรม หรือการอบรมจิต ด้วยความสงบจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือด้วยการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งทุกอย่างในชีวิตที่เป็นผล จะต้องมาจากเหตุ
ข้อความในมโนรถปุรณี อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ข้อ ๑๘๕๙ มีข้อความสั้นๆ ว่า
สิ่งใดที่ไม่เคยคิดไว้ ย่อมมีได้ ก็มี สิ่งใดที่เคยคิดไว้ กลับเสื่อมสลายไป ก็มี เพราะว่าโภคทรัพย์จะสำเร็จแก่สตรี หรือสำเร็จแก่บุรุษ มิได้สำเร็จด้วยการคิดเอาเท่านั้น
นี่เป็นชีวิตประจำวันของทุกท่าน ซึ่งจะเห็นได้จริงๆ ว่า ไม่ได้คาดหวังเลยว่า สิ่งนี้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นไป “สิ่งใดที่ไม่เคยคิดไว้ ย่อมมีได้ ก็มี” ทั้งที่เป็นกุศลวิบาก ผลของกุศล และที่เป็นอกุศลวิบาก ที่เป็นผลของอกุศล “และสิ่งใดที่เคยคิดไว้ กลับเสื่อมสลายไป ก็มี” สิ่งที่หวังไว้แน่นอน ก็กลับเสื่อมสลายไปตามเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับมูล คือ เหตุ แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลมูล หรือว่าอกุศลมูล ในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ถ้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้คาดคะเนไม่ได้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นการที่คอยรับรู้ว่า จะเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เพราะเหตุว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย
สำหรับสภาพธรรมที่เป็นเหตุที่ทรงแสดงไว้ มี ๔ อย่าง ในอัฏฐสาลินี รูปกัณฑ์ มีข้อความว่า
เหตุมี ๔ อย่าง คือ เหตุเหตุ ปัจจัยเหตุ อุดมเหตุ สาธารณเหตุ
(๑) เหตุเหตุ คือ เหตุที่เป็นมูล หรือเหตุที่เป็นเหตุปัจจัย
- โสภณธรรม ครั้งที่ 001
- โสภณธรรม ครั้งที่ 002
- โสภณธรรม ครั้งที่ 003
- โสภณธรรม ครั้งที่ 004
- โสภณธรรม ครั้งที่ 005
- โสภณธรรม ครั้งที่ 006
- โสภณธรรม ครั้งที่ 007
- โสภณธรรม ครั้งที่ 008
- โสภณธรรม ครั้งที่ 009
- โสภณธรรม ครั้งที่ 010
- โสภณธรรม ครั้งที่ 011
- โสภณธรรม ครั้งที่ 012
- โสภณธรรม ครั้งที่ 013
- โสภณธรรม ครั้งที่ 014
- โสภณธรรม ครั้งที่ 015
- โสภณธรรม ครั้งที่ 016
- โสภณธรรม ครั้งที่ 017
- โสภณธรรม ครั้งที่ 018
- โสภณธรรม ครั้งที่ 019
- โสภณธรรม ครั้งที่ 020
- โสภณธรรม ครั้งที่ 021
- โสภณธรรม ครั้งที่ 022
- โสภณธรรม ครั้งที่ 023
- โสภณธรรม ครั้งที่ 024
- โสภณธรรม ครั้งที่ 025
- โสภณธรรม ครั้งที่ 026
- โสภณธรรม ครั้งที่ 027
- โสภณธรรม ครั้งที่ 028
- โสภณธรรม ครั้งที่ 029
- โสภณธรรม ครั้งที่ 030
- โสภณธรรม ครั้งที่ 031
- โสภณธรรม ครั้งที่ 032
- โสภณธรรม ครั้งที่ 033
- โสภณธรรม ครั้งที่ 034
- โสภณธรรม ครั้งที่ 035
- โสภณธรรม ครั้งที่ 036
- โสภณธรรม ครั้งที่ 037
- โสภณธรรม ครั้งที่ 038
- โสภณธรรม ครั้งที่ 039
- โสภณธรรม ครั้งที่ 040
- โสภณธรรม ครั้งที่ 041
- โสภณธรรม ครั้งที่ 042
- โสภณธรรม ครั้งที่ 043
- โสภณธรรม ครั้งที่ 044
- โสภณธรรม ครั้งที่ 045
- โสภณธรรม ครั้งที่ 046
- โสภณธรรม ครั้งที่ 047
- โสภณธรรม ครั้งที่ 048
- โสภณธรรม ครั้งที่ 049
- โสภณธรรม ครั้งที่ 050