โสภณธรรม ครั้งที่ 046
ตอนที่ ๔๖
และผลของการเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายก็คือ เมื่อท่านอุปสมบทแล้วไม่นาน ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
นี่คือประโยชน์ของผู้ที่รับฟังพระธรรมโดยเคารพ ทำให้จากท่านพระราธะผู้เป็นปุถุชน เมื่อได้รับฟังโอวาทและคำพร่ำสอนของท่านพระสารีบุตรผู้เป็นพระอรหันต์ และท่านก็รับฟังและประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเคารพ จนในที่สุดก็สามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นเช่นเดียวกับท่านพระสารีบุตร
นี่ก็เป็นผลของการเป็นผู้ว่าง่าย เพราะฉะนั้นท่านพระสารีบุตรก็จะปลาบปลื้มใจในการที่มีผู้รับคำพร่ำสอนด้วยความเคารพ และน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนสามารถจะดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้
ท่านพระสารีบุตรพาท่านพระราธะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสถามว่า “สารีบุตร อันเตวาสิกของเธอว่าง่ายแลหรือ?”
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า เธอเป็นผู้ว่าง่ายเหลือเกิน เมื่อข้าพระองค์กล่าวโทษอะไรๆ อยู่ ไม่เคยโกรธเลย”
พระผู้มีพระภาคเมื่อจะทรงทำท่านพระราธเถระนั้นให้เป็นตัวอย่าง และตรัสภิกษุทั้งหลายจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุควรเป็นผู้ว่าง่ายเหมือนราธะ แม้อันเขาแสดงโทษกล่าวสอนอยู่ ก็ไม่พึงโกรธ”
ซึ่งเมื่อจะตรัสสอนโดยปริยายแม้อื่นอีก พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ก็ผู้ให้โอวาท ภิกษุพึงเห็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้ และควรปวารณาเสียทีเดียวว่า ‘ท่านขอรับ ท่านตั้งอยู่ในตำแหน่งอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของผมกล่าวสอนอยู่ นับว่าทำกรรมใหญ่แล้ว ขอท่านพึงกล่าวสอนผมแม้อีก ดังนี้’”
นี่ก็เป็นผู้มองเห็นประโยชน์ของผู้ที่ชี้โทษของตนเองให้ผู้นั้นได้เห็น และได้เข้าใจ ซึ่งผู้ที่ฉลาดย่อมเป็นผู้หากุศลของคนอื่นเพื่อที่จะอนุโมทนา และหาโทษของตนเองเพื่อที่จะได้ขัดเกลา แต่ถ้าตรงกันข้าม หากุศลของตนเองและหาโทษของคนอื่น ขณะที่หาโทษของคนอื่น อกุศลจิตก็เกิด และขณะที่หากุศลของตนเอง ก็อาจจะเกิดความทะนงตนหรือความสำคัญตนก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าโดยนัยกลับกัน เป็นผู้ที่ฉลาดจริงๆ หาโทษของตนเองว่ามีโทษอะไรบ้าง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่รู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่อาจจะรู้ดี และในขณะเดียวกัน ถ้ามีการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นก็หากุศลของคนอื่นที่จะอนุโมทนา ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ กุศลจิตย่อมเจริญ เพราะเหตุว่าอนุโมทนาในกุศลของคนอื่น และเห็นโทษของตนเองว่าเป็นโทษ และก็จะได้ขัดเกลาละคลายโทษนั้นยิ่งขึ้น
ข้อความต่อไปมีว่า
คำว่า ก็เพื่อให้โอวาท ภิกษุควรเห็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้นั้น อธิบายว่า เหมือนคนเข็ญใจ ซึ่งสิ่งที่ต้องการที่สุด คือ ทรัพย์ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าผู้ใดจะว่ากล่าวสั่งสอน หรือถึงแม้ว่าจะถูกเฆี่ยนตี แต่ก็ให้ทรัพย์ โดยบอกขุมทรัพย์ให้ ผู้นั้นก็ดีใจที่ได้ทรัพย์ และจะไม่โกรธผู้ที่ว่ากล่าวเฆี่ยนตี แต่บอกขุมทรัพย์ให้ฉันใด
เมื่อบุคคลเห็นปานนั้น เห็นโทษอันไม่สมควรหรือความพลั้งพลาดแล้วบอกอยู่ ภิกษุไม่ควรทำความโกรธ ควรยินดีโดยแท้
นี่เป็นเรื่องของอโทสเจตสิกจริงๆ ซึ่งเป็นทั้งความอดทน เป็นทั้งความเป็นผู้ว่าง่าย ซึ่งจะทำให้เป็นมงคลอันสูงสุด เพราะเหตุว่าเป็นเหตุให้กระทำกุศลยิ่งๆ ขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ว่ายากหรือสอนยาก ก็ย่อมจะไม่รับฟังคำสอน และจะมีความขัดเคือง จะทำให้เมื่อโกรธแล้วก็ย่อมห่างเหินไป หรือว่าอาจจะจากไปตลอดชีวิต ซึ่งก็จะไม่เป็นเหตุให้ละคลายกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ยอมที่จะรู้จักอกุศลของตนเอง และไม่เห็นความหวังดีของผู้ที่กล่าวสอนหรือพร่ำสอน
ในอนุมานสูตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุนั้นเป็นคนว่ายาก ประกอบด้วยธรรมที่ทำให้เป็นคนว่ายาก เป็นผู้ไม่อดทน ไม่รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ เมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อนพรหมจรรย์ต่างไม่สำคัญภิกษุนั้นว่า ควรว่ากล่าว ควรพร่ำสอน ทั้งไม่สำคัญความคุ้นเคย คือ ความสนิทสนม ความไว้ใจในบุคคลนั้นได้
อะไรนิดอะไรหน่อยก็โกรธ ก็คงจะสนิทสนมคุ้นเคยกันได้ยาก เพราะเหตุว่าไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไร บุคคลผู้ขี้โกรธนั้นถึงจะไม่โกรธได้
นี่เป็นสิ่งซึ่งแต่ละคนที่มีเพื่อน ก็คงจะพิจารณาได้ว่า ได้ทำให้เพื่อนโกรธโดยไม่ตั้งใจ เพราะว่าไม่รู้จักอัธยาศัยวันหนึ่งๆ บ่อยไหม หรือว่าเป็นคนที่โกรธคนอื่นง่ายๆ ก็จะพิจารณาว่า จะสนิทสนมคุ้นเคยกับใครก็คงลำบาก หรือว่าเป็นไปได้ไม่นาน เพราะเหตุว่าเดี๋ยวก็โกรธๆ เพราะฉะนั้นก็จะทำให้คนอื่นไม่ค่อยจะสนใจที่จะสนิทสนมคุ้นเคยด้วย เพราะเหตุว่าถ้าจะคุ้นเคยกับคนว่ายาก ก็มีแต่ทางที่จะทำให้คนว่ายากนั้นโกรธขึ้นๆ มากมายหลายเรื่อง ไม่รู้จบ เพราะฉะนั้นถ้าใครที่ไม่เห็นความหวังดีต่อกัน ก็ย่อมไม่คุ้นเคยกัน ไม่วางใจกัน และไม่สนิทสนมกันเป็นธรรมดา
บางท่านอาจจะเห็นว่า เรื่องของความว่าง่าย เป็นเรื่องเล็กๆ น้อย แต่ความจริงแล้วขอให้ระลึกถึงความเป็นมงคลอันสูงสุด เพราะเหตุว่าจะทำให้เป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่งสำหรับผู้ว่าง่าย
ข้อความตอนท้ายของมงคลคาถาข้อนี้มีว่า
(๔๔๘) เพราะฉะนั้นบุคคลเมื่อระลึกถึงสุคโตวาท พึงเป็นผู้ว่าง่ายเถิด ไม่พึงเป็นผู้ว่ายาก
สุคโตวาท คือ โอวาทของพระสุคต คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าระลึกถึงว่า การเป็นผู้ว่าง่าย เป็นคำสอน เป็นพระธรรมที่พร่ำสอนของพระผู้มีพระภาค พึงเป็นผู้ว่าง่ายเถิด ไม่พึงเป็นผู้ว่ายาก
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้มุ่งความตั้งมั่นแห่งพระศาสนา ก็พึงเป็นผู้ว่าง่ายโดยแท้ ส่วนความเป็นผู้ว่ายากย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมสูญ
หลายท่านเป็นห่วง เป็นกังวลเหลือเกินในการที่พระพุทธศาสนาจะค่อยๆ ลบเลือนเสื่อมสูญไป แต่ว่าใครเป็นผู้ทำให้พระพุทธศาสนาลบเลือนเสื่อมสูญ ต้องเป็นผู้ที่ว่ายาก เป็นผู้ที่ไม่ขัดเกลากิเลส เพราะเหตุว่าจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถรู้แจ้งพระนิพพานได้ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่ขัดเกลากิเลส ศาสนาก็ย่อมจะเสื่อมสูญเมื่อไม่มีผู้ประพฤติปฏิบัติตาม จนไม่สามารถธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาจริงๆ
ท่านผู้ฟังที่เป็นห่วงความเสื่อมสูญของพระสัทธรรม ก็ควรที่จะ พิจารณาตั้งแต่ในขั้นของการฟังธรรมและการเป็นผู้ว่าง่าย เพราะเหตุว่าการที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้ ต้องเริ่มจากบุคคลซึ่งเป็นผู้ฟังพระธรรม คนที่ไม่เข้าใจพระธรรมหรือไม่ฟังพระธรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะธำรงพระศาสนา แต่แม้กระนั้นในขณะที่ฟังพระธรรมจะดำรงพระสัทธรรมไว้ได้อย่างไร ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมที่ได้ฟัง
ข้อความในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ ข้อ ๑๕๔ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่ฟังธรรมโดยเคารพ ๑ไม่เล่าเรียนธรรมโดยเคารพ ๑ ไม่ทรงจำธรรมโดยเคารพ ๑ไม่ใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมที่ทรงจำไว้โดยเคารพ ๑ รู้อรรถรู้ธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมโดยเคารพ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ฯ
ต้องเป็นผู้ว่าง่ายด้วยหรือเปล่าที่จะเป็นผู้รักษาพระสัทธรรม เพราะเหตุว่าข้อความต่อไปโดยนัยตรงกันข้าม คือ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมฟังธรรมโดยเคารพ ๑ เล่าเรียนธรรมโดยเคารพ ๑ ทรงจำธรรมโดยเคารพ ๑ ใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมที่ทรงจำไว้โดยเคารพ ๑ รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมโดยเคารพ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ฯ
ไม่มีเรื่องการนุ่งขาวห่มขาว หรือให้ทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งไม่ใช่การพิจารณาพระธรรมจนกระทั่งเข้าใจถูกต้อง
ผู้ถาม ขอเรียนให้อาจารย์อธิบายคำว่า “โดยเคารพ” ทั้ง ๕ ประการนี้
ท่านอาจารย์ โดยการพิจารณาความถูกต้อง ไม่ถือความเห็นของตนเอง หรือไม่คิดว่า เข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ
ข้อความในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ สัทธัมมนิยามสูตรที่ ๓ ข้อ ๑๕๓ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือ ความถูกในกุศลธรรม
ขณะที่ฟังแล้วแต่โยนิโสมนสิการ เพราะเหตุว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่การพิจารณาโดยถูกต้อง โดยสมควรแก่เหตุผล เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่พิจารณาถูกต้อง ก็เห็นความถูกในกุศลธรรม แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นอโยนิโสมนสิการ ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือ ความถูกในกุศลธรรม
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ บุคคลเป็นผู้ลบหลู่คุณท่านฟังธรรม ๑ เป็นผู้อันความลบหลู่ครอบงำ มีจิตแข่งดีฟังธรรม ๑ เป็นผู้แสวงโทษ มีจิตกระทบในผู้แสดงธรรม มีจิตกระด้าง ๑ เป็นผู้มีปัญญาทราม โง่เง่า ๑ เป็นผู้มีความถือตัวว่าเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือ ความถูกต้องในกุศลธรรม ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ฟังสัทธรรมอยู่ เป็นผู้ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือ ความถูกในกุศลธรรม ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ บุคคลย่อมไม่เป็นผู้ลบหลู่คุณท่านฟังธรรม ๑ เป็นผู้อันความลบหลู่ไม่ครอบงำ ไม่มีจิตแข่งดีฟังธรรม ๑ เป็นผู้ไม่แสวงโทษ ไม่มีจิตกระทบในผู้แสดงธรรม ไม่มีจิตกระด้าง ๑ เป็นผู้มีปัญญา ไม่โง่เง่า ๑ ไม่เป็นผู้มีความถือตัวว่าเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ฟังสัทธรรมอยู่ เป็นผู้ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยาม คือ ความถูกในกุศลธรรม ฯ
ผู้ฟัง ลักษณะของการฟังธรรมโดยเคารพควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อที่จะให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วเข้าใจ ชื่อว่า เคารพในธรรม แต่ถ้าไม่ตั้งใจฟังและก็ไม่ได้พิจารณาให้เข้าใจ เพียงแต่ฟัง อย่างนั้นก็ไม่ชื่อว่า ฟังโดยเคารพ เพราะเหตุว่าไม่รู้จุดประสงค์ว่า การฟังธรรมนั้นเพื่อให้เข้าใจ
ผู้ฟัง คือกระผมได้สนทนาธรรมกับผู้ที่สนใจในธรรม เขาถามว่าถ้าฟังเทปอาจารย์แล้วนอนฟัง อย่างนี้เคารพไหม ถ้านั่งฟัง จะนั่งอย่างไร จะเดินอย่างไร ผมตอบไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถ้านั่งฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่นอนฟังแล้วเข้าใจ ประโยชน์อยู่ที่ไหน ข้อสำคัญที่ความเข้าใจ ในการฟังพระธรรมแต่ละครั้งต้องรู้จุดประสงค์จริงๆ ว่า เพื่อเข้าใจพระธรรมที่ได้ฟัง ทำไมต้องเข้าใจ เพื่อที่จะได้ประพฤติปฏิบัติตามโดยถูกต้อง ไม่ผิด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็แล้วแต่ว่าทำอย่างไรจะเข้าใจพระธรรม ถ้านอนฟังไม่เข้าใจ นั่งฟังถึงจะเข้าใจก็นั่ง ถ้านั่งฟังไม่เข้าใจ ยืนฟังเข้าใจก็ยืน อย่างไรก็ได้แล้วแต่ แต่ถ้าจะศึกษาในอรรถกถาจริงๆ แม้แต่ในการที่พระมหากัสสปะจะถามปริพาชกซึ่งถือดอกมณฑารพไปเมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท่านพระมหากัสสปะเองท่านทราบว่า พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว แต่ว่าการที่ท่านกล่าวถามปริพาชกก็เพื่อที่จะให้ภิกษุทั้งหลายที่ได้ฟังในขณะนั้น ได้รู้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่ว่าเมื่อมีความเศร้าโศกเสียใจประการใด ก็จะไม่ต้องกับร้องไห้คร่ำครวญในสถานที่ผู้อื่นจะกล่าวได้ว่า สาวกของพระผู้มีพระภาคมีกิริยาอาการที่ผิดแปลกจากปกติถึงอย่างนั้นๆ เวลาที่ท่านจะกล่าวถามปริพาชก ท่านคิดว่า ถ้าท่านจะนั่งถามถึงพระผู้มีพระภาค จะไม่เป็นการเคารพ เพราะฉะนั้นท่านประนมมือหันหน้าไปทางปริพาชกนั้น ซึ่งปริพาชกนั้นก็ได้ตอบว่า พระผู้มีพระภาคปรินิพพานเสียแล้ว
เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคลในขณะนั้นๆ ถ้าขณะที่อยากฟังพระธรรม แต่เป็นเวลาที่ยังเช้ามาก เช่น ตีสีครึ่ง เป็นต้น และยังนอนอยู่ ก็นอนฟังด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจ ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าใครจะมีความนอบน้อมมากกว่านั้น จะตื่นแต่เช้า แล้วอาบน้ำเรียบร้อย แต่งตัวสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ฟังพระธรรม นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่ให้ทราบว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครที่จะสามารถบังคับบัญชาจิตแต่ละขณะได้เลย และการกระทำของแต่ละวันก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย วาระนี้เป็นอย่างนี้ อีกวาระหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเหมือนกันทุกครั้ง แต่ข้อสำคัญก็คือว่า การเคารพด้วยความตั้งใจฟังและพิจารณาในเหตุผลให้ได้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นผู้ที่นั่งประนมมือ แต่ว่าฟังโดยไม่ตั้งใจ อย่างนั้นก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม
เพราะฉะนั้นกุศลจิตทำให้เป็นผู้ที่อ่อนโยนและเป็นผู้ที่นอบน้อม
ผู้ฟัง คำว่า ฟังธรรมโดยเคารพ ก็ดี เรียนโดยเคารพ ทรงจำโดยเคารพ ใคร่ครวญโดยเคารพ ตลอดจนถึงปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ได้ไตร่ตรองแล้ว คำว่าโดยเคารพนี่ คงจะหมายความว่า ฟังแล้วเข้าใจ อย่างนั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ คือไม่ถือความเห็นของตัวเป็นใหญ่ หมายความว่า เมื่อพิจารณาแล้ว ถ้าพระธรรมที่ทรงแสดงมีเหตุผลสมบูรณ์ ถูกต้อง ก็ไม่เอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ว่า ถูกต้องยิ่งกว่าพระธรรมที่ได้รับฟัง
ผู้ฟัง คือสามารถที่จะเปลี่ยนความเห็นของตนตามพระธรรมที่ได้ฟัง ที่มีเหตุมีผลถูกต้อง และที่ว่าใคร่ครวญแล้วโดยเคารพ หมายความว่าฟังแล้ว เรียนแล้ว จำได้แล้ว หมายความว่าฟังก็ต้องฟังที่ถูกต้อง จำก็ต้องจำที่ถูกต้อง และเรียนก็ต้องเรียนที่ถูกต้อง หมายความว่ามีเหตุมีผลแล้ว ทีนี้ใคร่ครวญโดยเคารพ ทีนี้ใคร่ครวญแล้วก็ยังไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ก็ใคร่ครวญต่อไป เรื่องการฟังธรรมโดยไม่เคารพอย่างที่ได้กล่าวถึงแล้ว ข้อความในสัทธรรมนิยามสูตร คือ บุคคลเป็นผู้ลบหลู่คุณท่านฟังธรรม นั่นก็ไม่ใช่การฟังด้วยความเคารพ เป็นผู้อันความลบหลู่ครอบงำ มีจิตแข่งดีฟังธรรม นั่นก็ไม่ใช่การฟังด้วยความเคารพ เป็นผู้แสวงโทษ มีจิตกระทบในผู้แสดงธรรม มีจิตกระด้าง ขณะนั้น ก็ไม่ใช่การฟังด้วยความเคารพ เป็นผู้มีปัญญาทราม โง่เง่า เป็นผู้มีความถือตัวว่าเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ นั่นก็ไม่ใช่การฟังด้วยความเคารพ
ผู้ฟัง ตัวกระผมเองก็เคยเปิดไปฟังรายการวิทยุที่มีรายการธรรม ที่ท่านแสดง รู้สึกว่าท่านจะใช้อัตโนมัติยาธิบาย คือ อธิบายตามความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ กระผมก็คิดว่าอย่างนี้ไม่ฟังดีกว่า ปิดเลย อย่างนี้จะถือว่าไม่เคารพได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่การฟังพระธรรม นั่นเป็นการฟังบุคคลที่ไม่ได้แสดงพระธรรม แต่ว่าแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ผู้ฟัง คำว่า “โดยเคารพ” ในที่นี้ ต้องเป็นธรรมที่ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้ว
ผู้ฟัง มีเหตุมีผลถูกต้องตามที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว แต่ถ้าฟังอย่างอื่นแล้วเราคิดว่าไม่ถูกต้อง แล้วก็ปิด อย่างนี้ไม่ถือว่าขาดความเคารพ
ท่านอาจารย์ อันนั้นไม่ใช่ฟังพระธรรม เป็นการฟังความคิดเห็นของบุคคล
ผู้ฟัง และที่ว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แค่ไหนที่เรียกว่าปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ขั้นต้น คือ ความเป็นผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้อดทน ตลอดไปจนกระทั่งการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐาน อบรมเจริญปัญญาตามข้อประพฤติปฏิบัติที่ถูก
ผู้ฟัง คือน้อมปฏิบัติตามธรรมที่ได้ฟัง ที่ได้เรียน ที่ได้จำมา ที่ได้ใคร่ครวญแล้วนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าประโยชน์ของการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพื่อการปฏิบัติตาม นี่สำคัญที่สุด และไม่ใช่แต่เฉพาะในขั้นของการเจริญสติปัฏฐานเท่านั้น ทุกขั้น ไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องของความไม่โกรธ ทุกคนที่ยังโกรธอยู่ คิดยังไง ยังจะเป็นผู้ว่ายาก คือว่าอยากจะโกรธต่อไปอีก หรือว่าเป็นผู้น้อมไปที่จะไม่โกรธ เพราะเหตุว่าจะไม่โกรธทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่แม้กระนั้นพระธรรมที่ได้ฟังก็ทำให้จิตอ่อนโยน แล้วก็มีศรัทธาที่จะน้อมไปที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ที่ใช้คำว่า “น้อมประพฤติปฏิบัติตาม” เพราะเหตุว่าทุกคนยังปฏิบัติตามทันทีไม่ได้ตรงตามที่ได้เข้าใจ เช่นเข้าใจว่า โลภะไม่ดี โทสะไม่ดี โมหะไม่ดี แต่ว่าใครจะละโลภะ โทสะ โมหะ ได้ในเมื่อปัญญายังไม่เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะละได้
เพราะฉะนั้นทุกคนฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจในเหตุในผล อกุศลเป็นอกุศล เป็นโทษ กุศลเป็นกุศล ไม่เป็นโทษ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็น้อมไปที่จะละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยังเป็นผู้ที่แข็งกระด้าง ว่ายาก ไม่ว่าพระธรรมจะว่าอย่างไร แต่ใจยังต้องการที่จะเป็นอกุศลต่อไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมก็ตั้งแต่ในขั้นต้นจนถึงขั้นสุดท้าย คือ ปฏิบัติธรรมในขั้นที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ถ้าไม่เข้าใจแล้ว จะทำให้ปฏิบัติธรรมที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ไม่ได้ ถ้ายังเป็นผู้ที่ว่ายาก ไม่อดทน มักโกรธ ก็ไม่สามารถที่จะเห็นประโยชน์ของการเป็นผู้ว่าง่าย อดทน และน้อมไปที่จะเจริญกุศลยิ่งขึ้น
ข้อความในเรื่องของการรักษาพระศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ เช่น สัทธัมมสัมโมสสูตรที่ ๒ ข้อ ๑๕๕ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมไม่เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ นี้ธรรมเป็นข้อที่ ๑
ทั้งหมดที่ได้ฟังอยู่ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธัมมปิฎก
เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว ไม่ว่าจะจากพระวินัยบ้าง พระสูตรบ้าง พระอภิธรรมบ้าง ทุกท่านก็กำลังศึกษาสุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ
นี่แสดงว่าต้องศึกษาพระธรรม เป็นของที่แน่นอนที่สุดในการที่จะรักษาพระศาสนา ใครก็ตามที่เป็นห่วงพระพุทธศาสนาว่าจะเสื่อมสูญ ไม่ถึงรุ่นต่อๆ ไป มีทางเดียวที่จะไม่เสื่อมสูญได้ คือ ต้องศึกษาพระธรรม ถ้าจะรักษาโดยวิธีอื่นซึ่งไม่ใช่โดยการศึกษาและเข้าใจพระธรรมแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่พระสัทธรรมจะยั่งยืนต่อไป
นี่เป็นข้อที่ ๑ คือ จะต้องศึกษา
อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม
เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว และมีความเข้าใจ แต่ไม่เผยแพร่ ไม่แสดงพระธรรมที่ได้ศึกษาแล้วจนกระทั่งเข้าใจแล้วแก่คนอื่น อันนั้นก็เป็นทางที่จะทำให้พระสัทธรรมลบเลือนเสื่อมสูญ เป็นความจริงไหม ใครก็ตามที่เข้าใจแล้ว ฟังแล้ว เฉพาะตัวแล้วก็ตายไป ก็หมดไป เสื่อมไป แต่ถ้าสามารถที่จะเผยแพร่สั่งสอน หรือว่าแสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วต่อๆ กันไปอีก ก็เป็นทางที่จะทำให้พระธรรมไม่เสื่อมสูญ
นี่ก็เป็นประการที่ ๒
อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓
ถ้าท่านผู้ฟังจะสังเกตเห็นความละเอียดของการที่จะต้องเป็นผู้ที่พยายามช่วยกันที่จะสืบต่อพระสัทธรรม จะเห็นได้ว่า ไม่เพียงแต่ศึกษา และไม่ใช่เพียงแต่แสดงธรรม แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี่เป็นธรรมข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม
เวลาที่แสดงธรรมก็เวลาหนึ่ง แต่จะสังเกตได้จากการแสดงธรรมของทุกคน ก็เป็นบางวาระ บางโอกาส และผู้ฟังก็กลับไปสู่บ้านเรือน อาทิตย์หนึ่งก็อาจจะมีการฟังธรรมครั้งหนึ่ง หรือว่าอาจจะได้รับฟังทางวิทยุก็แล้วแต่ แต่ถ้ามีการบอกธรรม ช่วยเวลาที่มีความข้องใจ หรือมีความสงสัยประการหนึ่งประการใด ก็ชี้แจงบอกความละเอียด ความลึกซึ้ง ความพิสดารนั้นให้คนที่เกิดความสงสัย หรือความข้องใจ ความไม่เข้าใจด้วย ย่อมเป็นเหตุให้ธรรมนั้นแจ่มแจ้ง ไม่ใช่เพียงแต่แสดงแล้วก็จบ แต่ก็ยังตามบอกถึงความละเอียด ถึงความพิสดารของความลึกซึ้งของธรรมนั้นด้วย เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น เพื่อจะให้เกิดศรัทธาน้อมประพฤติปฏิบัติตามยิ่งขึ้น
ท่านที่ได้ฟังธรรมด้วยกัน ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตต่างๆ กัน บางวาระท่านผู้หนึ่งก็มีเหตุที่จะทำให้เกิดความโกรธ ความหงุดหงิด ความเสียใจ ความน้อยใจ แต่ได้อาศัยเพื่อนธรรมที่ได้ฟังธรรมด้วยกันปลอบโยน และบอกข้อธรรมต่างๆ ซึ่งจะเกื้อกูลกับสภาพของเหตุการณ์นั้นๆ ให้ระลึกถึงธรรมที่ได้ฟัง และประพฤติปฏิบัติตาม ขณะนั้นก็ไม่ใช่เวลาของการฟังธรรม แต่ว่าเป็นเวลาของการบอก การชี้แจงธรรม การเตือนให้ระลึกถึงข้อธรรมต่างๆ นั่นก็เป็นเหตุหนึ่งที่จะทำให้พระสัทธรรมไม่เสื่อมสูญ เพราะเหตุว่ามีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามด้วย
- โสภณธรรม ครั้งที่ 001
- โสภณธรรม ครั้งที่ 002
- โสภณธรรม ครั้งที่ 003
- โสภณธรรม ครั้งที่ 004
- โสภณธรรม ครั้งที่ 005
- โสภณธรรม ครั้งที่ 006
- โสภณธรรม ครั้งที่ 007
- โสภณธรรม ครั้งที่ 008
- โสภณธรรม ครั้งที่ 009
- โสภณธรรม ครั้งที่ 010
- โสภณธรรม ครั้งที่ 011
- โสภณธรรม ครั้งที่ 012
- โสภณธรรม ครั้งที่ 013
- โสภณธรรม ครั้งที่ 014
- โสภณธรรม ครั้งที่ 015
- โสภณธรรม ครั้งที่ 016
- โสภณธรรม ครั้งที่ 017
- โสภณธรรม ครั้งที่ 018
- โสภณธรรม ครั้งที่ 019
- โสภณธรรม ครั้งที่ 020
- โสภณธรรม ครั้งที่ 021
- โสภณธรรม ครั้งที่ 022
- โสภณธรรม ครั้งที่ 023
- โสภณธรรม ครั้งที่ 024
- โสภณธรรม ครั้งที่ 025
- โสภณธรรม ครั้งที่ 026
- โสภณธรรม ครั้งที่ 027
- โสภณธรรม ครั้งที่ 028
- โสภณธรรม ครั้งที่ 029
- โสภณธรรม ครั้งที่ 030
- โสภณธรรม ครั้งที่ 031
- โสภณธรรม ครั้งที่ 032
- โสภณธรรม ครั้งที่ 033
- โสภณธรรม ครั้งที่ 034
- โสภณธรรม ครั้งที่ 035
- โสภณธรรม ครั้งที่ 036
- โสภณธรรม ครั้งที่ 037
- โสภณธรรม ครั้งที่ 038
- โสภณธรรม ครั้งที่ 039
- โสภณธรรม ครั้งที่ 040
- โสภณธรรม ครั้งที่ 041
- โสภณธรรม ครั้งที่ 042
- โสภณธรรม ครั้งที่ 043
- โสภณธรรม ครั้งที่ 044
- โสภณธรรม ครั้งที่ 045
- โสภณธรรม ครั้งที่ 046
- โสภณธรรม ครั้งที่ 047
- โสภณธรรม ครั้งที่ 048
- โสภณธรรม ครั้งที่ 049
- โสภณธรรม ครั้งที่ 050