โสภณธรรม ครั้งที่ 057
ตอนที่ ๕๗
เพราะเหตุว่าบางท่านก็เพิ่งจะรับฟัง และก็มีท่านที่บอกว่า สติไม่ค่อยเกิด ทำอย่างไรสติถึงจะเกิด ถ้ายังไม่เข้าใจว่า ปัญญารู้อะไรในวันหนึ่งๆ แล้วละก็ สติก็เกิดไม่ได้ ต่อเมื่อใดรู้ว่า ปัญญารู้อะไรในวันหนึ่งๆ สติจึงจะเริ่มระลึกเพื่อให้ปัญญาศึกษา รู้ลักษณะของสิ่งที่ปัญญาจะต้องรู้
ในขณะนี้ ด้วยการศึกษา ทราบว่า เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมทั้งนั้น ทุกขณะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย แม้เพียงฟังแค่นี้ ถ้ามีความเข้าใจโดยถูกต้อง สติเริ่มระลึกลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ แต่ถ้าเพียงฟังเล็กน้อย แล้วก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ สติก็ยังไม่เกิด แต่ถ้าทราบว่าชีวิตทุกขณะ เดี๋ยวนี้เอง เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมทั้งนั้น ทุกอย่าง
ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่า ที่กล่าวอย่างนี้ผิดหรือถูก ขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ถูกใช่ไหม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถูก
ขณะนี้เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ ถูกหรือผิด ขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นนามธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นรูปธรรม ที่กล่าวอย่างนี้ถูกหรือผิด ถูก
เพราะฉะนั้นปัญญา คือ การรู้สิ่งที่กำลังปรากฏที่เมื่อสักครู่นี้กล่าวว่า เป็นนามธรรมและรูปธรรมทั้งนั้นนั่นเอง ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย
กำลังเห็น เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปธรรม ในขณะที่ทุกคนกำลังเห็น เพียงเท่านี้เอง พิจารณาอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ เพราะเมื่อสักครู่กล่าวแล้วว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ทุกขณะเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรม แต่ไม่รู้
เพราะฉะนั้นปัญญาก็คือ ต้องรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้เอง ถูกหรือผิด ปัญญาต้องรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้เอง
นี่คือการที่จะเข้าใจเรื่องของสติปัฏฐาน สิ่งที่สติจะระลึกและปัญญาจะพิจารณา จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ขณะนี้เป็นนามธรรม ขณะนี้เป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ต่างหาก
เพราะฉะนั้นผู้รู้กล่าวว่า ขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ผู้ไม่รู้ได้ยินได้ฟังว่า ขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่ผู้ไม่รู้จะเป็นผู้รู้ได้ ก็ด้วยการที่สติเกิด ขณะที่เห็นเป็นปกติธรรมดา ขณะที่สติไม่เกิดก็เพียงเห็น แต่ว่าขณะที่สติเกิด ก็คือ เมื่อเห็น คือ ในขณะนี้ แล้วระลึกศึกษา น้อมที่จะรู้ว่า ในขณะที่เห็น เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นของจริง ยังไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐานใดๆ เลย เพราะเหตุว่าสภาพนี้เพียงปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาทเท่านั้น จึงปรากฏ
แค่นี้เอง ซึ่งสติจะต้องระลึกบ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะรู้ชัดจริงๆ ว่า สภาพรู้ที่กำลังเห็น เป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่า สติไม่ค่อยเกิดนั้น ก็เป็นเพราะเหตุว่ายังไม่ค่อยที่จะระลึกจนกระทั่งรู้จริงๆ ว่า ปัญญาไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่รู้นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจะทำให้กิเลสเกิดมากๆ ทุกขณะก็ได้ หรือว่าจะทำให้ปัญญาเกิดมากๆ จนกระทั่งดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเราเห็น และสิ่งที่เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน จนกระทั่งสามารถที่จะเพิ่มความรู้ขึ้นก็ได้
เพราะฉะนั้นเรื่องของการเห็นซึ่งมีบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นเรื่องซึ่งแต่ละท่านจะพิจารณาดูว่า จะให้กิเลสเกิดมาก หรือว่าจะให้ปัญญาเกิดมากในขณะที่กำลังเห็น
ในขณะที่กำลังได้ยิน ก็เช่นเดียวกัน ในขณะนี้เองที่กำลังได้ยิน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ถูกหรือผิด ถ้าถูก คือ ได้ยินเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม เสียงเป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ต่างหากว่าเป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม จึงเป็นเราได้ยิน
เพราะฉะนั้นปัญญาก็คือ ขณะใดที่สติเกิด ขณะที่ได้ยินปรากฏ กำลังได้ยินเสียง สติระลึกสภาพที่กำลังรู้ ที่เสียงปรากฏได้ ต้องมีลักษณะรู้ มีธาตุรู้ มีอาการรู้ เสียงจึงปรากฏ เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังได้ยินเสียง ก็น้อมที่จะรู้ว่าขณะนั้นมีสภาพที่รู้ในขณะที่เสียงปรากฏ ไม่ใช่เรา
นี่คือเหตุที่จะให้สติปัฏฐานเกิด โดยการเข้าใจเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วก็พิจารณาได้ว่า ได้ยินบ่อยๆ จะให้กิเลสเกิดมากๆ หรือว่าจะให้ปัญญาเกิด
นี่ก็เป็นเรื่องที่แต่ละท่านจะหมดความสงสัยว่า ที่ว่าสติปัฏฐานไม่เกิด ปัญญาไม่รู้ เพราะอะไร ทั้งๆ ที่เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมทั้งนั้นทุกขณะ แต่อวิชชาไม่รู้ อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ แล้วที่ปัญญาสามารถจะรู้ได้ก็เพราะสติเกิด ต้องมีการระลึกได้ พิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องระลึกก็คือว่า ทุกขณะเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ถ้าไม่ลืม สติก็คงจะระลึกได้ ก่อนที่จะถึงสังขารุเปกขา ๑๐ ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจของวิปัสสนา ซึ่งสังขารุเปกขาเป็นปัญญาเจตสิก ไม่ใช่ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก
มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ไหม ท่านที่ยังสงสัยเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ไม่น่าจะมีข้อสงสัยใดๆ เลย เพราะเหตุว่าขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะรู้ เท่านั้น สติระลึก ถ้าไม่รู้ลักษณะของสติ สติเกิดไม่ได้ ไม่ใช่วิธีอื่น
ต้องฟังจนกระทั่งรู้ว่า กระทบแข็งบ่อยๆ ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ มีสภาพที่รู้แข็ง แต่ยังไม่ใช่สติปัฏฐาน สติปัฏฐานไม่ใช่ขณะอื่น ขณะที่กำลังรู้แข็งแล้วระลึกได้ที่จะรู้ว่า ขณะนั้นแข็ง ไม่ใช่อะไรเลยสักอย่างเดียว เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และที่กำลังรู้แข็งก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงลักษณะรู้ สภาพรู้เท่านั้น
ถ้าระลึกอย่างนี้ รู้อย่างนี้ ก็เป็นการที่สติปัฏฐานจะเจริญขึ้น
ที่ได้กล่าวถึงข้อความในอรรถกถาโคตมสูตร ซึ่งมีข้อความว่า
พราหมณ์บรรพชิตจำนวนมากเกิดเมาความรู้ขึ้น เพราะอาศัยพระพุทธพจน์ที่ตนเคยเรียนแล้ว ไม่ยอมไปฟังโรงธรรม ด้วยคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อจะตรัส ก็ตรัสคำที่พวกเรารู้แล้วเท่านั้น ไม่ตรัสคำที่พวกเรายังไม่รู้
ถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะระลึกได้ทันทีว่า ที่ทรงแสดงธรรมมาก เพื่อเกื้อกูลให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยพระสูตร หรือพระอภิธรรม หรือแม้พระวินัย ก็เพื่อที่จะให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
แต่ว่าเพราะว่าภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เห็นที่มาที่ไปของพระธรรมเทศนาเลย คือ ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้ฟังด้วยความแยบคาย เมื่อไม่เห็นก็พากันคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงเข้าพระทัยว่า ธรรมกถาของเราตถาคตย่อมนำสัตว์ออกไปจากทุกข์ จึงตรัสพระธรรมเทศนาที่คล่องพระโอษฐ์เท่านั้น
คือฟังดูก็เหมือนเดิมใช่ไหม เรื่องของตา ของหู ของจมูก ของลิ้น ของกาย ของใจ ก็เท่านั้น ดูเหมือนกับคล่องพระโอษฐ์จริงๆ ในเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เข้าใจว่า ไม่ใช่เพราะการตรัสรู้ ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบดังนั้นก็ได้ตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นมา แล้วทรงแสดงมูลปริยายสูตร คือ มูลของธรรมทั้งปวง
เพียงเท่านี้น่าฟังไหม รู้หรือยังเรื่องมูลของธรรมทั้งปวง แต่ว่าต้องมีเรื่องที่จะต้องทรงแสดงมากมายทีเดียว ที่จะเกื้อกูลให้ผู้นั้นได้เข้าใจจริงๆ และก็เป็นประโยชน์ต่อการที่สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
ข้อความในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายสูตร ข้อ ๑ – ข้อ ๙ มีข้อความว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมสำคัญธาตุดิน ย่อมสำคัญในธาตุดิน ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมสำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้
นี่คือชีวิตประจำวันของทุกคน กระทบแข็งตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ แต่ว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน
ถูกต้องไหม ธาตุดิน คือ แข็ง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่า แข็ง ทุกคนรู้ แข็งเป็นอย่างไรก็รู้
ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมสำคัญธาตุดิน ย่อมสำคัญในธาตุดิน ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมสำคัญธาตุดินว่า เป็นของเรา
ลองกระทบตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าที่แข็ง รู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมสำคัญธาตุดิน โดยความเป็นธาตุดิน ย่อมสำคัญธาตุดินว่าของเรา ใช่ไหม ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าที่เป็นร่างกาย และยังเป็นสิ่งอื่นๆ อีกหลายอย่างนอกร่างกาย ก็เป็นของของเราด้วย ทั้งๆ ที่เป็นเพียงธาตุดินเท่านั้น ซึ่งย่อมยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่กระทบแข็ง แล้วกิเลสจะได้ไม่เพิ่มขึ้นมากมาย ก็โดยการที่สติระลึกแล้วพิจารณา รู้ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพแข็ง ซึ่งถ้าปัญญาเจริญขึ้น ขณะนั้นเองก็ปรากฏสภาพที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ข้อความต่อไปในมูลปริยายสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสถึงธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ตลอดไปจนถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นยังมีใครที่จะสงสัยอีกไหมในเรื่องของการเป็นผู้มีปกติเจริญสติไปเรื่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นหนทางเดียว ไม่ใช่หนทางอื่น จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริง
สำหรับสังขารุเปกขา ๑๐ ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของวิปัสสนา ข้อความในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ญาณกถา ข้อ ๑๓๓ มีข้อความว่า
สังขารุเปกขา ๑๐ เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา
ปัญญาที่พิจารณาหาทาง แล้ววางเฉยความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรมเครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ความโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ เพื่อบรรลุโสตาปัตติมรรคเป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ เพื่อบรรลุโสตาปัตติผลสมาบัติ ๑ สกทาคามิมรรค ๑ สกทาคามิผลสมาบัติ ๑ อนาคามิมรรค ๑ อนาคามิผลสมาบัติ ๑ อรหัตตมรรค ๑ อรหัตตผลสมาบัติ ๑ รวมเป็น ๘ และ เพื่อสุญญตวิหารสมาบัติ ๑ เพื่ออนิมิตตวิหารสมาบัติ ๑ รวมเป็นสังขารุเปกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา
ฟังเท่านี้ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพของสังขารุเปกขาได้ นอกจากจะเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานโดยถูกต้อง จนปัญญาสมบูรณ์ขึ้นเป็นลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นจะขอกล่าวถึงวิปัสสนาญาณ
วิปัสสนาเป็นปัญญา สัมมาทิฏฐิเป็นปัญญา ความเข้าใจถูกเป็นปัญญา ซึ่งจะต้องเกิดตามลำดับจริงๆ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกในขั้นของสัจจญาณว่า ทุกขอริยสัจจ์คืออะไร ที่สติจะต้องระลึกรู้จนประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป สมุทยอริยสัจจ์คืออะไร นิโรธอริยสัจจ์คืออะไร นิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์คืออะไร ถ้าไม่รู้อย่างนี้ สติปัฏฐานก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเมื่อสติเกิดแล้ว ทุกท่านต้องเป็นผู้ที่อดทน จะเข้าใจความหมายของคำว่า “ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง” คือ อดทนที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้เลยว่า เป็นนามธรรมและรูปธรรม จนกระทั่งค่อยๆ พิจารณา เมื่อระลึกแล้วต้องศึกษา ซึ่งเป็นสิกขา ๓ ไตรสิกขา ได้แก่ สีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ในขณะที่กำลังพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และเป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง โดยที่รู้ว่า ในวันนี้หรือว่าในวันหนึ่งๆ สติปัฏฐานระลึกลักษณะของสภาพธรรมอะไรบ้าง ทางไหน ทางตา อาจจะไม่ได้ระลึก ทางหู ระลึกหรือเปล่า ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่ว่าขณะนั้นเมื่อสติเกิด ก็เป็นผู้ที่รู้ได้ว่า ขณะนั้นกำลังระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมทางใด แล้วก็ต้องพิจารณาเพื่อที่จะได้รู้ขึ้นในลักษณะที่เป็นนามธรรม ซึ่งต่างกับลักษณะที่เป็นรูปธรรม ตลอดชีวิตนี้เป็นไปได้ไหม ที่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจริงๆ โดยไม่หวังผล เพราะเหตุว่าผลทั้งหลายต้องมาจากเหตุ ถ้าสติไม่ระลึกแล้วเมื่อไรจะเป็นพระโสดาบัน ได้ไหม สติระลึกนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ยังไม่ได้ศึกษาลักษณะของสภาพธรรม ความรู้ก็ยังไม่เพิ่มขึ้นในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ต่างกัน และก็เมื่อไรจะเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ได้ไหม เหตุไม่สมควรแก่ผล เพราะฉะนั้นจะหวังรอสักเท่าไร หรือว่าจะเพียรทำอย่างอื่น ก็ยิ่งจะเป็นทางที่ทำให้คลาดเคลื่อนไปจากข้อปฏิบัติที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งจะไม่ทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ตามความเป็นจริง เหตุต้องถูก ต้องตรง ผลที่ถูกต้องจึงจะเกิดได้
ถาม แม้แต่อาจารย์พูดอย่างนี้ คือ ให้เจริญสติ เมื่อกลับไปบ้าน มีสัญญาจำได้ว่า อาจารย์ให้เจริญสติ บางทีก็ไม่อยากจะเจริญ คือ ปล่อยไปเลย
ท่านอาจารย์ อันนี้มีตัวตนที่จะเจริญ กลับไปบ้านจะเจริญ แล้วบางวันก็จะปล่อย ใช่ไหม ไม่ใช่สัมมาสติ สัมมาสติ คือ ปกติอย่างนี้ รู้ว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม รู้จริงๆ อย่างนี้หรือยัง เชื่อหรือยังว่าเป็นอย่างนี้
ผู้ฟัง ก็ต้องเพียรเจริญ
ท่านอาจารย์ มิได้ สอบถามความเข้าใจ ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล นอกจากนามธรรมและรูปธรรม เข้าใจอย่างนี้จริงๆ หรือยัง ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่นามธรรมและรูปธรรม ขั้นเข้าใจ ขั้นสัจจญาณ เข้าใจ เพราะฉะนั้นในขณะนี้เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม ตรงกับเมื่อกี้นี้ที่กล่าว ใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่า เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้ก็คือสติเกิด ไม่ใช่เราจะทำ หรือเราจะปล่อย ถูกต้องใช่ไหม
ผู้ฟัง ถ้าเกิดก็ระลึกได้ทันทีเลยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ก็ขณะนี้เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรมแล้ว เป็นนามธรรมและรูปธรรมตลอดชีวิต ไม่ว่าจะขณะยิ้ม ขณะหัวเราะ ขณะโกรธ ขณะเสียใจ ขณะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ขณะมีข่าวดีข่าวร้ายอะไรทุกอย่าง ตลอดชีวิตไม่มีอะไรเลย นอกจากนามธรรมและรูปธรรม ต้องมีความมั่นใจและเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เพื่อที่ว่าสติจะเกิดขณะไหนก็ได้ เพราะเหตุว่าแม้ขณะนี้ก็เป็นนามธรรมและรูปธรรม ผู้ที่รู้ก็รู้ว่า กำลังเห็นเป็นนามธรรม และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นรูปธรรม แต่ผู้ที่ไม่รู้ แม้ว่าเห็นเป็นนามธรรม สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรม
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะทำ กลับไปบ้านจะทำ แล้วก็เกิดท้อถอย เบื่อหน่าย แล้วก็เลิกจะไม่ทำ หรืออะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ แม้แต่ในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน คือ ขณะใดที่ระลึก รู้ว่ามีนามธรรมและรูปธรรมตลอดไม่ขาดเลย ในขณะเห็นเป็นนามธรรม ไม่รู้ ก็ระลึกศึกษาเพื่อจะรู้ นี่คือการเจริญมรรคมีองค์ ๘
ผู้ฟัง แต่ถ้าไม่ยอมระลึกละ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรถึงไม่ยอม มียอม มีไม่ยอมด้วยหรือ ถ้ามียอม มีไม่ยอม ก็มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตน ยังไม่ใช่ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ถูกไหม เพราะฉะนั้นขอให้สัจจญาณมีความมั่นคงว่า แม้แต่ในขณะที่คิดนั้นก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่กำลังคิด ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ปัญญาต้องเจริญตามปกติ จนแม้คิดอย่างนั้น ก็รู้ว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่สภาพเห็น ซึ่งเป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ได้ยิน ซึ่งเป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานจนทั่วจริงๆ แล้วก็เลิกคิดเสีย ที่จะไม่ยอมทำ หรือว่ากลับบ้านจะทำ แล้วก็เกิดเบื่อขึ้นมา ก็จะไม่ทำ เพราะว่าถ้าคิดอย่างนั้นขณะใด ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน
ผู้ฟัง ก็ต้องอดทนมากๆ เลย อดทนที่จะระลึกรู้
ผู้ฟัง ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะต้องแค่ไหน ถึงจะเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้ เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม สติก็ระลึก
ผู้ฟัง ผมก็รู้ว่า ขณะนี้มีนามธรรมและรูปธรรมปรากฏอยู่
ท่านอาจารย์ เข้าใจใช่ไหม อย่าเปลี่ยนความเข้าใจนี้ ขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม แต่ไม่รู้ ใช่ไหม หรือรู้
ผู้ฟัง แต่สติไม่ยอมระลึก
ท่านอาจารย์ มาแบบเดิม แบบเดียวกันหมดเลย คือ สติไม่ยอมระลึก
ผู้ฟัง คือไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ หนทางเดียว คือ เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานจริงๆ คือ รู้อยู่แล้ว ว่าขณะนี้เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม อย่ากล่าวว่า สติไม่ยอมระลึก แต่หมายความว่ายังไม่เข้าใจว่า สติเกิดระลึกคืออย่างไร
ผู้ฟัง ผมสงสัยว่า ปกตินั่นมีแค่ไหน คำว่า มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์ กำลังเห็นนี่เป็นปกติหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ กำลังได้ยิน เป็นปกติหรือเปล่า กำลังพูดอย่างนี้ เป็นปกติหรือเปล่า ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่เกิด เกิดไม่ได้ จริงหรือเปล่า
หนทางที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ จะเป็นการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ตั้งแต่เบื้องต้นทีเดียว โดยการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน แต่ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานแล้ว ยังมีความเป็นเรา มีความเป็นตัวตนที่จะทำ เพราะฉะนั้นยากแสนยากที่จะละความเป็นตัวตนที่จะทำ แต่ตรงกันข้ามถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า สติ คือ สภาพที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ สภาพที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ สติก็มีโอกาสที่จะเกิดระลึกตามปกติได้
ผู้ฟัง เบื้องต้นต้องมีการนึก การน้อมนึก การพิจารณา การใคร่ครวญ เราต้องเข้าใจถึงคำเหล่านี้
ท่านอาจารย์ เข้าใจหรือยัง
ผู้ฟัง ก็มีระลึกอย่างเดียว ที่จะไประลึกอะไร ยังไม่มีความเข้าใจถึงสภาพ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เข้าใจลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมหรือยัง เห็นไหมว่า ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับวิธีอื่น ขณะนี้เข้าใจลักษณะของนามธรรมหรือยัง เข้าใจลักษณะของรูปธรรมหรือยัง
ผู้ฟัง อย่างสภาพแข็งปรากฏ สภาพแข็งมีปรากฏ เราก็คิดบ่อยๆ คิดที่แข็งบ่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ คิดว่าอย่างไร
ผู้ฟัง คิดว่าแข็งก็ปรากฏขณะนี้ เราก็คิดไปที่แข็ง คิดไปที่สภาพแข็งด้วย
ท่านอาจารย์ คิดไปที่แข็ง คิดอย่างไร
ผู้ฟัง แข็งก็ปรากฏขณะนั้น
ท่านอาจารย์ คิดว่าแข็งก็ปรากฏขณะนี้ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่นึกถึงแข็งเรื่อยๆ อย่างนี้ บางทีวันหนึ่งๆ แข็งก็ไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ แข็งปรากฏแล้ว เวลานี้ก็ปรากฏ จะบอกว่า แข็งไม่ปรากฏได้อย่างไร แต่สติไม่ได้ระลึกเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจ เห็นก็กำลังมี แต่สติไม่ได้ระลึก จึงไม่รู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม ได้ยินก็มี แต่เมื่อสติไม่ระลึก ก็ไม่รู้ และหนทางที่จะทำให้รู้มีกี่หนทาง
ผู้ฟัง มีทางเดียว
ท่านอาจารย์ มีทางเดียวคืออะไร
ผู้ฟัง ก็สติปัฏฐานที่ระลึก
ท่านอาจารย์ สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่หนทางอื่น ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ จะไม่ทำอย่างอื่นอีกเลย นอกจากระลึกแล้วก็รู้ ศึกษาลักษณะสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง อย่างขณะเสียงปรากฏ มีเสียงปรากฏแล้ว ระลึกที่เสียง เฉพาะเสียงแค่นั้น แล้วก็รู้ว่า สภาพที่รู้เสียง เป็นสภาพนามชนิดหนึ่ง เฉพาะเสียงเป็นรูปธรรม ไม่ได้มีการคิดอย่างนั้นเลย แต่รู้แค่ว่า มีเสียงปรากฏ รู้เฉพาะเสียงแค่นั้น แล้วหมด จบแค่นั้น
ท่านอาจารย์ อันนี้ด้วยการศึกษาทราบแล้วใช่ไหม ลักษณะของนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ขณะเห็นเป็นสภาพรู้ ซึ่งคนตายไม่เห็น เพราะฉะนั้นกำลังเห็นเป็นอาการรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ได้ยิน คนตายไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นสภาพรู้ คือ ในขณะที่กำลังได้ยินเป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง เข้าใจอย่างนี้แล้วหรือยัง ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว ในขณะที่ได้ยิน สติปัฏฐาน คือ ระลึกที่จะสังเกตพิจารณา ไม่ใช่คิดเป็นคำ แต่ว่ารู้ว่า อาการรู้ ขณะนี้กำลังมีสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เสียง แต่ว่าเสียงปรากฏ ลักษณะของเสียงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ลักษณะของสภาพรู้เสียงเป็นธาตุรู้ ซึ่งคนตายไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นอาการที่กำลังรู้เสียงนี้ เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าให้ไปท่อง แต่ว่าให้น้อมไปสังเกตพิจารณา นั่นคือ สติปัฏฐาน สีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา พร้อมกับสติที่ระลึกลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมจนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น
ผู้ฟัง การพูดว่า รูปไม่เที่ยง เสียงไม่เที่ยง กลิ่นไม่เที่ยง การพูดแบบนี้ ผมว่าก็เป็นประโยชน์ เป็นสัมมาวาจา
ท่านอาจารย์ และเป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า พูดอย่างนั้นเป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดได้ไหม
- โสภณธรรม ครั้งที่ 051
- โสภณธรรม ครั้งที่ 052
- โสภณธรรม ครั้งที่ 053
- โสภณธรรม ครั้งที่ 054
- โสภณธรรม ครั้งที่ 055
- โสภณธรรม ครั้งที่ 056
- โสภณธรรม ครั้งที่ 057
- โสภณธรรม ครั้งที่ 058
- โสภณธรรม ครั้งที่ 059
- โสภณธรรม ครั้งที่ 060
- โสภณธรรม ครั้งที่ 061
- โสภณธรรม ครั้งที่ 062
- โสภณธรรม ครั้งที่ 063
- โสภณธรรม ครั้งที่ 064
- โสภณธรรม ครั้งที่ 065
- โสภณธรรม ครั้งที่ 066
- โสภณธรรม ครั้งที่ 067
- โสภณธรรม ครั้งที่ 068
- โสภณธรรม ครั้งที่ 069
- โสภณธรรม ครั้งที่ 070
- โสภณธรรม ครั้งที่ 071
- โสภณธรรม ครั้งที่ 072
- โสภณธรรม ครั้งที่ 073
- โสภณธรรม ครั้งที่ 074
- โสภณธรรม ครั้งที่ 075
- โสภณธรรม ครั้งที่ 076
- โสภณธรรม ครั้งที่ 077
- โสภณธรรม ครั้งที่ 078
- โสภณธรรม ครั้งที่ 079
- โสภณธรรม ครั้งที่ 080
- โสภณธรรม ครั้งที่ 081
- โสภณธรรม ครั้งที่ 082
- โสภณธรรม ครั้งที่ 083
- โสภณธรรม ครั้งที่ 084
- โสภณธรรม ครั้งที่ 085
- โสภณธรรม ครั้งที่ 086
- โสภณธรรม ครั้งที่ 087
- โสภณธรรม ครั้งที่ 088
- โสภณธรรม ครั้งที่ 089
- โสภณธรรม ครั้งที่ 090
- โสภณธรรม ครั้งที่ 091
- โสภณธรรม ครั้งที่ 092
- โสภณธรรม ครั้งที่ 093
- โสภณธรรม ครั้งที่ 094
- โสภณธรรม ครั้งที่ 095
- โสภณธรรม ครั้งที่ 096
- โสภณธรรม ครั้งที่ 097
- โสภณธรรม ครั้งที่ 098
- โสภณธรรม ครั้งที่ 099
- โสภณธรรม ครั้งที่ 100