โสภณธรรม ครั้งที่ 126
ตอนที่ ๑๒๖
ไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้นปัญญา นอกจากความเห็นผิด หรือความไม่รู้หนทางข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นผู้รู้หนทางข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง แล้วก็ค่อยๆ อบรมเจริญไป สักวันหนึ่งก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ทันที จะต้องเริ่มจากความเป็นพระโสดาบันเสียก่อน ซึ่งยังเป็นผู้ที่ยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เพราะว่าไม่ใช่สิ่งที่จะละได้โดยง่าย คนที่อาจจะไม่พอใจในรูป หรือว่ามีความพอใจในเสียงน้อย มีความพอใจในกลิ่นน้อย แต่ว่ายังเป็นผู้มีความพอใจในรสมาก อันนั้นก็เป็นเรื่องของโลภะด้วย ไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และบางคนที่คิดว่าไม่พอใจในรูป แต่ยังชอบดูภาพสวยๆ จิตรกรรมสวยๆ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ยังเป็นผู้มีความยินดีในรูปอยู่ มีใครบ้างที่จะไม่ยินดีในรูป ยังดูหนัง ดูโทรทัศน์ ดูภาพเขียน หรือแม้แต่หนองประจักษ์ที่อยู่ข้างหน้า ก็เป็นภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ ในขณะนั้นก็ยังเป็นผู้ที่ยังยินดีในสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นก็จะต้องเข้าใจถึงความลึกของกิเลสว่า ที่พอใจในรูป ไม่จำกัดเลยว่ารูปชนิดไหน สิ่งที่ปรากฏทางตาทั้งหมดยังอยากเห็น เมื่อเห็นแล้วก็ยังอยากจะพอใจให้ได้เห็นอย่างที่ต้องการด้วย นี่เป็นเหตุที่มีจิตรกรรมต่างๆ ถ้าเพียงแต่เป็นฝาผนังเฉยๆ ก็ไม่ชอบ ต้องวาด ต้องเขียนให้เป็นมุมต่างๆ เป็นรูปต่างๆ เพราะเหตุว่าตาต้องการเห็นสิ่งที่มีความวิจิตร ลวดลายต่างๆ
นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งทุกคนมี มากหรือน้อยก็ต่างกัน ทำไมต้องมีปากกาหลายแบบ ก็คือยังพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเรียกว่าไม่ติดในสี ในรูปไม่ได้เลย
ไม่ใช่เผินๆ แล้วก็คิดว่าละแล้ว แต่เป็นการที่จะต้องรู้จริงๆ ว่า กิเลสเกิดเมื่อไร เกิดจากอะไร และจะดับได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้มีกิเลสแต่เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว
ผู้ฟัง ถ้าเรารู้ว่ามีกิเลสเกิดขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ
ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะดับโลภะ คือ อยากจะชอบต่อไป หรือว่าไม่อยากจะชอบอีกแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ตรง เวลาเห็นอะไรสวยๆ แล้วลองถามตัวเองว่า อยากจะชอบต่อไป หรือว่าไม่อยากจะชอบอีกแล้ว
พระพุทธศาสนาต้องตรง ต้องเป็นอุชุปฏิปันโน ถ้ายังไม่ตรง หมายความว่าเหตุกับผลยังเยื้องๆ กันอยู่ ยังหลบๆ ซ่อนๆ กันอยู่ ก็ไม่มีทางจะเป็นปัญญาที่แท้จริงได้
เพราะฉะนั้นถ้าเห็นเมื่อกี้นี้ผ่านดอกกุหลาบที่สวย สีแดงจ้า แล้วยังมีอีกหลายดอกที่สวน ก็สวยๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นลองถามตัวเองซิว่า อยากจะเห็นต่อไป หรือว่าจะไม่อยากจะติดใจในสิ่งที่สวยๆ งามๆ อีกแล้ว ต้องตรง
ผู้ฟัง ...
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นคนตรงจริงๆ วันนี้ชอบอะไรที่สวยๆ มากไหม แล้วก็ยังอยากจะมีอะไรๆ ที่สวยๆ ที่บ้าน ที่ในห้องนอน ในตู้เสื้อผ้าอีกต่อไปไหม หรือว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปไม่อยากมี
ผู้ฟัง ก็ยังอยาก
ท่านอาจารย์ ยังต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้นยังดับไม่ได้ ยังละไม่ได้ ขอเพียงว่า เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ ลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่าง คำพระท่านใช้คำว่า มีสามัญญลักษณะ หมายความว่าลักษณะที่สามัญ สาธารณะทั่วไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็คือสิ่งนั้นต้องดับ คือ ไม่เที่ยง
ลักษณะของสามัญญลักษณะของทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งชาวพุทธได้ยินกันบ่อยมาก อนิจจัง อะไรๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปก็บอกว่า อนิจจัง อะไรที่ไม่เกิดแล้วเกิดขึ้น ก็อนิจจัง อะไรที่มีแล้วไม่มีก็อนิจจัง ก็หมายความว่าสภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เมื่อมีแล้วก็หามีไม่ อย่างเสียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป กลิ่นเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป รสเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป
ถ้าพิจารณาวันหนึ่งให้แคบเข้าๆ ทุกที จนกระทั่งเหลือเพียงขณะจิตเดียว ทุกๆ ขณะนี่อนิจจัง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ สามัญญลักษณะที่เป็นทุกข์ ไม่ได้หมายความว่าความเจ็บปวด หรือว่าความไม่พอใจ ความทรมาน แต่หมายความถึงสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น เพียงชั่วขณะเล็กสั้นนิดหน่อยแล้วก็หมด ยังไม่ทันที่จะเพลิดเพลินสักเท่าไร สิ่งนั้นก็ดับหมดไปแล้ว นี่คือสิ่งนั้นเป็นทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย ขอให้เข้าใจอย่างนี้จริงๆ นี่เป็นขั้นเริ่มต้นก่อนที่จะหมดความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
ปัญญาต้องเจริญตามขั้น แม้แต่คำว่า “สัจจธรรม” ก็ขอให้แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า ของจริง สิ่งที่มีจริง อะไรก็ตามที่มีจริง สิ่งนั้นปัญญาควรรู้ เสียงมีจริง ปัญญาควรรู้ กลิ่นมีจริง ปัญญาควรรู้ จิตมีจริง ปัญญาควรรู้ ดีใจมีจริง ปัญญาควรรู้ โกรธมีจริง ปัญญาควรรู้ คือ สภาพใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า สัจจธรรม ถ้าประจักษ์แจ้งในการเกิดดับ ไม่เที่ยงของสภาพธรรมนั้น ผู้นั้นก็เป็นพระอริยบุคคล ก่อนที่จะไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
มีคำถามว่า การจะทำสมาธิวิปัสสนา ถ้ายังไม่ศึกษาหรือฟังธรรมได้เพียงพอ จะไม่เกิดผลหรือเกิดประโยชน์ในการทำสมาธินั้น ถ้าหากเรารู้บ้างจากคำบอกเล่าก็ดี จากการฟังธรรม หรืออ่านหนังสือก็ดี พอรู้บ้างว่า ทุกชีวิตเป็นทุกข์ การเกิด การตายเป็นทุกข์ แล้วเราต้องการให้ถึงการพ้นทุกข์ เราไม่ต้องการให้มีการกลับมาเกิดอีก แล้วทราบว่าการจะพ้นทุกข์ได้คือการทำบุญ รักษาศีล และทำสมาธิ ๒ ประการแรกก็ทำแล้ว ต้องการทำสมาธิด้วยเพื่อให้ครบ จะมีทางปฏิบัติอย่างไร ถ้าเราจะฝึกแต่เดี๋ยวนี้ในขณะที่ปัญญายังไม่เกิด เนื่องจากศึกษาธรรมยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าต้องศึกษาธรรมอีก เกรงว่าเวลาในช่วงของชีวิตนี้จะไม่เพียงพอ
ตอบ ขอทบทวนคำถามอีกสักนิดหนึ่งเพื่อที่จะให้พิจารณาที่ว่า แล้วทราบว่าการจะพ้นทุกข์ได้คือการทำบุญ รักษาศีล และทำสมาธิ
ไม่มีเรื่องของปัญญาเลยหรือ ถ้าปัญญาไม่เกิด ดับกิเลสไม่ได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ว่าขณะที่ประสูติ จะทรงพระนามว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ” แต่หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว มีพระนามที่ทุกคนกล่าวถึงคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น คำว่า “สัมมาสัมพุทธะ” พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สัมมา คือ ชอบ ถูก ไม่ผิด เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยถูกต้อง โดยปัญญา
ผู้ที่มีศีล ผู้ที่ทำบุญ ผู้ที่ทำสมาธิ แต่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเป็นอันมาก เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลส หรือการที่จะไม่เกิดอีก ที่จะพ้นทุกข์ต้องด้วยปัญญา
ไม่ทราบว่าเห็นด้วยหรือเปล่าที่กล่าวอย่างนี้ หรือคิดว่าสมาธิก็จะทำให้หมดกิเลสได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงในพระไตรปิฎกไม่มีข้อความที่กล่าวว่า สมาธิจะทำให้ดับกิเลส เพราะเหตุว่าสมาธิหมายความว่า การทำให้จิตตั้งมั่นที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ซึ่งเป็นอกุศล เป็นมิจฉาสมาธิก็ได้ หรือเป็นกุศล คือเป็นสัมมาสมาธิก็ได้
เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจเรื่องของธรรมจนกระทั่งดับกิเลสได้ เป็นเรื่องที่จะต้องฟังก่อนให้เข้าใจจริงๆ แล้วปัญญาจึงค่อยๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ที่ถามว่า ถ้าเราจะฝึกแต่เดี๋ยวนี้ในขณะที่ปัญญายังไม่เกิด เนื่องจากศึกษาธรรมยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าต้องศึกษาธรรมอีก เกรงว่าเวลาในช่วงของชีวิตจะไม่เพียงพอ
ตอบ ขณะที่กำลังฟัง ศึกษาธรรมหรือเปล่า การศึกษามี ๓ ระดับ สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยฟังมาก่อน นี่เป็นปัญญาขั้นหนึ่ง ไม่ว่าเราจะศึกษาวิชาใดๆ ก็ตาม มีการอ่านและมีการฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยเข้าใจ ยังไม่เคยฟัง เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาระดับนั้นหรือขั้นนั้น คือ ปัญญาซึ่งเกิดจากการฟังหรือการศึกษา นี่คือขั้นหนึ่ง
ปัญญาก็ขั้นหนึ่ง คือ จินตามยปัญญา เมื่อฟังแล้วก็ไม่ทิ้งไป เย็นนี้อาจจะมีใครคิดถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ได้ คิดว่ากำลังเห็นมีจริงๆ และเรารู้ความจริงหรือยังว่า ไม่ใช่เรา ได้ยินก็ไม่ใช่เรา คิดนึกก็ไม่ใช่เรา ทำไมถึงไม่ใช่เรา ก็อาจมีความสงสัย มีความต้องการจะเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น แล้วอ่านหนังสือบ้าง หรือฟังเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพธรรมขึ้นบ้าง นี่คือเมื่อฟังแล้วยังจะต้องพิจารณา ไตร่ตรอง เหมือนทุกคนที่เรียนแล้วมีการบ้าน ทุกวิชา ใช่ไหมตั้งแต่เด็กๆ ก็หอบการบ้านกลับไปทำการบ้าน รุ่งขึ้นก็เอามาส่ง แต่ว่าผู้ที่ฟังพระธรรม ก็อาจจะมีฉันทะที่จะตื่นขึ้นมาเมื่อไร แล้วก็เกิดระลึกถึงธรรมที่ได้ฟัง ก็พยายามทบทวนจนกระทั่งเข้าใจขึ้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้ปัญญาอีกขั้นหนึ่งเกิดขึ้น คือ ขั้นอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งยังไม่ควรจะรีบร้อน ขอเรียนให้ทราบว่า อย่าเพิ่งทำอะไร ที่บอกว่า “ปฏิบัติธรรม” ถ้ายังไม่เข้าใจจริงๆ ปฏิบัติไม่ถูก เสียเวลาเปล่าๆ แทนที่จะรีบร้อนปฏิบัติโดยไม่เข้าใจ ก็ฟังจนกระทั่งเข้าใจเสียก่อน แล้วไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการปฏิบัติ เพราะเหตุว่าแม้การปฏิบัติ คือ สติที่จะเกิดก็เป็นอนัตตาด้วย
ไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรให้เข้าใจว่า เป็นเรื่องการอบรมความรู้ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับขั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่มีขั้นต้น ขั้นฟัง หรือขั้นพิจารณา ก็จะไปถึงขั้นทำเลย เพราะฉะนั้นในขณะนี้เองกำลังศึกษา ที่เข้ามานั่งในห้องนี้คือกำลังศึกษาแล้ว
ขอเล่าให้ฟังถึงผู้ฟัง ๒ ท่านที่กรุงเทพ ท่านชวนกันและท่านนัดกันด้วยว่า เราไม่ศึกษานะ เราไม่เรียนนะ เรามาฟังเท่านั้น เพราะได้ยินได้ฟังมาว่า พระอภิธรรมหรือพระธรรมในขั้นสูง คือ ธรรมส่วนละเอียดเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะฉะนั้น ๒ สหายหญิงท่านนี้ก็ชักชวนกันว่า เราจะไม่เรียน แต่ว่าเมื่อฟังไปๆ ก็เข้าใจขึ้นว่าจิตมีลักษณะอย่างไร จิตมีกี่ประเภท และจิตแต่ละประเภทจะเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยปัจจัยอย่างไร มีเจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต เจตสิกชนิดไหนเกิดกับจิตเป็นประจำ ไม่ขาดเลย เจตสิกชนิดไหนเกิดกับจิตประเภทไหน จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ แม้ว่าเคยสัญญากันไว้ว่า เราจะไม่เรียน หรือว่าเราจะไม่ศึกษา
เพราะฉะนั้นในขณะนี้เอง ในช่วงชีวิตหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ ให้ทราบว่ากำลังศึกษาพระธรรมโดยการฟัง และโดยการพิจารณา ซึ่งถ้าฟังบ่อยๆ ก็จะทำให้เข้าใจขึ้น แล้วก็จะเป็นปัจจัยให้มีการปฏิบัติธรรมด้วย โดยที่ว่าเมื่อเข้าใจอย่างไร ก็ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ายังไม่เข้าใจเลย ก็ปฏิบัติโดยที่ไม่เข้าใจ
ก็มีสิทธิที่จะเลือกว่าจะทำอย่างไร อยากจะปฏิบัติเดี๋ยวนี้ โดยไม่เข้าใจเลย หรือว่าฟังจนกระทั่งเข้าใจแล้ว แล้วสติก็เกิดปฏิบัติกิจของสติตามที่เข้าใจถูก ซึ่งแต่ละคนก็เป็นไปตามการสะสม
อาจารย์จะเพิ่มเติมไหม
สมพร การปฏิบัติอย่างที่อาจารย์ว่า ถ้าไม่เข้าใจ การปฏิบัตินั้นก็มักจะผิดพลาด เหมือนการหลงทาง การหลงทางนั้นท่านทั้งหลายก็ทราบแล้วว่า จะมีผลอย่างไร เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องฟัง ต้องศึกษาให้เข้าใจ แล้วก็เริ่มลงมือปฏิบัติได้ ถ้าไม่เข้าใจ การปฏิบัตินั้นก็เหมือนคนหลงทาง
ท่านอาจารย์ มีคำถามของอีกท่านหนึ่ง มี ๗ ข้อ คือ
๑. วิญญาณคือธาตุบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า
๒. วิญญาณสามารถบังคับร่างเราได้หรือไม่
๓. การถอดจิต ถอดวิญญาณ ทำได้จริงหรือไม่
๔. มนุษย์ถูกกำหนดขึ้นมาพร้อมกับกิเลส ทำไมเราจึงต้องค้นหาทางตัดกิเลส
๕. ทำไมไม่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติที่กำหนดมา
๖. ตัวของเรา จิตของเรา เป็นไปได้ไหมที่จะมีความรู้สึกขัดแย้งกับวิญญาณของเรา เช่น ตัวเราเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่จิตวิญญาณเราต้องการอีกแบบหนึ่ง
๗. ทำไมเราจึงรู้สึกเบื่อชีวิตมากๆ เป็นบางครั้ง เบื่อชีวิตวัยรุ่น เบื่อความฟุ้งเฟ้อ และจะทำอย่างไรจึงจะดำรงชีวิตอย่างไม่กระวนกระวายได้
ตอบ เมื่อมาแล้วก็มีปัญหาสารพัด รวมทั้งปัญหา ๗ ข้อนี้ด้วย คือข้อที่ ๑ ที่ว่า วิญญาณคือธาตุบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า
ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ไม่ต้องดับกิเลส
เพราะฉะนั้นคงจะสงสัยที่ถามเรื่องวิญญาณแล้วก็ตอบเรื่องจิต แต่ตอนเช้าได้เรียนให้ทราบแล้วว่า จิตกับวิญญาณ คือ สภาพธรรมอย่างเดียวกัน เพียงแต่ชื่อต่างกัน เช่น สตรีกับนารี หรือผู้หญิง ก็คือสภาพธรรมนั่นแหละ แต่มีชื่อเรียกหลายชื่อ แล้วแต่จะเรียกชื่อจิตก็ได้ วิญญาณก็ได้ มนัสก็ได้ มโนก็ได้ อีกหลายคำทีเดียว
เพราะฉะนั้นที่ว่า วิญญาณคือธาตุบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า
ธรรมทำให้เราเป็นคนที่คิด แล้วก็เกิดสติปัญญาของเราเอง ก็น่าที่จะคิดพิจารณาว่า ถ้าบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ต้องดับกิเลส แต่เพราะไม่บริสุทธิ์ จึงต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลส
เวลาที่นอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายใจอำมหิต หรือพระอรหันต์ มีอะไรที่เป็นความต่างกันในขณะที่กำลังนอนหลับ แต่เวลาตื่นขึ้นสามารถจะรู้ความต่างของผู้ร้ายใจอำมหิตกับพระอรหันต์ได้ หรือแม้แต่คนธรรมดา หรือพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องต่างกับพระอรหันต์ คือ คนที่ไม่หวั่นไหวไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ไม่รัก ไม่ชัง ไม่เดือดร้อน ไม่เป็นทุกข์ ไม่โทมนัส นั่นคือจิตที่ดับกิเลสแล้ว ซึ่งเป็นพระอรหันต์ แต่สำหรับชีวิตจริงๆ ของเรา เราก็ต้องรับตามความเป็นจริงว่า เวลาที่เห็นแล้วอยากได้อะไรบ้างไหม เป็นทุกข์เพราะความอยากได้บ้างไหม หรือว่าเวลาเห็นอะไรแล้วไม่ชอบ เป็นทุกข์เพราะความไม่ชอบนั้นบ้างไหมในชีวิตประจำวัน นั่นคือจิตที่ไม่บริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่ว่า วิญญาณคือธาตุบริสุทธิ์ นอกเสียจากว่าในขณะที่นอนหลับ ยังไม่เห็น ก็ยังไม่อยากได้ ยังไม่ได้ยิน ก็ยังไม่โกรธ ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้ลิ้มรส ยังไม่ได้กระทบสัมผัส ยังไม่ได้คิดนึก ก็ยังไม่มีความดิ้นรนปรารถนา เดือดร้อนด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ แต่ว่าเมื่อกิเลสยังมี จึงทำให้ทันทีที่ตื่น ลักษณะอาการของความไม่บริสุทธิ์ของจิตก็เกิดขึ้นปรากฏให้เห็นเป็นความกระวนกระวายต่างๆ
๒. วิญญาณสามารถบังคับร่างเราได้หรือไม่
ตอบ คงเคยได้ยินบ่อยๆ ที่ว่า รูปนาม หรือนามรูปก็ได้ นาม หมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ซึ่งไม่ใช่รูป เพราะฉะนั้นที่เป็นคนหรือเป็นเรา ที่ยึดถือว่าเป็นเราที่กำลังนั่งอยู่ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเป็นรูปที่ไม่รู้อะไรเลย ลักษณะที่แข็ง ลักษณะที่อ่อน ลักษณะที่ร้อน ลักษณะที่เย็น ไม่ว่าจะจับส่วนที่เราเคยยึดถือว่าเป็นผม กระทบสัมผัสแล้วก็แข็ง กระทบสัมผัสส่วนที่เป็นนิ้ว ก็อ่อน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเลยตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า นอกจากสภาพที่เย็นร้อนอ่อนแข็ง ตึงไหว เป็นลักษณะของมหาภูตรูป
แต่ว่าคนตายกับคนเป็นก็ต่างกัน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีรูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าที่เย็นร้อนอ่อนแข็ง พอสิ้นชีวิตก็มีรูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าที่เย็นร้อนอ่อนแข็ง แต่ว่าไม่มีนามธรรม คือ ไม่มีจิตอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นคนตายก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงเรื่องนามธรรมและรูปธรรม ก็ต้องแยกว่า สิ่งที่รวมกันแล้วก็ยึดถือว่าเป็นเรา มีทั้งที่เป็นนามธรรม ที่เป็นสภาพรู้ และที่เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ แต่ว่าวิญญาณคือสภาพรู้นี่ก็ต้องอาศัยรูป ถ้าไม่มีรูปก็เกิดไม่ได้ เช่น จิตได้ยิน ถ้าไม่มีเสียง หรือไม่มีโสตปสาท คือไม่มีหู จิตจะได้ยินเสียงไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ที่ได้ยินกันบ่อยๆ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปธรรมต้องอาศัยนามธรรม และนามธรรมก็ต้องอาศัยรูปธรรมด้วย เพราะฉะนั้นต่างก็เป็นสภาพธรรมที่อาศัยกันและกัน แต่ที่จะกล่าวว่า วิญญาณสามารถบังคับร่างเราได้หรือไม่ ไม่ควรใช้คำว่า “บังคับ” เพราะเหตุว่าไม่มีตัวตน แต่ว่าเป็นปัจจัยได้ เช่น เวลาโกรธ หน้าแดง บังคับให้แดงหรือเปล่า หรือว่าถ้าตกใจมากจนหน้าซีด บังคับให้หน้าซีดหรือเปล่า แต่ว่านามธรรมเป็นปัจจัยให้รูปธรรมประเภทนั้นๆ เกิด โดยที่ว่าไม่ใช่ตัวตนที่จะไปบังคับบัญชาได้ หรือเวลาที่เสียใจมากจนน้ำตาไหล ก็ไม่อยากจะร้องไห้ แต่ลักษณะความโทมนัสมากนั่นเองเป็นปัจจัยให้รูป คือ น้ำตาไหลเกิดขึ้น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า นามธรรมและรูปธรรมอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ว่าไม่ใช่บังคับให้เป็นอย่างที่ต้องการได้ หรือท่านผู้ฟังไม่เห็นด้วย คิดว่าจะบังคับไม่ได้ บังคับรูปไม่ให้แก่ไม่ได้ บังคับรูปไม่ให้เจ็บไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีปัจจัยทำให้รูปเจ็บเกิดขึ้น รูปแก่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่จะไปบังคับโดยวิญญาณ ความต้องการ หรือจิตประเภทหนึ่งประเภทใดไปบังคับได้
๓. การถอดจิต ถอดวิญญาณ ทำได้จริงหรือไม่
สมพร การถอดจิต ถอดวิญญาณ ตามลัทธิภายนอกเขาว่าทำได้ แต่ความจริงของเราทำไม่ได้ รูปกับนามต้องเกิดด้วยกันเสมอ เรียกว่า ปัญจโวการภูมิ ภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ นั่นเป็นเรื่องลัทธิภายนอก เขาบอกว่าเมื่อทำสมาธิมากแล้ว สามารถถอดจิตไปดูนรกก็ได้ ไปขึ้นสวรรค์ก็ได้ นั่นเป็นเรื่องลัทธิของเขา ของเราไม่ใช่อย่างนั้น
ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่รู้จักจิต แล้วจะถอดจิตยังกะถอดรูป ก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะต้องเข้าใจว่า มีจิตหลายประเภท และจิตบางประเภทมีพลัง เช่น ผู้ที่มีความสงบของจิตมั่นคงเป็นฌานจิตถึงขั้นปัญจมฌาน แล้วยังต้องฝึกจิตที่จะทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องทียากแสนยาก ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของอุตริมนุสสธรรม
- โสภณธรรม ครั้งที่ 101
- โสภณธรรม ครั้งที่ 102
- โสภณธรรม ครั้งที่ 103
- โสภณธรรม ครั้งที่ 104
- โสภณธรรม ครั้งที่ 105
- โสภณธรรม ครั้งที่ 106
- โสภณธรรม ครั้งที่ 107
- โสภณธรรม ครั้งที่ 108
- โสภณธรรม ครั้งที่ 109
- โสภณธรรม ครั้งที่ 110
- โสภณธรรม ครั้งที่ 111
- โสภณธรรม ครั้งที่ 112
- โสภณธรรม ครั้งที่ 113
- โสภณธรรม ครั้งที่ 114
- โสภณธรรม ครั้งที่ 115
- โสภณธรรม ครั้งที่ 116
- โสภณธรรม ครั้งที่ 117
- โสภณธรรม ครั้งที่ 118
- โสภณธรรม ครั้งที่ 119
- โสภณธรรม ครั้งที่ 120
- โสภณธรรม ครั้งที่ 121
- โสภณธรรม ครั้งที่ 122
- โสภณธรรม ครั้งที่ 123
- โสภณธรรม ครั้งที่ 124
- โสภณธรรม ครั้งที่ 125
- โสภณธรรม ครั้งที่ 126
- โสภณธรรม ครั้งที่ 127
- โสภณธรรม ครั้งที่ 128
- โสภณธรรม ครั้งที่ 129
- โสภณธรรม ครั้งที่ 130
- โสภณธรรม ครั้งที่ 131
- โสภณธรรม ครั้งที่ 132
- โสภณธรรม ครั้งที่ 133
- โสภณธรรม ครั้งที่ 134
- โสภณธรรม ครั้งที่ 135
- โสภณธรรม ครั้งที่ 136
- โสภณธรรม ครั้งที่ 137
- โสภณธรรม ครั้งที่ 138
- โสภณธรรม ครั้งที่ 139
- โสภณธรรม ครั้งที่ 140
- โสภณธรรม ครั้งที่ 141
- โสภณธรรม ครั้งที่ 142
- โสภณธรรม ครั้งที่ 143
- โสภณธรรม ครั้งที่ 144
- โสภณธรรม ครั้งที่ 145
- โสภณธรรม ครั้งที่ 146
- โสภณธรรม ครั้งที่ 147
- โสภณธรรม ครั้งที่ 148
- โสภณธรรม ครั้งที่ 149
- โสภณธรรม ครั้งที่ 150
- โสภณธรรม ครั้งที่ 151
- โสภณธรรม ครั้งที่ 152
- โสภณธรรม ครั้งที่ 153
- โสภณธรรม ครั้งที่ 154
- โสภณธรรม ครั้งที่ 155
- โสภณธรรม ครั้งที่ 156
- โสภณธรรม ครั้งที่ 157
- โสภณธรรม ครั้งที่ 158
- โสภณธรรม ครั้งที่ 159
- โสภณธรรม ครั้งที่ 160