โสภณธรรม ครั้งที่ 132
ตอนที่ ๑๓๒
เพราะฉะนั้นในแต่ละวันจะไม่พ้นจากสภาพธรรมเลยสักขณะเดียว ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ถ้าศึกษาแล้วก็จะรู้แล้วว่า เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสัจจธรรม เป็นของจริง เป็นสิ่งซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นจึงอยู่ในความหมายของ“อนัตตา” เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญที่ไม่เหมือนกับศาสนาอื่น คือ อนัตตา
สภาพธรรมทั้งหลาย เมื่อใช้คำว่า “ธรรม” แล้ว ก็ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงลักษณะแต่ละอย่างๆ ที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าศึกษาธรรมโดยละเอียดทุกคำ จะสอดคล้องกันหมดทั้ง ๓ ปิฎก ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพระวินัยปิฎก หรือพระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎกก็ตาม และคำใดที่มีความหมายอย่างใด คำนั้นไม่เปลี่ยน อย่างโลภะเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าคนนี้หรือคนไหน ภพนี้ภูมินี้ เป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ลักษณะของโลภะเมื่อเกิดขึ้น ก็จะมีลักษณะ มีกิจการงาน มีอาการปรากฏ มีเหตุใกล้ให้เกิดเช่นเดียวกันหมด ลักษณะของโทสะ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นคนที่มีความขุ่นเคืองใจ แม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน หรือจะเกิดในภพภูมิใด สภาพของโทสะเกิด ก็มีลักษณะหยาบกระด้าง ลองสังเกตจิตใจเวลาโกรธ ผิดปกติ รู้สึกกระด้างและหยาบผิดจากธรรมดา ขณะนั้นก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง
เพราะฉะนั้นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดง ก็เป็นการตรัสรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ตามลักษณะนั้นๆ โดยถูกต้อง ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อน และทรงแสดงลักษณะของธรรมนั้น เป็นคำสอน ที่เราใช้คำว่า ทรงแสดงพระธรรม หรือทรงแสดงธรรม เพราะว่าทรงแสดงเรื่องของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย
เพราะฉะนั้นธรรมกับชีวิตประจำวันนั้นไม่แยกกันเลย ไม่ทราบยังมีข้อสงสัยไหมในเรื่องนี้
ใครที่จะแยกธรรมออกจากชีวิตประจำวัน ก็เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจว่า ชีวิตประจำวันเป็นธรรม แล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า คือ เมื่อศึกษาหรือฟังพระธรรมแล้ว ทุกคนมีสิทธิ มีอิสรเสรีที่จะคิด แล้วที่จะพิจารณาเพิ่มเติมให้เข้าใจยิ่งขึ้น และสิ่งใดที่ถูกต้องถูก สิ่งใดที่ผิดก็ต้องผิด เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง
เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมทั้งนั้น และเป็นอนัตตาทั้งนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ก็ขอเรียนสอบถามความเข้าใจว่า เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เมื่อกี้เพิ่งฟังความหมายของธรรมไป ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม และธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา จะไม่เว้นอะไรเลย
เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เสียงก็ต้องเป็นธรรม เสียงมนุษย์ก็ต้องเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ขอซักนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เสียงมนุษย์ ยังจะเป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ นี่เป็นความถูกต้องอย่างยิ่งของการเริ่มเป็นผู้มีเหตุมีผลได้ตามที่ได้ฟัง ถ้ากล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม จะเว้นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น ถ้าไปดูในพระไตรปิฎก ข้อความนี้จะตรงตลอดทั้ง ๓ ปิฎก คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นก็เป็นธรรมเหมือนกัน เพราะว่าคนเราต้องมีการสื่อความหมาย สื่อความหมายในทางธรรมก็มี ๖ ทาง ที่เราเรียกว่า อายตนะ การเห็น ก็คือตากระทบรูป แล้วทำให้เราเกิดความรู้สึก ที่เรียกว่า เวทนา
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นธรรม ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นขอย้อนถามว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อเห็นเป็นธรรม เห็นในขณะนี้เป็นอนัตตาด้วยหรือเปล่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำนี้จะไม่เปลี่ยน ข้อความในพระไตรปิฎกจะไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมาเลย ถ้ากล่าวว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อเห็นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอนัตตาด้วยหรือเปล่า
ผู้ฟัง การเห็นก็เป็นอนัตตาด้วย เพราะว่าไม่แน่นอน บางครั้งเรามองก็เป็นอย่างหนึ่ง บางครั้งก็เป็นสภาพอีกอย่างหนึ่ง
สุ. อันนี้ถูกต้อง คือ การศึกษาจะดำเนินไปเป็นขั้นๆ ที่ว่าแม้ในขณะที่เห็นนี้ก็ต้องเป็นอนัตตาด้วย เพราะว่าเป็นธรรม ได้ยิน คิดนึก แม้ความคิดนึกของแต่ละคนก็เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าเป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจไปเป็นขั้นตอนว่า เห็นก็เป็นธรรม เป็นอนัตตา ได้ยินก็เป็นธรรม เป็นอนัตตา ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นอนัตตาหรือยังคะ
ผู้ฟัง เป็นอนัตตาแล้ว
ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาขั้นฟังใช่ไหม ทีนี้ความต่างกันก็คือว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนตามลำดับขั้น คือขั้นฟังให้เข้าใจสิ่งที่ยังไม่เคยฟังมาก่อน แล้วก็พิจารณาพิสูจน์ว่า สิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงแค่ไหน แม้แต่ความคิดที่ว่าเป็นอนัตตา แม้ฟังเพียงแค่นี้ การบ้านก็คือว่า ท่านที่สนใจก็ไปไตร่ตรองดูว่า ความคิดเป็นอนัตตาอย่างไร ที่เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าบังคับความคิดไม่ได้เลย แลกความคิดกันไม่ได้เลย แต่ละคนก็คิดในสิ่งที่ตนเห็น ตนได้ยินเรื่องราวที่เคยทราบ และจะมาแลกความคิดกันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้ความคิดก็เป็นอนัตตา ทุกคนอยากจะคิดดีๆ หรือเปล่า อยากจะมีเมตตามากๆ อยากจะเป็นผู้มีความดี แม้ความคิดก็อยากจะคิดดี แต่บางครั้งเวลาคิดถึงคนอื่น คิดดูถูกบ้างไหม คิดเหยียดหยาม คิดดูหมิ่น คิดรังเกียจ คิดแบ่งชั้นวรรณะ หรือว่าคิดโกรธเคืองเขาบ้างหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก่อนที่จะศึกษาธรรม ก็เป็นความฟุ้งซ่าน พอมาศึกษาธรรม ทำให้จิตใจของเราถูกขัดเกลา แล้วก็รู้อะไรๆ หลายอย่างที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้ ก็ทำให้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิดขึ้นมานิดหน่อย
ท่านอาจารย์ เวลาที่กำลังขัดเกลา เป็นเรา หรือเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง เป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ นี่ต้องยืนพื้นตลอด แม้แต่ความคิดที่เกิดจากการฟังและพิจารณาเห็นโทษของอกุศล ขณะนั้นก็เป็นปัญญาที่ขัดเกลา ไม่ใช่เรา เพราะถ้าไม่ฟังพระธรรมแล้วพยายามจะขัดเกลาสักเท่าไรก็ไม่ได้ หรือถึงแม้ว่าฟังแล้ว แต่ว่ายังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ไม่เกิดความคิดที่จะขัดเกลา
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญามีหลายระดับขั้นจริงๆ บางคนเรียนแล้วก็เกิดความสำคัญตนว่าเก่งกว่าคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นอกุศลที่สลับกับกุศล นี่ก็แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย
อันนี้ก็คงจะไม่มีข้อสงสัยเลย ในเรื่องของคำว่า “ธรรม” และ “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” แต่ว่าเวลาเห็นทีไร ยังเป็นเราเห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่เราเห็น
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ ใครเห็น
ผู้ฟัง จิตเห็น
ท่านอาจารย์ จิตมีสภาพอย่างไร
ผู้ฟัง จิตเป็นสภาพที่เรารู้ว่าเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ความรู้สึกตัว หรือสติ
ท่านอาจารย์ ความจริงในขณะนี้ จิตเกิดแล้วดับเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของจิต ไม่ประจักษ์การเกิดดับของจิต ยังละคลายการยึดถือจิตว่าเป็นเรายังไม่ได้เลย แต่เริ่มมีความรู้ขั้นการฟัง คือ ความรู้ต้องอาศัยกันตามลำดับขั้น เมื่อฟังแล้วก็ยังต้องรู้อีกว่า ยังไม่ประจักษ์แจ้งว่า นามธรรมหรือจิตมีลักษณะอย่างไร แยกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างไร เพราะฉะนั้นต้องฟังไปอีกจนกว่าสติอีกขั้นหนึ่งจะเกิด ระลึกรู้ว่า ฟังอย่างนี้ว่าจิตเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นกำลังเห็นที่ว่าเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าจิตเป็นเพียงลักษณะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ถ้าสติเกิดระลึกได้ในขณะที่กำลังเห็น ยังจะต้องศึกษาพิจารณาจนกว่าความรู้นั้นจะชัด และประจักษ์ลักษณะของจิตจริงๆ ซึ่งเป็นอีกขั้นหนึ่ง
ผู้ฟัง ทั้งนี้ขอความกรุณาเพิ่มเติมว่า ลักษณะของจิตที่เป็นอนัตตานั้นเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ สำหรับในวันนี้ก็คงจะพูดกันถึงเรื่องของจิต แท้ที่จริงแล้วขณะที่ทุกคนนั่งในที่นี้มีจิตจริงๆ กำลังเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ต้องอาศัยการฟังเรื่องของจิตเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ที่ว่าเป็นจิตเกิดดับคืออย่างไร มีจิตกำลังเกิดดับ แต่ขั้นต้นต้องฟังเรื่องจิตที่เกิดดับให้เข้าใจเสียก่อน แล้วถึงจะค่อยๆ รู้ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าที่ยึดถือว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย มีสภาพธรรมที่เป็นของจริง ๒ อย่าง คือ สภาพรู้อย่างหนึ่ง และสิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้อีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นในภาษาบาลี จะมี ๒ คำ คือคำว่า “นามธรรม” และ “รูปธรรม” ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ บนสวรรค์ ในนรกที่ไหนก็ตาม ลักษณะของสภาพธรรมแยกออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ๒ ประการ คือ นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นลักษณะรู้ เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้ จะใช้คำว่าอะไรก็ได้ แต่เพิ่งเริ่มจะคิดถึงลักษณะรู้โดยความเข้าใจ แต่ว่ายังไม่ประจักษ์ แต่ก็มีจริงๆ ลักษณะรู้นี่มี
ส่วนสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สภาพรู้ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าถ้ากระทบสัมผัสดู ส่วนที่เคยเป็นผม เป็นหู เป็นแขน เป็นขา เป็นฟัน เป็นเนื้อ เป็นหนัง อะไรก็ตามแต่ มีลักษณะที่แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เพราะฉะนั้นลักษณะนั้นเป็นรูปธรรม
ก่อนอื่นทีเดียวจะขาดการเข้าใจ การพิจารณาลักษณะของสภาพธรรม ๒ อย่างนี่ไม่ได้เลย คือ นามธรรมเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง รูปธรรมเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการบ้านก็ต้องมาอีกแล้วว่า อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
ขอถามอีกนิดหนึ่งว่า เสียงเป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม
ผู้ฟัง เสียงเป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ อันนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่า ก่อนจะฟังพระธรรม เราคิดว่ารูปหมายความถึงสิ่งที่เรามองเห็นด้วยตา แต่ถ้าฟังพระธรรมแล้วความหมายเปลี่ยนไม่ได้ คือว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่อาการรู้ ไม่ใช่ลักษณะรู้ ต้องเป็นรูป แม้ว่ามองไม่เห็น เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังได้ยินเสียง จะต้องมีสภาพธรรม ๒ อย่าง คือ เสียงกำลังปรากฏเป็นเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงเบา เสียงทุ้ม เสียงแหลม นั่นเป็นลักษณะต่างๆ ของเสียง เหมือนสีก็ไม่ได้มีสีเดียว มีสีเขียว มีสีขาว มีสีฟ้า ฉันใด เสียงก็มีลักษณะต่างกันไป แล้วแต่ว่าจะเป็นเสียงสูงต่ำ เสียงทุ้ม เสียงห้าว เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏต้องมีสภาพที่กำลังรู้เสียง
นี่เพียงแต่พูดถึงชีวิตประจำวันของเราแท้ๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เราก็จะต้องเข้าใจว่าเป็นอนัตตา แต่ต้องเริ่มจากการเข้าใจลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมก่อนว่า เสียงจะปรากฏต่อสภาพที่รู้เสียง ที่เราใช้คำว่า “ได้ยิน” ขณะนี้ถ้ามีคนถามว่า ได้ยินไหม จะตอบว่าได้ยินไหม
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ต้องตอบว่าได้ยิน เพราะฉะนั้นอาการได้ยิน เป็นลักษณะรู้เสียง ไม่ใช่รู้อย่างอื่น ไม่ใช่คิดเป็นคำๆ ไม่ใช่เห็นเขียว เห็นแดง เห็นฟ้า เห็นม่วง แต่เวลาที่เสียงปรากฏ มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ได้ยินเสียงซึ่งเป็นอาการรู้เสียงนั่นเอง
นั่นคือจิตชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าต้องอาศัยโสตปสาทกับเสียง จิตชนิดนี้จึงเกิดขึ้นรู้เฉพาะเสียง โดยที่ไม่เห็น ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึก แต่ว่าไม่ว่าจะภพนี้ชาตินี้ ชาติก่อน ชาติหน้าแสนโกฏิกัปป์ หรือกี่พันปีก็ตาม เมื่อธาตุชนิดนี้เกิดขึ้น จะเป็นสภาพที่รู้เสียงอย่างเดียว เช่นในขณะนี้เป็นต้น ลักษณะสภาพนี้มี
เพราะฉะนั้นเสียงแม้ว่ามองไม่เห็น แต่ไม่ใช่สภาพรู้ เสียงจึงเป็นรูปธรรม และได้ยินเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เป็นจิตชนิดหนึ่ง เป็นนามธรรม
นี่ต้องแยกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในชีวิตประจำวัน
เสียงปรากฏ มีลักษณะสูงต่ำ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่นามธรรม เพราะเหตุว่านามธรรมไม่ใช่รูปสักนิดเดียว กระทบสัมผัสไม่ได้ มองเห็นไม่ได้ ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ลักษณะของนามธรรมเป็นแต่เพียงอาการรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างลักษณะใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะกำลังเห็น อาการเห็นมี เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ตัวเราตั้งแต่เกิดจนตาย เราไม่เคยสามารถที่จะรู้ความจริงเลย ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างอย่างไร เป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม แม้แต่การที่จะเริ่มฟัง เราก็จะต้องยึดในเหตุผล และสิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ ไม่ใช่รูปใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนรูปไม่ใช่สภาพที่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่มีลักษณะอาการต่างๆ คือรูปชนิดหนึ่งปรากฏทางตาเป็นสีสันต่างๆ รูปชนิดหนึ่งปรากฏทางหูเป็นเสียงต่างๆ รูปชนิดหนึ่งปรากฏทางจมูกเป็นกลิ่นต่างๆ รูปชนิดหนึ่งปรากฏทางลิ้นเป็นรสต่างๆ รูปชนิดหนึ่งปรากฏทางกายเป็นเย็นร้อน หรืออ่อนแข็ง หรือตึงไหว นี่คือชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย จะพ้นจาก ๖ ทางนี้ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเสียงเป็นอะไรคะ เสียงเป็นรูป และที่กำลังได้ยินเสียง มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อไร
ผู้ฟัง เมื่อเสียงกระทบกับโสตปสาทใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เวลาที่เรากำลังพูดถึงสภาพธรรม เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องยาวๆ อย่างนั้น เราอาจจะบอกว่า ขณะที่เสียงปรากฏ เสียงปรากฏกับจิตที่ได้ยิน ถ้าจิตได้ยินไม่มี เสียงปรากฏได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนามธรรมกับรูปธรรมเกิดแล้วปรากฏแต่ละทาง เป็นคู่ๆ ก็ได้ อย่างทางตา เห็นเป็นนามธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม ทางหู ได้ยินเป็นนามธรรม คือเป็นจิต เสียงเป็นรูปธรรม ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่น ลักษณะอาการที่กำลังรู้กลิ่นนั้นเป็นนามธรรม กลิ่นเป็นรูปธรรม ทางลิ้นในขณะที่กำลังลิ้มรส รสปรากฏ รสเป็นรูปธรรม กำลังรู้รสนั้นเป็นนามธรรม
ผู้ฟัง อย่างเกลือนี่เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ เกลือเป็นอะไร
ผู้ฟัง เกลือเป็นรูปธรรม แต่รสของเกลือ
ท่านอาจารย์ รสเกลือเป็นอย่างไรคะ
ผู้ฟัง รสเกลือ เค็ม
ท่านอาจารย์ เค็มเป็นอะไร
ผู้ฟัง เค็มเป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ เค็มเป็นนามธรรมไม่ได้ เค็มเป็นรูปเค็ม นามกำลังลิ้มลักษณะที่เค็ม กำลังรู้ว่าเค็ม จะรู้ได้อย่างไรว่าเค็ม ก็อาศัยลิ้น หมายความว่าชิวหาปสาทต้องกระทบ ถ้ากระทบที่ปากไม่เค็ม ต้องกระทบลิ้นหรือกลางลิ้นถึงจะเค็ม
ผู้ฟัง แล้วตรงไหนที่เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ กำลังรู้ว่าเค็ม กำลังรู้ลักษณะที่เค็ม ขอประทานโทษ เกลืออยู่ที่นี่ เค็มหรือยัง
ผู้ฟัง ไม่เค็ม
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าไม่มีจิตที่ลิ้มรสเค็ม จึงไม่เค็ม ทั้งๆ ที่เกลืออยู่ที่นี่ แต่ไม่มีจิตที่ลิ้มความเค็มนั้น ใช่ไหม เกลือมาอยู่ในมือเค็มไหม ไม่เค็ม เพราะเหตุว่าไม่มีจิตที่ลิ้มรสที่เค็ม
เพราะฉะนั้นลักษณะที่เค็มเป็นรูปมีอยู่ที่เกลือ เราใช้คำว่าเกลือ แต่ความจริงเป็นรสเค็ม เหมือนอย่างเราใช้คำว่า “เปรี้ยว” เราจะเรียกว่าส้ม เราจะเรียกว่าองุ่น หรือเราจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ แต่รสเปรี้ยว ลักษณะเปรี้ยว สภาพที่เปรี้ยวมีจริงๆ แต่ยังไม่ปรากฏจนกว่าจะกระทบลิ้น มีจิตที่ลิ้ม คือ รู้รสเปรี้ยวนั้นๆ ลักษณะอาการที่รู้ในความเปรี้ยวนั้นเป็นนามธรรม
ถาม ผมมีความคิดว่า อะไรที่สัมผัสได้ถือว่าเป็นรูปธรรม แต่ถ้าระลึกได้ว่า มันต้องเค็มแน่ เป็นสีนั้นแน่ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏในความรู้สึก เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ คือเรื่องนามธรรมและเรื่องรูปธรรมดูเป็นเรื่องที่ลึกลับจริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าเราจะพูดโดยชื่อ ให้ตอบ ไม่ยากเลย เรียงเป็นคู่ๆ ตอบได้ แต่ถ้าจะให้เข้าใจถึงลักษณะอาการของสภาพที่มีจริงๆ เราก็จะต้องฟังแล้วพิจารณา เช่น ลักษณะอาการรู้ สภาพรู้ เราเคยแต่คิดว่า เรารู้เวลาเราอ่านหนังสือ เราเข้าใจเวลาเราได้ยิน แต่ว่าก่อนที่จะเข้าใจเรื่องก็ดี หรือว่าก่อนที่จะอ่านหนังสือแล้วคิดตาม รู้เรื่องตามก็ดี เพียงแค่เห็น เอาเพียงแค่เห็นเท่านั้นเอง ก็จะต้องมีสภาพที่รู้สิ่งซึ่งปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาจึงปรากฏได้ ในขณะนี้ตาไม่อยู่ข้างหลัง แต่ถ้าหันหลังไปจะมีสิ่งที่ปรากฏทางตา โดยที่ตาไม่เห็นอะไร ตาเห็นไม่ได้เลย แต่มีจิตที่อาศัยตาเกิดขึ้นเห็น จึงเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ ไม่มีรูปร่างลักษณะ และมองไม่เห็นจิตเลย เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นธาตุซึ่งต้องรู้ ทุกครั้งที่เกิดขึ้น ธาตุนี้เป็นลักษณะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ขณะที่กำลังนอนหลับที่ยังไม่สิ้นชีวิต ก็มีจิตซึ่งเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ แต่ว่าไม่รู้โลกนี้เท่านั้นเอง เพราะเหตุว่าหลับ ต่อเมื่อใดตื่นขึ้น ก็เริ่มเห็นโลกนี้อีก ได้ยินโลกนี้อีก คิดถึงโลกนี้อีกจนกว่าจะหลับ
เพราะฉะนั้นจิตจึงมีหลายๆ ประเภท แต่ว่าต้องเป็นสภาพรู้ ลักษณะรู้ อาการรู้ ซึ่งแยกละเอียดมาก และก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะเหตุว่าทุกคนหลับแล้วก็ตื่น แต่ว่าสภาพขณะที่หลับ ไม่ใช่ปราศจากจิต แต่ว่าเป็นจิตต่างประเภทกับขณะที่ตื่น แต่ให้ทราบว่า ที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตนทุกภพทุกชาติ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจ และไม่รู้ลักษณะของของนามธรรมและรูปธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และได้เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร อนัตตาคืออย่างไร และธรรมเป็นชีวิตประจำวันอย่างไร
เพราะฉะนั้นที่ทุกคนเกิดมา มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ทุกคนมีปัญหา เด็กเล็กๆ ก็มีปัญหา ยิ่งเติบโตเจริญขึ้นมีหน้าที่การงานต่างๆ ก็มีปัญหา แต่ถ้าไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน จะดับปัญหานั้นไม่ได้เลย ก็เพียรไปหาทางอื่น คิดว่าปัญหาอยู่ที่อื่น แต่ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วปัญหาอยู่ที่จิตทุกขณะที่ไม่รู้ความจริงของจิตนั้นๆ ไม่รู้จักจิตคือไม่รู้จักโลก แต่ในพระพุทธศาสนาพระองค์เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก และโลกก็มีหลายลักษณะ หลายประเภท
- โสภณธรรม ครั้งที่ 101
- โสภณธรรม ครั้งที่ 102
- โสภณธรรม ครั้งที่ 103
- โสภณธรรม ครั้งที่ 104
- โสภณธรรม ครั้งที่ 105
- โสภณธรรม ครั้งที่ 106
- โสภณธรรม ครั้งที่ 107
- โสภณธรรม ครั้งที่ 108
- โสภณธรรม ครั้งที่ 109
- โสภณธรรม ครั้งที่ 110
- โสภณธรรม ครั้งที่ 111
- โสภณธรรม ครั้งที่ 112
- โสภณธรรม ครั้งที่ 113
- โสภณธรรม ครั้งที่ 114
- โสภณธรรม ครั้งที่ 115
- โสภณธรรม ครั้งที่ 116
- โสภณธรรม ครั้งที่ 117
- โสภณธรรม ครั้งที่ 118
- โสภณธรรม ครั้งที่ 119
- โสภณธรรม ครั้งที่ 120
- โสภณธรรม ครั้งที่ 121
- โสภณธรรม ครั้งที่ 122
- โสภณธรรม ครั้งที่ 123
- โสภณธรรม ครั้งที่ 124
- โสภณธรรม ครั้งที่ 125
- โสภณธรรม ครั้งที่ 126
- โสภณธรรม ครั้งที่ 127
- โสภณธรรม ครั้งที่ 128
- โสภณธรรม ครั้งที่ 129
- โสภณธรรม ครั้งที่ 130
- โสภณธรรม ครั้งที่ 131
- โสภณธรรม ครั้งที่ 132
- โสภณธรรม ครั้งที่ 133
- โสภณธรรม ครั้งที่ 134
- โสภณธรรม ครั้งที่ 135
- โสภณธรรม ครั้งที่ 136
- โสภณธรรม ครั้งที่ 137
- โสภณธรรม ครั้งที่ 138
- โสภณธรรม ครั้งที่ 139
- โสภณธรรม ครั้งที่ 140
- โสภณธรรม ครั้งที่ 141
- โสภณธรรม ครั้งที่ 142
- โสภณธรรม ครั้งที่ 143
- โสภณธรรม ครั้งที่ 144
- โสภณธรรม ครั้งที่ 145
- โสภณธรรม ครั้งที่ 146
- โสภณธรรม ครั้งที่ 147
- โสภณธรรม ครั้งที่ 148
- โสภณธรรม ครั้งที่ 149
- โสภณธรรม ครั้งที่ 150
- โสภณธรรม ครั้งที่ 151
- โสภณธรรม ครั้งที่ 152
- โสภณธรรม ครั้งที่ 153
- โสภณธรรม ครั้งที่ 154
- โสภณธรรม ครั้งที่ 155
- โสภณธรรม ครั้งที่ 156
- โสภณธรรม ครั้งที่ 157
- โสภณธรรม ครั้งที่ 158
- โสภณธรรม ครั้งที่ 159
- โสภณธรรม ครั้งที่ 160