โสภณธรรม ครั้งที่ 156


    ตอนที่ ๑๕๖

    ๓. ชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร คือ อาหารที่บริโภคเป็นคำๆ ซึ่งทุกท่านจำเป็นที่สุดที่จะต้องบริโภคอาหารนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าอดอาหารกลางป่า หรือว่าขาดอาหารอยู่ในที่จำกัด และขาดอาหารหลายๆ วัน ก็ทำให้สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน เพราะเหตุว่าชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร

    ๔. ชีวิตเนื่องด้วยไออุ่น ได้แก่ ไฟที่เกิดจากกรรมที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น และทำให้อาหารที่บริโภคย่อย ถ้าอาหารที่บริโภคไม่ย่อยเมื่อไร เมื่อนั้นก็สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน

    ๕. ชีวิตเนื่องด้วยวิญญาณ คือ เมื่อใดที่จุติจิตเกิดและดับ เมื่อนั้นสัตว์นั้นก็ไม่มีชีวิต

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาดูความเป็นชีวิต สภาพที่มีชีวิตของทุกชีวิตในโลก ก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ได้ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ด้วยเหตุอื่นมากมายเลย เหตุอื่นที่คิดก็เต็มไปด้วยความพอใจในอุปกรณ์ของชีวิตที่จะทำให้พอใจยิ่งขึ้น สะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่ว่าอุปกรณ์ คือ ปัจจัยแท้จริงของชีวิตย่อมขึ้นกับลมหายใจเข้าออก ขึ้นอยู่กับมหาภูตรูป ขึ้นอยู่กับกวฬีการาหาร ขึ้นอยู่กับไออุ่น และขึ้นอยู่กับวิญญาณ

    เพราะฉะนั้นบางคนก็คิดถึงชีวิตที่ยาวนานเหลือเกิน แต่ว่าถ้าปัจจัยเหล่านี้เกิดไม่เป็นปกติ สิ้นสุดลงเมื่อไร เมื่อนั้นชีวิตก็ต้องสิ้นสุดลงทันที

    นี่ก็น่าจะเห็นภัยของชีวิตที่คิดว่า สนุกเหลือเกิน สบายมาก แล้วก็มีความสุข แต่แท้ที่จริงแล้วภัยของชีวิตมีทุกขณะ แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดกว่านั้นอีก นอกจากลมหายใจเข้าออก หรือมหาภูตรูป กวฬีการาหาร ไออุ่นและวิญญาณ สภาพที่ทำให้ต้องเกิดอีกนั้นมีอยู่อย่างเดียว คือ กิเลสทั้งหลาย ถ้าดับกิเลส จะดับทุกข์ทั้งหมด ไม่ต้องลำบาก หรือเห็นภัยต่างๆ ของชีวิต เพราะเหตุว่าไม่ต้องเกิด ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องทุกข์ยาก ไม่ต้องวิตก ไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถเห็นภัยของกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าทุกคนที่มีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะไม่เบื่อ ไม่มีการเบื่อรูป เบื่อเสียง เบื่อกลิ่น เบื่อรส เผื่อโผฏฐัพพะเลย

    ขอกล่าวถึงการเกิดในสวรรค์ เช่นผู้ที่มีปัญญาก็ยังเห็นโทษ

    ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อุโบสถวิมาน มีข้อความว่า

    เทพธิดาท่านหนึ่งแสดงโทษของตนแก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

    “ฉันทะ ความพอใจเกิดขึ้นแก่ดิฉัน เพราะได้ฟังเรื่องสวนนันทวันอยู่เนืองๆ ดิฉันจึงตั้งจิตไปในสวนนันทวันนั้น ก็เข้าถึงสวนนันทวันได้จริงๆ ดิฉันไม่ได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้า เผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ดิฉันนั้นตั้งจิตใจไว้ในภพอันเลว จึงร้อนใจในภายหลัง”

    เกิดถึงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุว่าได้ยินได้ฟังเรื่องความเพลิดเพลิน เรื่องความสะดวกสบาย ความสนุกรื่นเริงของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่มีสวนนันทวัน เพราะฉะนั้นก็เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ก็รู้ว่าแม้เกิดบนสวรรค์ ก็ยังต้องเกิดอีก ในเมื่อมีกิเลสที่จะทำให้เกิด และสำหรับชีวิตของเทพธิดาท่านนั้นก็จะต้องอยู่ในวิมานนั้น ๓ โกฏิ ๖ หมื่นปี

    พอใจไหม อยู่เสียนาน และก็เพลิดเพลินอยู่ที่สวนนันทวัน แต่ว่าถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ จะไม่เห็นโทษเลย แต่ว่าผู้ใดที่เห็นโทษ ก็จะกล่าวว่า “...ดิฉันไม่ได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้า เผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์...”

    อีกท่านหนึ่ง ข้อความในอรรถกถา ขุททกนิกาย ประภัสสรวิมาน มีข้อความว่า

    เทพธิดากล่าวกับท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันได้ถวายพวงมาลัยและน้ำอ้อยแด่พระคุณเจ้า ผู้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ดิฉันจึงได้เสวยผลแห่งกรรมนั้นในเทวโลก

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แต่ดิฉันยังมีความเดือดร้อน ผิดพลาด เป็นทุกข์ เพราะดิฉันไม่ได้ฟังพระธรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาทรงแสดงดีแล้ว

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุนั้นดิฉันจึงมากราบเรียนพระคุณเจ้าซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์ดิฉัน โปรดชักชวนผู้ที่ควรอนุเคราะห์นั้นด้วยธรรม ที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาทรงแสดงดีแล้ว ทวยเทพที่มีศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ก็รุ่งโรจน์ล้ำดิฉัน โดยอายุ ยศ สิริ ทวยเทพอื่นๆ ก็ยิ่งยวดกว่า โดยอำนาจและวรรณะ มีฤทธิ์มากกว่าดิฉัน”

    จะอยู่บนสวรรค์ แต่ถ้าไม่รู้เรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เหมือนกัน อยู่บนสวรรค์ เห็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นมนุษย์ในขณะนี้ ก็มีการเห็น มีการได้ยิน แต่ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วจะทำอย่างไร ก็มีหนทางเดียว คือ ต้องฟังพระธรรมต่อไปอีก พระธรรมเรื่องอะไร ก็เรื่องตา เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ โดยประการต่างๆ เพื่อที่จะให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และเห็นภัยว่า เป็นสภาพธรรมที่เล็กน้อย และเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่ทุกคนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยเท่าไร ก็ต้องฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ ชาตินี้ยังไม่ถึงการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล ชาติหน้าต้องฟังอีก ถ้ามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม เกิดในประเทศที่สมควร ก็ขอจงฟังพระธรรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นขณะที่หายากเมื่อดูแต่ละชีวิตในโลกที่จะได้ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้น ๑ ขณะที่ได้เกิดขึ้นในปฏิรูปประเทศ ๑ คือ ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา ขณะที่ได้สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ๑ ขณะที่อวัยวะทั้ง ๖ ไม่บกพร่อง ๑

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกท่านก็ยังเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยขณะเหล่านี้ ก็ขอให้ขณะเหล่านี้อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย ตามข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย ฉักกนิบาต มาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕

    ในพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องของกุศลกรรมและอกุศลกรรม และสภาพธรรมทั้งหมดที่จะเกื้อกูลให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น

    สำหรับผู้ที่ปฏิสนธิแล้วในโลกนี้ ย่อมไม่ทราบว่า ปฏิสนธิจิตของท่านมีอารมณ์อะไร ฉันใด การที่ท่านจะจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น ขณะที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตชาติหน้าเกิด โดยมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ ซึ่งอาจจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต แล้วแต่กรรมหนึ่งซึ่งเป็นชนกกรรม แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เป็นปฏิสนธิจิต ขณะนั้นอารมณ์ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ศึกษาเรื่องจิตแต่ละประเภท ควรที่จะได้ทราบว่า จิตนั้นเป็นชาติอะไร จิตนั้นเป็นภูมิอะไร จิตนั้นรู้อารมณ์อะไร จิตนั้นอาศัยทวารอะไร และจิตนั้นทำกิจอะไร

    อาจจะทำให้บางท่านคิดว่ายุ่งยาก แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าเข้าใจว่า เป็นจิตในขณะนี้ที่สามารถจะเข้าใจได้ สามารถจะพิจารณาพิสูจน์รู้ได้ ก็จะทำให้เป็นผู้ละเอียดที่จะเข้าใจว่า ที่เข้าใจว่าเป็นชีวิตของท่าน แท้ที่จริงก็เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตในแต่ละภพ ในแต่ละชาตินั่นเอง

    เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มจากปฏิสนธิกิจซึ่งเป็นกิจแรกใน ๑๔ กิจ ก็ควรที่จะได้ทราบว่า จิตที่ทำปฏิสนธิกิจเป็นชาติอะไร และเป็นภูมิอะไร รู้อารมณ์อะไร ทวารอะไร

    สำหรับปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง ต้องเป็นชาติวิบากทุกดวง เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม กุศลจิตและอกุศลจิตซึ่งเป็นเหตุทำปฏิสนธิกิจไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตที่ทำกิจนี้ต้องเป็นชาติวิบากเท่านั้น คือ เป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ซึ่งเกิดก่อนที่จะจุติ

    เวลาที่จะตาย เร็วมากทีเดียว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่แม้กระนั้นกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็เกิดก่อนจุติจิต

    สำหรับภูมิของปฏิสนธิจิตก็จำแนกออกไปว่า ถ้าเป็นผลของกุศลที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็จะเกิดในกามภูมิ โดยภูมิ ก็มีทั้งปฏิสนธิจิตที่เป็นไปในกามภูมิ เป็นไปในรูปภูมิ เป็นไปในอรูปภูมิ

    ปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์อะไร ปฏิสนธิจิตต้องมีอารมณ์ด้วย แต่ว่าไม่ใช่อารมณ์ของชาตินี้ ปฏิสนธิจิตของชาตินี้มีอารมณ์เดียวกับกุศลจิตและอกุศลจิตก่อนจุติจิตของชาติก่อน ถ้าเป็นการเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนจะจุติ ชาติก่อนอาจจะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน แต่กรรมหนึ่งที่จะทำให้พ้นจากสภาพของการเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็เป็นชนกกรรม ทำให้กุศลจิตเป็นกุศลชวนะเกิดก่อนจุติ เพราะฉะนั้นกุศลชวนะนั่นเองก็เป็นปัจจัยให้มหาวิบากทำกิจปฏิสนธิในสุคติภูมิ อาจจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ หรืออาจจะเกิดในสวรรค์ก็ได้

    เพราะฉะนั้นแต่ละท่านในที่นี้ ชาติก่อนนี้เองอาจจะเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ ในนรกก็ได้ หรืออาจจะเป็นมนุษย์มาแล้วก็ได้ หรือว่าอาจจะมาจากสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดก็ได้ หรืออาจจะถึงกับการเป็นรูปพรหมบุคคลในรูปพรหมภูมิก็ได้ แต่ถ้าจุติจากอรูปพรหมบุคคล ปฏิสนธิของผู้นี้จะต้องเป็นมหาวิบาก ญาณสัมปยุตต์ คือ ต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    สำหรับปฏิสนธิจิตทั้ง ๑๙ ประเภทที่เป็นชาติวิบาก ที่จำแนกไปตามภูมิต่างๆ และมีอารมณ์เดียวกับจิตใกล้จะจุติของชาติก่อนนั้น รู้อารมณ์โดยไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย คือไม่อาศัยตา ไม่อาศัยหู ไม่อาศัยจมูก ไม่อาศัยลิ้น ไม่อาศัยกาย ไม่อาศัยใจด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ และวิบากจิต ๑๙ ดวงนี้เท่านั้นที่จะทำ ปฏิสนธิกิจได้

    พระ ก่อนที่จิตจะให้ผลเป็นปฏิสนธิจิต จะต้องเป็นกรรมหนึ่งกรรมใดเป็นชนกกรรม และในชวนะก่อนที่จะจุติ ชวนะนั้นต้องเป็นกุศลด้วยใช่ไหม สมมติกรรมหนึ่งกรรมใดเป็นกุศลซึ่งเป็นชนกกรรม ก่อนจะจุติจิต ชวนะที่ใกล้จุติจิตต้องเป็นกุศลด้วยใช่ไหม แต่ไม่เป็นกรรมก่อนจุติจิตที่ให้ผลเป็นปฏิสนธิ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเป็นกรรมที่กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นชวนวิถี ๕ ขณะสุดท้ายก่อนจุติจิตจะเกิด ต้องเกิดขึ้นเพราะกรรมหนึ่งซึ่งเป็นชนกกรรม เป็นกรรมที่ครบองค์ที่ได้กระทำแล้วทำให้อารมณ์นั้นปรากฏแก่จิตของบุคคลนั้น ซึ่งแล้วแต่ว่าจะเป็นกรรมอารมณ์ก็ได้ กรรมนิมิตอารมณ์ก็ได้ คตินิมิตอารมณ์ก็ได้

    ที่ใช้คำว่า กรรมอารมณ์ก็ดี หรือว่ากรรมนิมิตอารมณ์ก็ดี หรือคตินิมิตก็ดี หมายความถึงอารมณ์ของชวนจิต ๕ ขณะสุดท้ายก่อนจุติ เพราะเหตุว่าอารมณ์นั้นก็ต้องไม่พ้นจากอารมณ์ ๖ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั่นเอง แต่ว่าชนกกรรมทำให้จิตที่เกิดก่อนจุติจิตเป็นกุศลหรืออกุศล แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมใด

    พระ แสดงว่าใกล้จะตายนั้นไม่ได้ทำกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิ แต่เป็นกรรมหนึ่งกรรมใดที่ทำให้ใกล้จะตายนั้นอารมณ์เป็นกุศลหรืออกุศล ตามแต่กรรมที่ทำไว้

    ท่านอาจารย์ โดยมากทุกคนจะเห็นคนใกล้จะตาย ก็อาจจะรู้ว่าคนนี้ใกล้จะสิ้นชีวิตแล้ว หรือแม้แต่ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุที่ไปสิ้นชีวิตที่โรงพยาบาล หรือหลังจากที่เกิดเหตุซึ่งมีอาการสาหัส คนอื่นเห็นก็รู้ว่าคนนี้ใกล้จะสิ้นชีวิตแล้ว แต่แม้กระนั้นเวลาที่จะสิ้นชีวิตจริงๆ บอกไม่ได้เลยว่าขณะไหน เพราะเหตุว่าต้องแล้วแต่กรรม แม้แต่จุติจิตที่จะเกิด แล้วก็ทำกิจเคลื่อนจากสภาพของความเป็นบุคคลนี้ก็ขึ้นอยู่กับกรรม ซึ่งอาการสาหัส อาจจะสาหัสถึง ๒ อาทิตย์ก็ได้ หรืออาจจะถึง ๑ เดือน หรือบางคนก็อาจจะเจ็บหนักเป็นปี ดูเหมือนใกล้จะสิ้นชีวิต แต่ก็ยังมีชีวิตต่อไป และเดี๋ยวก็ใกล้จะสิ้นชีวิต และก็ยังมีชีวิตต่อไป ทั้งนี้เพราะเหตุว่าจุติจิตยังเกิดไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงกาลที่กรรมนั้นจะทำให้จุติจิตเกิด

    เพราะฉะนั้นถึงแม้คนที่เรามองเห็นว่า ป่วยหนักและใกล้จะตาย ก็ยังบอกไม่ได้ว่า จุติจิตจะเกิดเมื่อไร แต่ชนกกรรมจะทำให้ก่อนจุติจิตจะเกิดจริงๆ ขณะนั้นจะมีการนึกถึงกรรมที่ได้กระทำแล้วอย่างรวดเร็วที่สุด คือ เพียงด้วยชวนวิถีจิต ๕ ขณะ เพราะเหตุว่าทุกคนในขณะนี้คิดถึงอดีตกรรมได้ ใครทำกรรมอะไรไว้ บางวันก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อเดือนก่อนหรือตอนที่เป็นเด็กๆ เคยทำกรรมอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในขณะที่ใกล้จะจุติก็เช่นเดียวกัน จิตจะระลึกถึงหรือคิดถึง นึกถึงกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อกรรมนั้นเป็นชนกกรรม ก็จะทำให้คิดถึงอกุศลกรรมหรือกุศลกรรมก็ได้ เพราะฉะนั้นบางคนก็อาจจะคิดถึงขณะที่ได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน หรืออาจจะคิดถึงที่ได้ฟังพระธรรม นั่งฟังธรรม หรืออาจจะคิดถึงขณะที่ทอดกฐิน หรือว่าทำบุญอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ แล้วแต่ว่ากรรมใดจะเป็นชนกกรรม ก็ทำให้จิตคิดถึงการกระทำนั้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นอย่างนั้น กรรมนั้นเป็นชนกกรรม และอารมณ์นั้นชื่อว่า กรรมอารมณ์ เพราะเหตุว่ามีกรรมเป็นอารมณ์ของจิตก่อนจุติ แต่ต้องเป็นกรรมที่ทำแล้ว เช่น ทอดกฐินที่เป็นฝ่ายกุศล หรือว่าจะเป็นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ กระทำทุจริตทางกาย ทางวาจาใดๆ ได้ทั้งสิ้น ที่จะเป็นชนกกรรมทำให้จิตนึกถึงอารมณ์นั้นก่อนเป็นชวนวิถี เป็นกุศลหรืออกุศลแล้วดับไป และหลังจากนั้นจุติจิตก็เกิด และปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์เดียวกับจิตใกล้จะจุติ คือ มีกรรมที่นึกถึงนั้นเองเป็นอารมณ์

    พระ แสดงว่าไม่ได้มาทำกรรมตอนใกล้ตาย แต่เนื่องจากเจริญกุศลมาก่อน แล้วก็ในขณะที่ใกล้จะตายนั้นเป็นปัจจัยให้คิดนึกถึงกรรมที่ได้เคยกระทำเอาไว้ จึงเป็นกรรมอารมณ์ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อันนี้ไม่สามารถจะบอกได้เลย มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ผู้ที่ใกล้จะสิ้นชีวิต แต่ก็ไม่ได้แสดงว่า การที่เขาเกิดในที่นั้น ขณะนั้นมีอะไรเป็นอารมณ์ เพียงแต่ว่าเป็นผลของกรรมใดจึงทำให้บุคคลนั้นเกิดในที่นั้น แต่ว่าไม่ได้แสดงว่าขณะนั้น ชวนะสุดท้ายก่อนจุติมีอารมณ์อะไร

    ข้อความในวิมานวัตถุมีหลายสูตรที่แสดงอย่างนั้น เช่น ข้อความในอรรถกถา ขุททกนิกาย อรรถกถาจัณฑาลิวิมาน มีข้อความว่า

    พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ ในเวลาใกล้รุ่งทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติกันมาแล้ว เมื่อทรงออกแล้วตรวจดูโลกอยู่ ได้ทรงเห็นหญิงจัณฑาลแก่คนหนึ่งอยู่ในจัณฑาลิคามในนครนั้นนั่นเองสิ้นอายุ ก็กรรมของนางที่นำไปนรกปรากฏชัดแล้ว พระองค์ทรงมีพระทัยอันพระมหากรุณา ทรงดำริว่า เราให้นางทำกรรมอันนำไปสู่สวรรค์ จักห้ามการเกิดในนรกของนางด้วยกรรมนั้น ให้ดำรงอยู่ในสวรรค์

    พระผู้มีพระภาคจึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์พร้อมกับภิกษุหมู่ใหญ่ ก็สมัยนั้นหญิงจัณฑาลีนั้นถือไม้ออกจากนคร พบพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จ แม้พระผู้มีพระภาคประทับยืนตรงหน้าเหมือนห้ามมิให้นางไป

    ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะรู้พระทัยของพระศาสดา และความหมดอายุของหญิงนั้นแล้ว เมื่อจะให้นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาค จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

    ดูก่อนแม่จัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดมผู้มีพระเกียรติยศเถิด พระโคดมผู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗ ประทับยืนเพื่ออนุเคราะห์ท่านคนเดียว ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสยิ่งในพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่ และจงรีบประคองอัญชลีถวายบังคมเถิด ชีวิตของท่านน้อยเต็มที

    พระเถระเมื่อระบุคุณของพระผู้มีพระภาคด้วย ๒ คาถาอย่างนี้ ทำให้นางสลดใจด้วยการชี้ชัดว่า นางหมดอายุ ประกอบนางไว้พระศาสดา ก็นางได้ฟังคำนั้นแล้วเกิดสลดใจ มีใจเลื่อมใสในพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ได้ยืนมีจิตเป็นสมาธิด้วยปีติอันซ่านไปในพระพุทธคุณ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปพระนคร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ด้วยทรงดำริว่า เท่านี้ก็พอจะให้นางเกิดในสวรรค์ได้ ดังนี้

    ต่อมาแม่โคลูกอ่อนตัวหนึ่งหันวิ่งตรงไปจากที่นั้น เข้ามาเอาเขาขวิดนางจนสิ้นชีวิต ท่านพระสังคีติกาจารย์เพื่อแสดงเรื่องนั้นทั้งหมด ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

    หญิงจัณฑาลผู้นี้อันพระมหาเถระผู้มีตรอันอบรมแล้ว ธำรงไว้ด้วยสรีระอันสุดท้ายตักเตือนแล้ว จึงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดมผู้มีพระเกียรติยศ แม่โคได้ขวิดนางในขณะที่กำลังยืนประคองอัญชลี นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ส่องแสงสว่างในโลกมืดดังนี้ ก็นางจุติจากนั้นไปบังเกิดในภพดาวดึงส์


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    24 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ