โสภณธรรม ครั้งที่ 157


    ตอนที่ ๑๕๗

    ท่านพระสังคีติกาจารย์เพื่อแสดงเรื่องนั้นทั้งหมด ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

    หญิงจัณฑาลผู้นี้อันพระมหาเถระผู้มีตนอันอบรมแล้ว ธำรงไว้ด้วยสรีระอันสุดท้ายตักเตือนแล้ว จึงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดมผู้มีพระเกียรติยศ แม่โคได้ขวิดนางในขณะที่กำลังยืนประคองอัญชลี นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ส่องแสงสว่างในโลกมืดดังนี้ ก็นางจุติจากนั้นไปบังเกิดในภพดาวดึงส์

    แต่ไม่ได้แสดงว่า นางมีอะไรเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิต เพียงแต่แสดงว่า กรรมอะไรที่ทำให้ปฏิสนธิในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    เพราะฉะนั้นทุกคนที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แล้วแต่กรรมที่เป็นชนกกรรม แต่ว่าอาจจะเป็นการนึกถึงอารมณ์นั้น และเมื่อชวนจิตดับ ภายหลังจุติจิตเกิดแล้วก็ดับ ปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์เดียวกับชวนจิตสุดท้ายซึ่งเป็นการนึกถึงกรรม หรือบางครั้งอาจจะไม่ใช่การนึกถึงกรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นอารมณ์อะไรก็ตาม ซึ่งชวนจิตขณะนั้นกำลังเสพ กำลังมีอารมณ์นั้นก่อนจุติ และเมื่อจุติจิตดับแล้ว ปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์นั้น

    ขณะที่กำลังเห็น เมื่อวิถีจิตทางตาดับหมดแล้วก็สิ้นชีวิตได้ ขณะที่กำลังได้ยินเสียง ถ้าโสตทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดได้ ปฏิสนธิก็เกิดต่อ โดยที่ไม่ได้แสดงไว้โดยละเอียดว่า เมื่อปฏิสนธิ หญิงจัณฑาลผู้นี้มีอารมณ์ใดเป็นอารมณ์ จะมีกรรมเป็นอารมณ์ หรือว่าจะมีกรรมนิมิตเป็นอารมณ์ หรือว่ามีคตินิมิตเป็นอารมณ์

    ถ้าเป็นคตินิมิตก็หมายความว่า เห็นนิมิตของคติที่จะเกิด เห็นเปลวไฟนรก หรือเห็นสถานที่รื่นรมย์ของสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดก็ได้ นั่นคืออารมณ์ที่เรียกว่า คตินิมิตอารมณ์ เพราะเหตุว่าเป็นนิมิตของคติที่จะไปสู่ หลังจากจุติจิตดับแล้ว

    พระ กรรมอารมณ์จะต้องเป็นในปัญจทวารใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทางมโนทวารทวารเดียว การระลึกถึงกรรม

    พระ ส่วนที่เห็น ได้ยิน แล้วในชวนะ

    ท่านอาจารย์ นั่นเป็นกรรมนิมิตอารมณ์ ถ้าเป็นกรรมนิมิตก็หมายความว่า เป็นสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ทั้งนั้น

    พระ เป็นสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ทั้งนั้น แต่อารมณ์เป็นอารมณ์ปัจจุบัน ไม่ได้คิดถึงในอดีต

    ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ หรือว่าจะเป็นการเห็นด้วยอำนาจของกรรมก็ได้ แต่อันนั้นจะต้องเป็นกรรมนิมิตอารมณ์ เช่น เห็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำกรรมนั้น เช่น เห็นอุปกรณ์ เช่นเห็นจีวรที่ได้ถวาย ขณะนั้นก็เป็นเครื่องหมายของกรรมซึ่งเป็นกรรมนิมิตอารมณ์

    เพราะฉะนั้นกรรมนิมิตอารมณ์หมายความถึง นิมิตของกรรมที่ได้กระทำแล้วก็ได้ หรือหมายความถึงสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่กำลังปรากฏในขณะนั้นก็ได้

    พระ ก็ได้ทั้ง ๖ ทวาร

    ท่านอาจารย์ กรรมนิมิตอารมณ์ได้ทั้ง ๖ ทวาร แต่กรรมอารมณ์ได้ทางมโนทวาร ทวารเดียว

    พระ เพราะฉะนั้นจากการฟังแล้ว สำคัญที่การเจริญกุศลบ่อยๆ เนืองๆ มากกว่า และหมั่นเจริญกุศลทุกขั้นเพราะว่าจุติจิตจะเกิดเมื่อไรก็ได้ เพราะว่ากรรมที่ทำให้จุติจิตทำไว้แล้ว และจะต้องเกิดแน่ๆ และเมื่อไรไม่รู้ได้ และกุศลจิตทุกขั้นที่ได้เจริญไปแล้ว ถ้ามีกำลังแล้ว อะไรก็ห้ามไม่ได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้เลยว่า จะให้กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมให้ผล และจะให้กรรมที่ทำด้วยกุศลโสมนัสประกอบด้วยปัญญา เป็นสสังขาริก ไม่อาศัยการชักจูงให้ผล เพราะอาจจะเป็นกรรมที่ทำด้วยความรู้สึกเฉยๆ เป็นอุเบกขาเวทนา และไม่ประกอบด้วยปัญญาให้ผลก็ได้ แม้ว่าท่านผู้ฟังจะฟังพระธรรม ในขณะที่ฟังก็เป็นมหากุศล แล้วก็เป็นญาณสัมปยุตต์ที่เข้าใจพระธรรม แล้วบางครั้งบางขณะก็อาจจะเกิดความซาบซึ้ง เป็นโสมนัสเวทนา แต่เวลาที่จะจุติไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้กรรมไหนให้ผล แต่สามารถจะดูชีวิตของคนที่เกิดแล้วได้ว่า ขณะที่เป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ จะเป็นผลของกุศลขณะใด จะเป็นผลของกุศลที่ประณีต หรือจะเป็นผลของกุศลที่ไม่ประณีต

    พระ กรรมหนึ่งกรรมใดที่ให้ผลนี่คือในชวนจิตที่กระทำกรรมสำเร็จ จนครบองค์แล้ว ถ้าเกิดขณะที่ให้ผลแล้ว จะให้ผลได้กี่อย่าง เช่น ให้ผลเป็นรูปได้ไหม ให้ผลเป็นจิตได้หลายๆ ดวง หรือขณะปฏิสนธิเพียงดวงเดียว

    ท่านอาจารย์ ให้ผลดวงเดียวไม่ได้เพราะเหตุว่ากรรมกว่าจะสำเร็จลงไป ก็มีชวนะหลายวาระทีเดียว

    พระ สมมติถ้าเกิดเป็นอกุศล จะต้องเพียงดวงใดดวงหนึ่งเท่านั้น จะให้ผลเป็นปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ขณะนั้นจิตจะเศร้าหมองเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าอกุศลกรรมนั้นเป็นชนกกรรมจึงทำให้จิตก่อนจะจุตินึกถึงอดีตกรรมนั้นเป็นกรรมอารมณ์ หรือนึกถึงนิมิตของกรรมที่เป็นอกุศลนั้น เป็นกรรมนิมิตอารมณ์ หรือว่าเห็นคติที่จะไปสู่ เช่นเห็นไฟนรก หรือแล้วแต่จะเป็นภูมิหนึ่งภูมิใด ขณะนั้นก็เป็นคตินิมิตอารมณ์ แต่ว่าต้องเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำสำเร็จลงแล้ว แม้แต่หญิงจัณฑาลที่กล่าวถึง ก็ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคสำเร็จแล้ว เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นในขณะที่ถูกแม่โคขวิดในขณะนั้น ก่อนจุติจิตจะเกิด หญิงนั้นจะมีอะไรเป็นอารมณ์ ไม่ได้ทรงแสดงไว้เลย เพียงแต่แสดงไว้ว่า กรรมใดปฏิสนธิในภูมิใด แต่ว่าจะไม่ทรงถึงกับว่าก่อนที่จุติจิตของหญิงนั้นจะเกิด ขณะนั้นหญิงนั้นมีกรรมกรรมอารมณ์ หรือกรรมนิมิตอารมณ์ หรือมีคตินิมิตอารมณ์

    พระ แล้วขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด เนื่องแต่กรรมหนึ่งกรรมใดแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ ภวังคจิตก็จะเป็นผลของกรรมเดียวกันด้วย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    พระ ถ้าปฏิสนธิเกิดขึ้น กัมมชรูปที่เกิดพร้อมกัน ก็ยังเป็นผลที่ทำไว้กรรมเดียวกัน ดวงเดียวกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ชนกกรรมจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิก เกิดพร้อมกับกัมมชรูป ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และมีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย นี่เป็นเหตุที่แต่ละคนเมื่อเจริญเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ก็ตาม ก็จะมีรูปร่างผิวพรรณ ส่วนของอวัยวะน้อยใหญ่ต่างกันตามกรรมซึ่งเป็นชนกกรรมที่ทำให้ ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับกัมมชรูป เพราะเหตุว่ากลุ่ม ๓ กลุ่ม ซึ่งเป็นกัมมชรูป หรือกัมมชกลาปสำหรับคนที่เกิดในครรภ์ ก็จะมีภาวทสกะกลุ่มหนึ่ง และมีหทยทสกะกลุ่มหนึ่ง และมีกายทสกะกลุ่มหนึ่งซึ่งเล็กมาก มองไม่เห็นเลย เข้าใจในกลุ่มแต่ละกลุ่มซึ่งเป็นกัมมชรูปก็มีธาตุไฟ และธาตุไฟนั้นก็จะเป็นสมุฏฐานให้กลุ่มของรูปที่เกิดเพราะธาตุไฟนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นกรรมนั้นก็ทำให้แต่ละคนเจริญเติบโตขึ้น แล้วมีรูปร่างสูงต่ำดำขาวต่างกัน เพราะเหตุว่าธาตุไฟซึ่งเป็นอุตุที่เกิดพร้อมกัมมชรูปเป็นสมุฏฐานให้เจริญเติบโตมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉานที่มีรูปร่างต่างๆ กัน ก็เพราะเหตุว่ากรรมนั้นทำให้ปฏิสนธิกัมมชรูปเกิดแล้ว และกัมมชรูปนั้นมีอุตุหรือว่าธาตุไฟ เย็นร้อนที่จะเป็นสมุฏฐานให้รูปที่เกิดจากอุตุนั้นเกิด

    พระ ขณะที่อุตุในกัมมชรูปเป็นปัจจัยที่ทำให้รูปที่เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน ได้ยินพระสูตรที่เกี่ยวกับผู้ที่กระทำกรรมดีแล้วผลของกรรมให้ผล คือ ขณะที่กระทำทาน และผลของทานให้ผล ขณะที่ให้ผล สมมติบุคคลนั้นไปเกิดเป็นเทวดา และมีวิมานเกิดด้วย เป็นเพราะอุตุชรูปที่อยู่ในรูปกลุ่มของกรรมหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ นั่นเป็นภายนอก ไม่ใช่ภายใน มีทั้งอุตุชรูปภายในและอุตุชรูปภายนอก ซึ่งเกิดเพราะกรรมด้วย

    พระ แต่ถ้าภายใน อุตุชรูปที่เกิดจากกรรมแล้ว ก็ให้ผลเป็นรูปร่างกายอื่นๆ ประกอบกัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะสังเกตได้ว่า กรรมที่ทุกคนทำนี่ก็คล้ายคลึงกัน เช่น การถวายอาหารบิณฑบาตก็มีอาหารเป็นไทยธรรม แล้วก็มีกุศลศรัทธา และมีเจตนา ๓ กาลมีความผ่องใส ดูแล้วก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากเลย แต่ว่าเจตนาและสภาพของกุศลธรรมที่เกิดร่วมกันนั้นก็ละเอียดประณีตต่างกัน จนกระทั่งทำให้แม้แต่ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับกัมมชรูป กัมมชรูปที่มีธาตุไฟนั้นก็ยังทำให้เป็นเครื่องประกอบที่ทำให้มีรูปร่างผิวพรรณวรรณะนั้นต่างกันไปอีก

    การที่ท่านผู้ฟังฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และทรงพร่ำสอนเป็นอันมากในพระไตรปิฎก ประโยชน์ก็คือเพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่า ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจการงานต่างๆ ซึ่งกิจของจิตทั้งหมดมี ๑๔ กิจ และกิจที่ ๑ คือ ปฏิสนธิกิจ จิตที่ทำกิจนี้ทั้งหมดมี ๑๙ ดวง ซึ่งก็ได้กล่าวถึงแล้ว เป็นอกุศลวิบาก ๑ ดวง เป็นกามาวจรกุศลวิบาก ๙ ดวง เป็นรูปาวจรวิบาก ๕ ดวง เป็นอรูปาวจรวิบาก ๔ ดวง รวมเป็นปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง

    แต่ถ้าได้ศึกษาโดยละเอียดก็ทราบว่า ปฏิสนธิทั้งหมดมี ๒๐ แต่สำหรับปฏิสนธิจิตมีเพียง ๑๙ เพราะฉะนั้นปฏิสนธิที่ไม่ใช่จิต ก็คือ อสัญญสัตตาพรหม การปฏิสนธิซึ่งมีแต่รูปปฏิสนธิในอสัญญสัตตาภูมิ แต่ก็ต้องมีเหตุ ไม่ใช่การไปเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมนั้นไม่มีเหตุก็ไปเกิดได้ แต่ต้องผู้ที่เจริญความสงบความจิตมั่นคง จนกระทั่งถึงขั้นรูปปัญจมฌานที่ ๕ และมีเห็นว่า ทุกข์ทั้งหมดเพราะมีนาม ถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีนามธรรม ทุกข์ก็ไม่มี ถ้ามีแต่รูป ก็ไม่เดือดร้อนอะไรเลย ไม่มีรับรู้กระทบสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นด้วยความปรารถนาที่จะมีแต่เพียงรูป ไม่มีนาม ก็ทำให้รูปปัญจมฌานกุศลเกิดจุติ และเมื่อจุติจิตดับแล้ว ก็มีแต่รูปปฏิสนธิเป็นอสัญญสัตตาพรหมในอสัญญสัตตาภูมิ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การเกิดทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ก็จะต้องไม่พ้นจากเหตุที่เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    สำหรับกิจที่ ๑ ก็จะขอกล่าวเพียงย่อๆ ซึ่งท่านผู้ฟังสนใจก็จะศึกษาได้เองจากอรรถกถา ซึ่งแสดงความละเอียดของภพภูมิที่เกิดของอกุศลวิบากจิต ๑ ดวง กามาวจรวิบากจิต ๙ ดวง รูปาวจรวิบากจิต ๕ ดวงและอรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง

    แต่สำหรับผู้ที่กระทำกรรมซึ่งเป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะซึ่งเป็นจิตประเภทกามาวจรจิต หรือมหากุศลจิต ไม่สามารถจะเกิดเป็นพรหมบุคคลได้ เพราะฉะนั้นการที่จะคิดว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นรูปพรหมบุคคล อรูปพรหมบุคคล ก็เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาถึงเหตุได้ บุคคลนั้นเป็นผู้เจริญความสงบจนกระทั่งฌานจิตเกิดแล้วไม่เสื่อม คือก่อนจุติจิตจะเกิด ฌานจิตต้องเกิดก่อน แล้วแต่ว่าจะเป็นปฐมฌาน หรือทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน หรือปัญจมฌาน ข้อสำคัญก็จะต้องเข้าใจว่า จิตก็ดี เจตสิกก็ดี รูปก็ดี เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็มีปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นถ้าปราศจากเหตุปัจจัย จิตในขณะนี้ก็เกิดไม่ได้ เจตสิกเกิดไม่ได้ รูปเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ้นชีวิต ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ปฏิสนธิก็เกิดไม่ได้

    ข้อความในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา ปริจเฉทที่ ๕ มีข้อความว่า

    ธรรมอะไรๆ ที่นับเนื่องในภพก่อน หาก้าวไปสู่ภพใหม่ไม่ ใจ เว้นจากเหตุที่นับเนื่องในภพก่อน ย่อมเกิดไม่ได้เลย แม้แต่ปฏิสนธิจิตที่จะเกิดก็ต้องมีเหตุ คือ นับเนื่องในภพก่อน ต้องมีเหตุจากภพก่อนจึงทำให้ปฏิสนธิจิตในชาตินี้เกิดขึ้น

    นี่ก็แสดงให้เห็นการไม่รู้จบของการตายและการเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่ายังเป็นผู้ที่ยังไม่ดับกิเลสเป็นสมุฏฐาน

    ขอกล่าวถึงเรื่องของกรรมที่ทำให้วนเวียนไปจนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมของท่านผู้หนึ่ง คือ นักฟ้อนท่านหนึ่ง

    ข้อความในอรรถกถา ตาลปุตตเถรคาถาที่ ๑มีว่า

    นักฟ้อนท่านหนึ่งมีนามว่า นัตตคามณี มีมาตุคาม ๕๐๐ เป็นบริวาร แสดงมหรสพในบ้าน นิคม และราชธานี ได้การบูชาและสักการะเป็นอันมากเที่ยวไปมายังกรุงราชคฤห์ แสดงแก่ชาวพระนคร เพราะท่านได้สั่งสมอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ จึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลถามปัญหา ฟังพระธรรมและอุปสมบท ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหันต์

    ซึ่งทุกท่านก็ปรารถนาที่จะเป็นอย่างนี้ แต่ว่ากว่าจะได้เป็นอย่างนี้ ก็จะต้องฟังพระธรรมที่ทรงพร่ำสอนเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องตายแล้วเกิด เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ใช่ตัวตน

    ท่านได้กล่าวคาถา มีข้อความตอนหนึ่งว่า

    ดูก่อนจิต ท่านทำเราให้เป็นพราหมณ์ก็มี เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน บางคราวเราเป็นแพทย์ เป็นศูทร เป็นเทพเจ้าก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน เพราะเหตุแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ เราเป็นอสูร บางคราวเป็นสัตว์นรก บางคราวเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางคราวเป็นเปรต ท่านได้ประทุษร้ายเราบ่อยๆ มิใช่หรือ บัดนี้เราจักไม่ให้ท่านทำเหมือนกาลก่อนอีกละแม้เพียงครู่เดียว ท่านได้ล่อลวงเหมือนคนบ้า ได้ทำความผิดให้แก่เรามาแล้ว มิใช่หรือ

    ข้อความต่อไปท่านกล่าวว่า

    จิตนี้แต่ก่อนเคยเที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ ตามความประสงค์ ตามความใคร่ ตามความสบาย วันนี้เราจะข่มจิตนั้นไว้ โดยอุบายอันชอบ ดังนายหัตถาจารย์ข่มช้างตกมันไว้ด้วยขอฉะนั้น

    ข้อความตอนท้ายอีกตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า

    ดูกรจิต ท่านได้นำเราไปตามอำนาจของความเข้าใจผิด ๔ ประการ เหมือนบุคคลจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ท่านควรคบหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวและเครื่องผูกเสียได้ เพียบพร้อมด้วยพระมหากรุณา เป็นจอมปราชญ์ มิใช่หรือ

    นึกถึงสภาพของคนที่จูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไป ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากกิเลส โลภะ ความปรารถนา ความต้องการ วันหนึ่งๆ ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นผู้เห็นกิเลสตามความเป็นจริง และเห็นโทษก็จะรู้ว่า กิเลสล่อลวงเราเหมือนคนบ้า และเหมือนคนเดินจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ด้วยความปรารถนาต่างๆ

    เพราะฉะนั้นทุกคนก็ยังมีกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด และกรรมที่แต่ละคนได้กระทำแล้วทั้งในชาตินี้และในชาติก่อนๆ ก็เป็นเสมือนไร่นา จิตเป็นเสมือนพืช ตัณหาซึ่งมีอยู่ในจิตที่ยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท เป็นยางเหนียวในพืช ซึ่งจะทำให้พืชสามารถส่งผลต่อๆ ไปอีก ไม่ใช่เป็นพืชที่ตายหรือไม่สามารถที่จะงอกงามได้ เพราะฉะนั้นกรรมหนึ่งที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นก็จริง แต่ว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งหมดก็ยังเป็นเสมือนไร่นา แล้วแต่ว่าใครจะมีนา มีไร่มากมายหรือเล็กน้อย และไร่นานั้นจะเป็นนาประเภทดี นาประเภทปานกลาง หรือนาประเภทเลว

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาจิตจริงๆ ก็ทราบได้ว่าส่วนใหญ่เป็นวิบากที่ยังต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย และอีกส่วนหนึ่งเมื่อวิบากจิตเกิดขึ้น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดขึ้น และถ้าอกุศลนั้นมีกำลังก็เป็นกรรมที่ทำให้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง และสำหรับกุศลก็เป็นเหตุเช่นเดียวกันที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นวิบาก ระลึกขึ้นได้ว่าเป็นวิบาก ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน แล้วเป็นกุศลเป็นอกุศลต่อจากนั้น ก็จะทำให้รู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย

    นิภัทร ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงนักฟ้อนที่ท่านฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แล้วท่านได้อุปสมบท แล้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านก็กล่าวถึงว่า จิตไม่สามารถหลอกลวงท่านได้อีกต่อไป ก็หมายความว่าตั้งแต่ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในอำนาจของจิต แต่ว่าท่านก็ยังมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีรู้รส มีถูกต้องสัมผัส มีคิดนึก การที่ท่านเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส ถูกต้องสัมผัส หรือคิดนึกนี่ ไม่ถือว่าท่านอยู่ในอำนาจของจิตหรือ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    24 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ