เมตตา ตอนที่ 02


    สำหรับพรหมวิหารทั้ง ๔ เป็นธรรมที่เกื้อหนุนกรรมดีทั้งปวง เป็นคุณธรรมที่ทำให้ความดีทั้งหลายบริบูรณ์ได้ แม้แต่ในเรื่องของทานก็ไม่แบ่งแยกการให้เฉพาะบางพวก และยังเป็นผู้ที่ยังศีลให้บริบูรณ์ด้วยเมตตา สามารถที่จะให้อภัยทุกอย่างได้ ทำกุศล และไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เพราะเห็นกรรมทั้งหลายด้วยการเจริญอุเบกขาภาวนา

    เรื่องของโลภะเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ บางท่าน ทางกาย ทางวาจา ไม่มีอาการของความละโมบ ความอยากได้ ความต้องการ ความหวังให้ปรากฏ แต่ทางใจมี แม้แต่ความคิดที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเพราะมีความต้องการเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะมีการกระทำทางกาย หรือคำพูดทางวาจา ซึ่งอาจจะดูน่าเลื่อมใส แต่ว่าใจจริงของบุคคลนั้นใครจะรู้ว่า มีความหวัง มีโลภะ มีความละโมบ มีความปรารถนา มีความต้องการอะไรบ้างหรือเปล่า แต่ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาต้องเห็นโทษอย่างละเอียดของอกุศล และควรที่จะขัดเกลา เพราะถ้ายังเป็นผู้ที่ไม่อิ่มในโลภะ ในความต้องการ ก็ไม่มีวันที่จะหมดโลภะ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ ไม่อิ่มในกุศลธรรมเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ วันหนึ่งก็สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

    ข้อสำคัญ คือ ต้องเห็นอกุศลตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมที่ควรขัดเกลาให้ละคลาย ให้เบาบาง จนกระทั่งสามารถดับได้เป็นสมุจเฉท ซึ่งการที่จะ ละคลายขัดเกลาอกุศลให้เบาบาง เป็นสิ่งที่ละเอียด และยาก แม้แต่ในเรื่องของเมตตา ถ้าท่านสามารถรู้ลักษณะของเมตตาจริงๆ ซึ่งต่างกับลักษณะของโลภะ เพราะลักษณะของโลภะเป็นอกุศล หนัก และเดือดร้อน ดิ้นรน กระสับกระส่าย ไม่สงบ ไม่ว่าโลภะจะเกิดขึ้นในขณะไหน ก็ทำให้จิตกระสับกระส่าย หวั่นไหว เดือดร้อนมากหรือน้อยตามกำลังของโลภะ แต่ถ้าเป็นเมตตา ต้องเป็นลักษณะของกุศลที่เบา และสบาย ไม่เดือดร้อน ไม่กระสับกระส่าย มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อนจริงๆ ทั้งทางตา ทางหูด้วย ไม่ใช่เฉพาะทางใจ เพียงแค่นึก

    ทางตาต้องเห็นแน่นอน และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ กัน ทางหู คำพูดของแต่ละคนก็ต่างกันอีก เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินเสียงของบุคคลต่างๆ ขณะนั้นสามารถรู้ได้ว่า ประกอบด้วยเมตตา หรือไม่ประกอบเมตตาในบุคคลที่ ใช้คำพูดต่างๆ เหล่านั้น

    นี่เป็นการอบรมเจริญเมตตาจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีตาเห็น มีหูได้ยิน สัตว์บุคคลต่างๆ อยู่ตลอดเวลา และควรจะเป็นผู้ไม่อิ่มในการอบรมเจริญเมตตา ให้มีมากขึ้น ถ้ารู้ว่าสามารถที่จะมีเมตตากับบุคคลนี้ได้ ก็ไม่ควรที่จะพอใจเพียงมีเมตตากับบุคคลนี้ได้ แต่กับบุคคลอื่นๆ ก็ยังสามารถมีความรู้สึกเป็นเพื่อน มีความรู้สึกสนิทสนมทันทีที่เห็น มีความรู้สึกเหมือนเห็นเพื่อน เห็นมิตรสหาย ไม่ใช่เห็นศัตรู ไม่ว่าจะเห็นใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชาติชั้นวรรณะภาษาใด ก็ต้องมีความรู้สึกที่ประกอบด้วยเมตตาในขณะที่เห็น หรือในขณะที่ได้ยิน ได้ไหมอย่างนี้ ได้หรือยัง

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวว่า ต้องไม่อิ่มในความเมตตา เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร ที่ว่ายังไม่อิ่ม เราจะเมตตากับคนทั่วๆ ไป เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกเวลาเห็นบุคคลอื่นเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ถ้าเห็นคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ก็ผ่านไป ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แต่บางครั้งเดินสวนกันอย่างนี้ บางทีไม่แน่เหมือนกัน เห็นหน้าแล้วชอบใจก็มี ไม่ชอบใจก็มี แต่ส่วนมากเห็นหน้าคนที่ไม่รู้จักกัน ก็เฉยๆ

    ท่านอาจารย์ เฉยๆ ในขณะนั้นจิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง อาจจะเป็นโมหะก็ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญเมตตา ต้องเป็นผู้ที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ จึงจะเป็นกุศล ขณะใดที่สติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิตในขณะนั้น กุศลก็เจริญไม่ได้

    ผู้ฟัง ถ้าเราอยู่ในบ้านคนเดียว เราจะเจริญเมตตาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คิดหรือเปล่า ถึงคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง

    ผู้ฟัง บางครั้งอดที่จะท่องไม่ได้ ส่วนใหญ่ถ้าคิดถึงแล้วต้องท่อง คือ การท่องผมยังคิดว่า เป็นประโยชน์ ในตำราท่านก็ให้ท่อง ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่า ในขณะที่ท่องนั้นไม่ใช่จะมีสติสัมปชัญญะทุกครั้งไป ท่านก็รู้ และท่านห้ามการแผ่เมตตาเจาะจงให้ผู้หญิง แผ่เจาะจงไปให้ผู้หญิงคนเดียวไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ แผ่อีกแล้ว ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า แผ่ ก่อน เวลาที่ปฐมฌานเกิด โดยที่มีนิมิตของกสิณเป็นอารมณ์แล้วจึงแผ่ได้ เพราะมีความชำนาญ และจิตสงบ โดยสามารถขยายนิมิตนั้น ทำให้เป็นผู้ที่มีความชำนาญในการเข้า ในการนึกถึง ในการออก ในการพิจารณาสำหรับกสิณ แต่สำหรับเมตตาที่จะแผ่ไปอย่างนั้นได้ จะต้องได้ถึงปฐมฌาน หรือว่าอัปปนาสมาธิก่อน เพราะฉะนั้น เวลาที่ท่านผู้ฟังบอกว่า ท่านอดท่องไม่ได้ ท่อง คือ คิด ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับความคิดได้

    ลองเปรียบเทียบกับการเจริญสติปัฏฐาน ถ้ากล่าวว่า ขอให้บรรลุมรรคผลนิพพานๆ เพียงกล่าวอย่างนี้จะบรรลุมรรคผลนิพพานไหม ฉันใด ถ้าเพียงแต่ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข เพียงแต่กล่าวอย่างนั้น สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจะมีความสุขไหม เวลาเห็นสัตว์ หรือบุคคลสักคนหนึ่งก็โกรธ

    ผู้ฟัง เป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะท่องเหมือนอย่างท่องว่า ขอบรรลุมรรคผลนิพพานไหมหรือว่าเมื่อเข้าใจแล้วว่าสติมีลักษณะอย่างไร ไม่ต้องขอ สติระลึกรู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไม่ต้องขอ นั่นเป็นเหตุที่จะทำให้รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ฉันใด เวลาที่เห็นใคร หรือแม้แต่นึกถึงใคร เพราะว่าวันหนึ่งๆ ก็ต้องมีการนึกถึง คือ นึกถึงเพื่อนบ้าง นึกถึงญาติบ้าง นึกถึงศัตรูบ้าง นึกถึงผู้ที่เป็นที่รักที่พอใจบ้าง ซึ่งปัญญาต้องรู้ในขณะนั้นว่า เป็นโลภะ หรือว่าเป็นเมตตา และถ้าท่านจะเป็นผู้อบรมเจริญเมตตาจริงๆ เมตตาซึ่งเป็นฝ่ายกุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นแม้ในบุคคลซึ่งเคยเป็นที่รัก แทนโลภมูลจิต

    เพราะฉะนั้น ต้องค่อยๆ อบรมไปทีละเล็กทีละน้อย โดยการรู้ลักษณะสภาพของเมตตาจริงๆ เพราะการอบรมเจริญภาวนา มีข้อความใน อัฏฐสาลินี ว่า

    อธิบายนิทเทส ปฏิสังขานพลทุกะ วินิจฉัยในนิทเทสแห่งภาวนาพละว่า คำว่า ภาวนา การเจริญ ได้แก่ การเพิ่มขึ้น คำว่า พหุลีกมฺมํ การทำให้มาก ได้แก่ การทำบ่อยๆ

    ภาวนา คือ การเจริญ ได้แก่ การเพิ่มขึ้น

    เวลาที่นึกถึงใคร สติสัมปชัญญะต้องเกิด เพื่อที่จะรู้ว่า ขณะนั้นจิตที่นึกถึงบุคคลนั้นเป็นโลภมูลจิต หรือว่าเป็นโทสมูลจิต หรือว่าเป็นเมตตา นั่นเป็นการอบรมเจริญเมตตาจริงๆ แต่ถ้าท่อง ก็เหมือนขอให้บรรลุมรรคผลนิพพาน

    ผู้ฟัง การท่อง ไม่ใช่การขอ การท่องประโยชน์มีอยู่ คือ ขณะที่ท่อง ขณะนั้นไม่หลงลืม

    ท่านอาจารย์ เวลาที่นึกถึงเรื่องอื่น ก็ไม่หลงลืม ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ บางครั้งถ้าเรานั่งอยู่คนเดียว ถ้าไม่ได้ท่องบางครั้งอาจจะหลงลืม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร หลงลืม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้คิดถึงอะไร เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เป็นไปได้หรือ ที่จะไม่คิดถึงใครในวันหนึ่งๆ

    ผู้ฟัง บางครั้งเป็นไปได้ บางครั้งนั่งแล้วคล้ายๆ ลักษณะที่เลื่อนลอย

    ท่านอาจารย์ มีท่านผู้ฟังให้ความเห็นที่ดี คือบอกว่า บางทีไม่ได้คิดถึงบุคคล แต่คิดถึงเรื่องของบุคคลนั้น

    ผู้ฟัง อาจจะมี

    ท่านอาจารย์ นั่นคือ คิดถึงบุคคลแล้ว ในขณะที่คิดถึงเรื่อง อ่านหนังสือพิมพ์หรือเปล่า มีเรื่องของใครบ้าง

    ผู้ฟัง ขณะนั้นคิดด้วยความเลื่อนลอย

    ท่านอาจารย์ มิได้ ขณะนั้นควรจะเป็นคิดด้วยเมตตา นั่นคือ การเจริญเมตตา อย่ากล่าวว่าเลื่อนลอย เพราะขณะนั้นปกติเคยเป็นโลภะบ้าง เคยเป็นโทสะบ้าง เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ในขณะที่คิดถึงเรื่องของบุคคลนั้น ก็ควรที่จะคิดด้วยเมตตาแทนโลภะ หรือโทสะ

    ผู้ฟัง คิดด้วยเมตตา คิดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีจิตที่ปรารถนาดี เป็นมิตร ไม่เบียดเบียน คอยปกป้อง คุ้มครอง เอ็นดูในบุคคลนั้น

    ผู้ฟัง ก็ไม่พ้นจากคิดอีก

    ท่านอาจารย์ เรื่องของพรหมวิหาร ๔ เป็นเรื่องคิด แต่คิดด้วยกุศลจิต ประกอบด้วยเมตตา ไม่ว่าจะคิดถึงบุคคลนั้นในเรื่องอะไร ในข้อความอะไร จิตที่คิดนั้นประกอบด้วยเมตตา ไม่ใช่คิดที่จะเบียดเบียน ประทุษร้าย เอารัดเอาเปรียบ หรือว่ายกตนข่มบุคคลอื่น

    ผู้ฟัง แต่ในตำราที่ผมว่ายังไม่จบ

    ท่านอาจารย์ ในตำรานั้น หลังจากบรรลุอัปปนาแล้ว จึงจะแผ่ได้

    ผู้ฟัง คำว่า แผ่ ผมคิดว่า ขณะที่คิด เรียกว่าแผ่ หรือเรียกว่าคิด ก็อย่างเดียวกัน คือ คิดว่าขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร

    ท่านอาจารย์ ทำไมต้องสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง นั่นมากเหลือเกิน

    ผู้ฟัง บางครั้งอยู่ในสถานที่หนึ่งสถานที่ใด มีบุคคลมากๆ ก็ขอให้บุคคลทั้งหลายในบริเวณนั้นจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน คิดอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้า ไม่มีคน นั่งอยู่คนเดียว บางทีอาจจะคิดถึงคนนั้นๆ หรือบางทีก็แผ่ไปจนที่สุด ก็แล้วแต่ เรียกว่าคิดไป แต่จุดประสงค์ไม่ใช่ต้องการฌานจิต จุดประสงค์ คือ ขณะที่คิด ขณะนั้นจิตเป็นกุศลมาแทนอกุศล ถ้าไม่ได้คิด จิตก็เป็นอกุศลตลอด แต่ถ้าคิดว่า ขอบุคคลทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีเวร ขณะนั้นจิตก็ยังเป็นกุศลมาแทนอกุศล

    ท่านอาจารย์ แน่ใจหรือ

    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่

    ท่านอาจารย์ ดิฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องให้นึกว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง โดยที่ไม่พิจารณาสภาพของจิตที่เป็นปกติประจำวันว่าเคยคิดถึงใคร และพิจารณาให้ชัดเจนว่า ในขณะที่กำลังคิดถึงบุคคลนั้น จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก่อน

    ผู้ฟัง นั่นยากกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะนั่นเป็นการท่อง จึงง่าย แต่การอบรมเจริญเมตตาจริงๆ ยาก ไม่ง่ายเลย อย่าคิดว่าการอบรมเจริญเมตตาเป็นเรื่องที่ง่าย ที่จะสำเร็จได้โดยเพียงการท่อง แต่จะต้องเป็นผู้ที่รู้ลักษณะของจิตพร้อมสติสัมปชัญญะจริงๆ ในชีวิตประจำวันตามปกติว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ไม่ท่องไม่ได้ เบื้องต้นจำเป็นต้องท่อง เรื่องท่องเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ขอเปรียบเทียบกับที่ท่านผู้ฟังบางท่านกล่าวว่า การอบรมเจริญ สติปัฏฐานนั้นต้องนึกเสียก่อนว่า ในขณะที่กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ และสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งสามารถจะปรากฏทางตา หรือท่านคิดว่าท่านจะต้องท่องว่า ในขณะที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ สภาพที่กำลังรู้เสียง ได้ยินเสียง กำลังมีสภาพได้ยินจริงๆ ให้พิสูจน์ สภาพที่กำลังรู้เสียง ได้ยินเสียง เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง และเสียงเป็นรูปที่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย บางท่านกล่าวว่า ท่านต้องท่อง และท่านคิดว่า การท่องมีประโยชน์มาก จำเป็นที่จะต้องท่องเสียก่อน

    ขอให้พิจารณาให้ดีว่า ท่านไม่สามารถที่จะหยุดคิด แต่อย่าเข้าใจว่า ท่านต้องคิด ไม่ใช่มีกฎว่า คิดดี ให้คิด เพราะถ้าท่านเข้าใจอย่างนั้น ท่านจะคิดตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่า การคิดนั้นดี ท่านจึงได้แต่คิดว่า ในขณะที่กำลังเห็นทางตาเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นแต่เพียงสภาพของรูปธรรมที่สามารถจะปรากฏทางตา หรือเวลาที่ได้ยินเสียง ท่านก็คิดว่า ต้องท่องก่อน การท่องมีประโยชน์มาก ท่านก็ท่อง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ท่านควรที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยว่า แม้การคิดก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นบ่อยกว่าสัมมาสติที่ระลึกถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรมที่กำลังปรากฏ

    คำว่า สัมมาสติ ทุกท่านก็รู้คำแปล สัมมา แปลว่าถูก แปลว่าชอบ สติ เป็นสภาพที่ระลึกรู้ เพราะฉะนั้น สัมมาสติ ท่านก็แปลได้ว่า ได้แก่ สภาพธรรมที่ระลึกชอบ ระลึกถูก ทุกคนรู้ความหมายนี้ แต่ว่าระลึกถูกอะไร ระลึกชอบอะไร

    กำลังเห็น รูปธรรมที่ปรากฏทางตาไม่ใช่นามธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ สัมมาสติ ระลึกถูกลักษณะของนามธรรม เวลาที่ระลึกลักษณะที่เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น สัมมาสติระลึกถูกลักษณะของรูปธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่อาการเห็น ไม่ใช่ธาตุเห็น ขณะนั้นเป็นสัมมาสติที่ระลึกถูก ระลึกชอบ ตรงตามลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    แต่ท่านท่อง เพราะคิดว่าท่านต้องท่อง ท่านผู้ใดที่คิดว่าต้องท่อง ท่านก็ท่อง แทนที่สัมมาสติจะเกิดขึ้นระลึกถูกตรงลักษณะของนามธรรม ระลึกถูกตรงลักษณะของรูปธรรม ซึ่งถึงแม้ว่าท่านจะได้ยินอย่างนี้บ่อยๆ สักร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง สัมมาสติก็ไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะท่านคิดว่า ท่านจำเป็นต้องท่อง และเวลาที่ท่านยึดติดในความคิดที่เป็นแบบฉบับอย่างนี้ ท่านก็ท่องอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าท่านพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เป็นอนัตตา รู้ว่าความคิดที่คิดอย่างนั้นก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะในขณะนั้นสัมมาสติยังไม่ได้ระลึกถูกตรงลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม เป็นแต่เพียงขั้นคิดถึงเรื่อง ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้ามีปัญญาที่พิจารณารู้อย่างนี้ ต่อไปแทนที่จะคิดถึงเรื่อง หรือท่อง ก็จะเป็นสัมมาสติขั้นที่ระลึกถูกลักษณะของนามธรรม หรือว่าระลึกถูกลักษณะของรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์ว่า ต้องท่อง แต่ให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บังคับไม่ได้ที่จะไม่ให้ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้น ซึ่งความคิดที่เกิดขึ้นอย่างนั้น ยังไม่ใช่สัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘ จนกว่าจะมีสภาพธรรมที่ระลึกถูกลักษณะของนามธรรม ระลึกถูกลักษณะของรูปธรรม และสัมมาทิฏฐิก็จะพิจารณาลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่สัมมาสติระลึก จนกว่าปัญญาจะรู้ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ฉันใด ถ้าท่านมีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องลักษณะของเมตตา วันหนึ่งๆ เห็นก็คิดแล้วถึงคนที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ชาติ ชั้นวรรณะ ภาษา หรือฐานะต่างๆ กิริยาอาการที่ปรากฏต่างๆ กัน ถ้าสติสัมปชัญญะระลึกรู้ลักษณะของจิตที่คิดในขณะนั้นจะรู้ว่า เป็นโลภมูลจิตที่คิด โดยปราศจากมานะ หรือว่าประกอบด้วยมานะ หรือว่าเป็นโทสมูลจิตที่คิด ประกอบด้วยความตระหนี่ หรือประกอบด้วยความริษยา ในขณะที่เห็นสัตว์นั้น บุคคลนั้น และ การอบรมเจริญ คือ การเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าเมตตาเกิดในขณะที่เห็นบุคคลหนึ่ง และสามารถที่จะเกิดเวลาที่เห็นบุคคลอื่น หรือคิดถึงบุคคลอื่นในชีวิตประจำวัน นั่นคือเมตตาเกิดเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น บ่อยขึ้น จนกว่าสามารถที่จะสงบได้จริงๆ

    ข้อสำคัญที่สุด สมถภาวนา คือ การอบรมเจริญความสงบ เพราะฉะนั้น ลักษณะของความสงบที่ประกอบด้วยเมตตา ต้องปรากฏให้รู้ในขณะนั้น ไม่ใช่นึกถึงคนอื่นแล้วเลื่อนลอย เลื่อนลอยมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้แล้วว่าเป็นอกุศลในขณะนั้น ซึ่งแทนที่จะให้เป็นอกุศล ก็เจริญเมตตาโดยนึกถึงบุคคลนั้นด้วยเมตตา

    ผู้ฟัง อาจารย์เปรียบเทียบกับการเจริญสติปัฏฐาน แรกๆ การท่องก็เป็นประโยชน์ เห็นครั้งหนึ่งก็ท่องว่า นี่สี เป็นสภาพที่ปรากฏได้ทางตา หรือท่องว่า นี่คือนามเห็น

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่สัมมาสติ ในมรรคมีองค์ ๘ และไม่ใช่กฎเกณฑ์ว่าต้องท่อง เพราะถ้าเป็นกฎเกณฑ์ บางท่านก็ยึดติดทันที แทนที่สัมมาสติจะระลึกถูกลักษณะของนามธรรม ถูกลักษณะของรูปธรรม ท่านผู้นั้นก็ท่อง เพราะคิดว่าการท่องเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ก็ท่องอยู่เรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ก็มีประโยชน์จริงๆ

    ท่านอาจารย์ มีประโยชน์ แต่ต้องรู้ว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัย ยังไม่ใช่สัมมาสติในมรรค มีองค์ ๘ และควรที่จะได้พิจารณาว่า อะไรมีประโยชน์กว่ากัน สัมมาสติที่เป็นสัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘ ที่ระลึกถูกในลักษณะของนามธรรม ระลึกถูกในลักษณะของรูปธรรม ในขณะที่ไม่ใช่ท่อง นั่นมีประโยชน์กว่าหรือเปล่า

    ผู้ฟัง แน่นอน แต่ว่าปัญญายังไม่ถึง

    ท่านอาจารย์ ไม่ถึง แสดงว่ามีเหตุปัจจัยให้คิด แต่ในขณะนั้นปัญญาต้องรู้ด้วยว่า ยังไม่ใช่สัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น ขณะใดมีปัจจัยที่จะให้สัมมาสติระลึกถูก ขณะนั้นจะทราบว่า ปัญญาที่จะอบรมเจริญขึ้นได้ คือ ในขณะที่สัมมาสติระลึกถูกลักษณะของนามธรรม หรือระลึกถูกลักษณะของรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่ท่อง

    ผู้ฟัง ถ้าท่องบ่อยๆ นานๆ จนสติเกิดบ่อยครั้ง มากครั้ง ก็พิจารณาของเขาเอง ด้วยความชำนาญของเขาเอง

    ท่านอาจารย์ ชำนาญในการคิด แต่ไม่ใช่ชำนาญที่สติจะระลึกถูกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าสติเกิดมากแล้ว ขณะที่คิดก็รู้ว่า เป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง รู้ได้เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่ควรที่จะเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่จะต้องกระทำ แต่ควรจะเข้าใจให้ถูกว่า ขณะที่คิดเกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จะคิดอย่างไรก็ตาม เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และปัญญารู้ต่างหากว่า นี่ไม่ใช่สัมมาสติที่ระลึกถูกในลักษณะของนามธรรมหรือในลักษณะของรูปธรรม ปัญญาที่รู้อย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ จะเป็นปัจจัยให้สัมมาสติระลึกถูกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่ถ้าท่องไปเฉยๆ อยู่เรื่อยๆ และคิดว่าขั้นการท่องมีประโยชน์ เมื่อเห็นว่า เป็นประโยชน์อย่างนี้แล้ว จะไม่มีสัมมาสติที่ระลึกถูกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าท่องบ่อยๆ จนกระทั่งสติเกิดบ่อยขึ้น วันหนึ่งจะรู้ได้ว่า สัมมาสติต้องเกิดขึ้นได้

    ท่านอาจารย์ ท่อง หรือพิจารณารู้ว่า ขณะที่กำลังท่องไม่ใช่สัมมาสติที่ระลึกถูก

    ผู้ฟัง เมื่อท่องไปบ่อยๆ ทีแรกๆ ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งๆ ท่องได้หลายๆ ครั้ง ก็หลงลืมกันไปเรื่อย ขณะที่ท่องได้ ขณะนั้นแสดงว่า ไม่ได้หลงลืม ขณะนั้นมีสติแล้ว จึงท่องได้

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่สัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘

    ผู้ฟัง ใช่ แต่ว่าขั้นแรก สติเมื่อเกิดบ่อยเข้าๆ ขณะที่ท่อง ขณะนั้นเขาก็ระลึกได้ว่า ลักษณะที่ท่องก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สัมมาสติก็จะเกิดต่อไป

    ท่านอาจารย์ แทนที่ท่านจะเสียเวลานานในการท่อง สัมมาสติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม แม้ว่าจะยังไม่ชัด แม้ว่าจะยังไม่ตรง แม้ว่าจะยังไม่ถูก แต่ก็เริ่มที่จะน้อมไปรู้ลักษณะของนามธรรมโดยที่ในขณะนั้นไม่ใช่ท่อง ย่อมดีกว่าที่จะคิดว่า ต้องท่องเสียก่อน หรือดีกว่าที่จะไปยึดติดว่า ท่องมีประโยชน์ แล้วแต่สติจะเกิด ถ้าเป็นสติที่เป็นสัมมาสติที่สามารถระลึกถูกลักษณะของนามธรรม ขณะนั้นดีที่สุดแล้ว

    ผู้ฟัง แน่นอน ถ้าระลึกได้ พิจารณาได้ว่า สภาพที่ปรากฏนั้นเป็นรูปหรือ เป็นนาม เป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ ปัญญาขั้นนี้ยังไม่ถึง

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ มีหลายอัธยาศัย เพราะฉะนั้น ถ้าได้เข้าใจให้ถูกต้องว่า สัมมาสติมีลักษณะอย่างไร แม้ว่าในตอนแรกๆ ยังไม่ชำนาญ ยังไม่คล่อง แต่ก็ยังรู้ลักษณะที่จะน้อมไประลึก เพื่อที่จะรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมที่กำลังเห็น หรือที่กำลังได้ยิน แม้ว่ายับยั้งการคิดไม่ได้ แต่อย่าไปยึดถือว่าเป็นประโยชน์จนกระทั่งเป็นกฎเกณฑ์ว่า จะต้องคิดมากๆ เพื่อที่จะได้เป็นสัมมาสติในภายหลัง

    ผู้ฟัง ผมฟังแล้วรู้สึกว่า เป็นการอยากได้ปรมัตถ์ แต่ว่าพลาดไปได้บัญญัติ โดยเข้าใจว่าบัญญัติเป็นปรมัตถ์ ที่บอกว่าท่อง ฟังแล้วเหมือนกับว่า ยังเข้าใจภาวะของสัมมาสติไม่พอ เหมือนกับที่ว่า เห็นหนอ เห็นหนอ ยุบหนอ พองหนอ ท่องทำนองนี้ ท่องให้ตายก็ยังเป็นบัญญัติอยู่วันยังค่ำ ผิดเป้าหมายของการเจริญ สติปัฏฐาน และถ้าคลาดเคลื่อนจากทางนี้ไป เข้าใจว่าจะไปไกล แต่ไปเพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ที่หวังปรารถนาจิตที่มีเมตตา หรือเป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลเกิดได้แสนยากจริงๆ เพราะถ้าจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นแล้ว ผมมักจะเห็นในสติปัฏฐาน ถ้าไม่เห็นใน สติปัฏฐานก็ยากที่จะตัดสินว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์บรรยาย ต้องมีสาเหตุจากการได้ยิน ได้ฟัง อะไรต่างๆ นี้ เป็นสาเหตุ ถ้าคนไม่มีสติ ได้ยินโดยมากก็ขาดสติ ตัวอย่างเช่น ผมนั่งรถมา รถมอเตอร์ไซค์วิ่งแซงหน้าแซงหลัง ได้ยินเสียงแล้วหนวกหู ความโกรธเกิดขึ้น ไม่มีเมตตา แต่เมื่อสติเกิดขึ้น นึกขึ้นว่า ขออย่าให้เขาไปชนอะไรเลย เป็นลักษณะของเมตตาที่เราอบรมไว้ แม้กระทั่งได้ยิน ได้เห็น อะไรพวกนี้ ต้องประกอบด้วยสติ มิฉะนั้น ความเมตตาก็ไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญความสงบ อย่างเมตตาภาวนา เป็นต้น จะต้องประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ และข้อสำคัญ คือ ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ถ้าเมตตาไม่สามารถจะเกิดได้กับบุคคลหนึ่ง จะไปถึงขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ใน วิสุทธิมรรค มีชัดเจนเรื่องของการแผ่เมตตา ซึ่งขอกล่าวถึงการอบรมเจริญเมตตาจนกระทั่งบรรลุอัปปนาแล้ว ข้อความมีว่า

    ก็พระโยคีนั้นมีใจไปร่วมกับเมตตา ด้วยสามารถปฐมฌานเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง แผ่ไปทั่วทิศหนึ่งอยู่ ทั่วทิศที่ ๒ ก็เหมือนกัน ทั่วทิศที่ ๓ ก็เหมือนกัน ทั่วทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ทั้งทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง และทิศกว้าง ก็แผ่ไปโดยนัยนี้ พระโยคีแผ่ไปตลอดโลก ซึ่งมีสัตว์ทุกหมู่เหล่า



    หมายเลข 3
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ