แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 259


    ครั้งที่ ๒๕๙


    เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ลักษณะของสติ รู้ได้ว่า ในขณะนั้นเป็นผู้ที่กำลังรู้ในสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ขณะที่กำลังฆ่าสัตว์ เป็นตัวตนหรือเปล่า ไม่มีตัวตนจะฆ่าได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะกล่าวได้อย่างไรว่า ผู้ที่กำลังฆ่าสัตว์ ขณะนั้นสติระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม

    ด้วยเหตุนี้ การเจริญสติปัฏฐานจึงมีทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ในมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่ว่าจะขาดศีลไป ศีลก็มี การที่สติสังวร ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมโดยไม่กระทำทุจริตกรรม เป็นผู้ที่มีศีล ๕

    สำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลจะไม่ล่วงศีล ๕ เลย ถ้าเป็นคฤหัสถ์ ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ ไม่มีเจตนาที่จะถือเอาวัตถุที่บุคคลอื่นไม่ได้ให้ ไม่มีเจตนาที่จะประพฤติผิดในกาม ไม่มีเจตนาที่จะกล่าวมุสา ไม่มีเจตนาที่จะดื่มสุราเมรัย ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้หลงลืมสติ นี่คือคุณธรรมของผู้ที่เป็นพระโสดาบัน

    และก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน ที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ในขณะที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้กล่าวมุสา ไม่ได้มีเจตนาที่จะดื่มสุราเมรัย เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจเรื่องลักษณะของสติยังไม่ถูกต้อง ขอให้ทราบว่า ในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ นั้น การสังวร ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะนั้นจะทำให้ละทุจริตกรรม หรือละการที่จะประพฤติผิดในศีล ๕ ด้วย

    มีกล่าวไว้ไหมว่า ผู้ที่รักษาศีล ๕ เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ไม่มี และผู้ที่จะสมบูรณ์ด้วยศีล ๕ นั้น คือ ผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ในการเจริญสติปัฏฐาน การสังวร คือ การระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะไม่ทำให้บุคคลนั้นประพฤติทุจริตล่วงศีล ๕ ในขณะที่กำลังระลึกรู้สภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม

    แต่วันหนึ่งๆ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมมากไหม และขณะที่เผลอไป เป็นทุจริตไปเสียแล้ว คือ ขณะที่เผลอ ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ข้อสำคัญที่สุด คือ จะต้องรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรม โดยละเอียด โดยทั่ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าเว้น ไม่ระลึก ไม่รู้ ไม่เจริญ ไม่อบรม จะละคลายการที่เคยยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้อย่างไร ถ้าขณะที่ประกอบกิจการงาน กลัว ไม่กล้า ที่จะให้สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น การกลัว การไม่กล้านั้น เป็นอวิชชา เป็นอกุศล หรือว่าเป็นปัญญา ซึ่งถ้าไม่ใช่การกระทำทุจริตแล้ว ขณะนั้นสติสามารถที่จะระลึกรู้สภาพของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติตามความเป็นจริง เพื่อที่จะละความเป็นตัวตนได้ แต่ขณะที่กระทำทุจริตกรรม ขณะนั้นถูกครอบงำ ย่ำยี ท่วมท้นด้วยอกุศลธรรมแล้ว จึงสามารถกระทำทุจริตกรรมนั้นจนสำเร็จลงไปได้

    . ที่นางวิสาขาซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้วนั้น ยังยินดีในการเสพเมถุนอยู่ อย่างนี้จะเรียกว่า พระนางเจริญสติอะไร

    สุ. วิสาขามหาอุบาสิกา เป็นพระโสดาบันในเพศของคฤหัสถ์ ไม่ล่วงศีล ๕ เลย ตามขั้นของคุณธรรม แต่ยังมีความต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ว่ายิ่งเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานมากเท่าไร ก็จะละความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะอย่างหยาบได้ นี่เป็นคุณธรรมของพระสกทาคามีบุคคล และเมื่อผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระสกทาคามี และอบรมเจริญสติปัฏฐานต่อไป จนปัญญารู้แจ้งอริยสัจธรรม บรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล ผู้นั้นก็ดับความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการครองเรือนอีกเลย เป็นพระอนาคามีบุคคล ท่านยังอยู่ในบ้าน ยังไม่ต้องละอาคารบ้านเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต สำหรับผู้ที่เป็นพระอนาคามีบุคคล

    ต่อเมื่อใดท่านเจริญอบรมสติปัฏฐาน จนกระทั่งปัญญารู้แจ้งในอริยสัจธรรม บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว วิสัยของผู้ที่ไม่มีอนุสัยกิเลสเลย ย่อมไม่ใช่วิสัยของผู้ที่จะปะปนอยู่กับเรื่องของการครองเรือนอีกต่อไป ท่านก็ละการเป็นผู้ครองเรือนในเพศของคฤหัสถ์โดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉท โดยคุณธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นครั้งๆ คราวๆ กลับไปกลับมาด้วยการที่ไม่รู้จริง

    ตามที่เคยกล่าวถึง ใน นขสิขสูตร พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาฝุ่นเล็กน้อยที่ทรงช้อนขึ้นไว้ที่ปลายเล็บ กับมหาปฐพี สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ อุปมาเหมือนฝุ่นเล็กน้อยที่ทรงช้อนขึ้นไว้ที่ปลายเล็บ ส่วนผู้ที่ไปเกิดในกำเนิดอื่นนอกจากมนุษย์นั้น เทียบกันก็เหมือนกับมหาปฐพี ทรงโอวาทให้เป็นผู้ที่ไม่หลงลืมสติ

    พระธรรมเทศนาทั้งหมด เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วทุกๆ ขณะ แม้ในขณะนี้ เพราะถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็เป็นการหลงลืมสติ และเมื่อหลงลืมสติ ก็สะสมกิเลสไว้มาก การขัด การละก็ยากขึ้น โอกาสที่จะเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมที่จะไปสู่กำเนิดอื่นก็มีมากขึ้น แต่ว่าผู้ที่เห็นคุณของ พระธรรม และเห็นประโยชน์ของการเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่ละเว้นโอกาสที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรม อย่างมหาอำมาตย์ ชื่อนันทกะ พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงคุณธรรมของพระอริยสาวกให้ท่านฟัง แม้ว่าท่านจะเป็นมหาอำมาตย์ของเจ้าลิจฉวี แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าบุคคลนั้นจะประกอบกิจการงานอย่างใดก็ตาม ก็ควรเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ธนัญชานิสูตร มีข้อความที่ท่านพระสารีบุตรแสดงธรรมกับธนัญชานิพราหมณ์ว่า กำเนิดดิรัจฉานดีกว่านรก เปตวิสัยดีกว่า ดิรัจฉาน มนุษย์ดีกว่าเปตวิสัย เทวดาดีกว่ามนุษย์

    สำหรับอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิ ก็ย่อมจะปฏิสนธิในนรกบ้าง หรือว่าในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง หรือว่าปิติวิสัย คือ เปรตบ้าง ซึ่งเป็นภูมิที่ไม่สามารถจะเจริญกุศลธรรมจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะรู้ได้ว่าจะสิ้นชีวิตลงเมื่อไร ขณะใด เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการที่จะระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้วอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ ก็อาจจะทำให้ปฏิสนธิในนรก หรือว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้

    ท่านจะเห็นความวิจิตรของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว การฆ่าสัตว์ก็ดี การถือเอาสิ่งของที่บุคคลอื่นไม่ได้ให้ก็ดี เหล่านี้เป็นต้น ที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งก็ไม่ทราบความวิจิตรของกรรมว่า จะทำให้ปฏิสนธิในนรก หรือว่าจะทำให้ปฏิสนธิในกำเนิดดิรัจฉาน สำหรับในภูมิมนุษย์ก็ยังเห็นสัตว์ดิรัจฉาน จะปฏิเสธได้ไหมว่า ไม่มี สัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีกำเนิดดิรัจฉาน ก็ไม่ได้ แม้ในโลกนี้ ก็มีภูมิมนุษย์ และมีภูมิสัตว์ดิรัจฉานด้วย

    การที่เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ใช่กุศลกรรม การเกิดในนรกก็เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ไม่มีผู้ใดทราบความวิจิตรของกรรมที่ท่านได้กระทำแล้วว่า หลังจากจุติจิต สิ้นสุดความเป็นมนุษย์ในโลกนี้แล้ว อกุศลกรรมนั้นจะทำให้ปฏิสนธิในนรก หรือว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน แต่ว่าเหตุ คือ อกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นมีอยู่ ถ้าให้ผลทำให้ปฏิสนธิ ก็จะปฏิสนธิในอบายภูมิ

    สำหรับกำเนิดของนรก กับกำเนิดของดิรัจฉานนั้น ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า การเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานมีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าในภูมินรก สัตว์ดิรัจฉานที่มีความสุข ความสบายตามสมควรแก่สภาพของสัตว์ดิรัจฉานมีไหม มี ยังเป็นไปได้ ยังได้รับอิฏฐารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายได้ แต่เพราะเหตุว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ปฏิสนธิด้วยจิตที่ไม่ใช่ผลของมหากุศล เพราะฉะนั้น แม้ว่าสัตว์ดิรัจฉานนั้นจะเห็นอิฏฐารมณ์ แต่การที่จะพิจารณา เจริญธรรม เจริญกุศล ให้มีกุศลเพิ่มพูนขึ้นอย่างมนุษย์นั้น ก็เป็นสิ่งที่เทียบกันไม่ได้กับผู้ที่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์

    . ทำไมสัตว์ดิรัจฉานจึงไม่สามารถจะประพฤติปฏิบัติธรรมได้เหมือนอย่างมนุษย์

    สุ. มนุษย์ฟังธรรมรู้เรื่อง เข้าใจในเหตุผลของธรรม สัตว์ดิรัจฉานรู้ไหมว่า ธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้มีความหมายว่าอะไร ได้ยินเสียง อาจจะมีสัญญาความจำที่ทำให้รู้ความหมายของเสียงบางคำ ถ้าท่านเป็นผู้ที่เลี้ยงสัตว์ ท่านสั่งให้ไป ท่านสั่งให้มา หรือว่าให้กินอาหาร สัตว์เหล่านั้นก็ยังรู้เรื่อง มีสัญญาความจำในเสียงที่เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะทำให้รู้ความหมายของเสียงนั้น บางเสียง บางคำ สัตว์รู้ สัตว์เข้าใจได้

    แต่ว่าธรรมที่กำลังได้ยิน ผู้ที่เป็นมนุษย์ฟังแล้วก็เข้าใจ รู้ความหมาย สามารถที่จะพิจารณา เข้าใจในเหตุผลของธรรมนั้นได้ แต่สัตว์ดิรัจฉานไม่สามารถที่จะรู้เรื่องได้ การเกิดเป็นผลของอกุศลกรรม ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบากจิต ไม่ประกอบด้วยสติ ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ไม่ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะที่เป็นโสภณเจตสิก เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพื้นของจิตที่จะทำให้เจริญกุศลยิ่งขึ้นได้ แต่ผู้ที่ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ เป็นผลของมหากุศล ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิต มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมกับปฏิสนธิจิตมาก ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นนั้น เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยมีทั้งสติ มีทั้งหิริ มีทั้งโอตตัปปะ และโสภณเจตสิกอื่น เป็นพื้นจิตที่ดี เป็นปัจจัยทำให้สติเกิดอีกได้ ศรัทธาเกิดอีกได้ หิริเกิดอีกได้ โอตตัปปะเกิดอีกได้

    สำหรับสัตว์ดิรัจฉานนั้น ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบาก พื้นจิตไม่ประกอบด้วยสติ ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ไม่ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีพื้นจิตที่จะเป็นปัจจัยทำให้กุศลธรรมเจริญงอกงามยิ่งขึ้น แล้วแต่การสะสมของจิต ความวิจิตรของจิต บางทีเป็นสัตว์ที่พอจะรู้ความมาก ก็สามารถที่จะมีกุศลจิตเกิดได้บ้าง แต่ว่าสัตว์บางประเภท บางชนิดนั้น ก็มากไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ

    สำหรับกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน แม้มีอยู่ในโลกร่วมกับมนุษย์ เห็นได้จริงๆ ว่า เป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำให้เป็นสัตว์ดิรัจฉาน และไม่สามารถที่จะสะสมกุศลให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นมากๆ ได้ อย่างเวลาที่ท่านผู้ฟังเห็นพระพุทธรูป และเครื่องบูชาสักการะต่างๆ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น ผู้ที่เป็นมนุษย์รู้คุณของพระธรรม ก็ยังสามารถที่จะพิจารณาถึงพระพุทธคุณได้ว่า แม้ว่าบุคคลจะน้อมนำเครื่องบูชาสักการะมากมายสักเท่าไรมาบูชา ทั้งดอกไม้ธูปเทียนเครื่องที่ประณีตวิจิตรต่างๆ ก็ตาม แต่พระผู้มีพระภาคทรงบริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวง ไม่หวั่นไหวเลยในลาภสักการะที่บุคคลทั้งหลายนำมาบูชา เพราะเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จริงๆ ถ้าท่านผู้ฟังจะสังเกตพระพักตร์ของพระพุทธรูป และพิจารณาถึงพระคุณธรรมที่เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด แม้ว่าจะทรงแวดล้อมด้วยเครื่องบูชาสักการะต่างๆ ก็ไม่ทรงหวั่นไหว แต่ว่าสัตว์ดิรัจฉานสามารถที่จะน้อมระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคที่เป็นพระบริสุทธิ์คุณ พระปัญญาคุณ และพระกรุณาคุณอย่างนี้ได้ไหม

    . สำหรับเครื่องสักการะบูชา เช่น ดอกไม้ก็ดี หรือว่าของหอมต่างๆ ก็ดีใครเป็นคนแรกที่นำมาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่ได้ตรัสรู้เป็น พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นคนแรก

    สุ. เรื่องเครื่องบูชาว่าใครเป็นคนแรก คงจะไม่ทราบ แต่ว่าผู้ใดก็ตามที่เกิดศรัทธา น้อมนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาบูชา เป็นการแสดงความเคารพสักการะ ถึงแม้จะไม่ใช่ดอกไม้ธูปเทียน จะเป็นวัตถุสิ่งอื่นก็ได้ จะเป็นโภชนาหาร หรือว่าจะเป็นเครื่องลาดเครื่องนอน หรืออะไรๆ ก็ได้ สามารถที่จะน้อมมาถวายเป็นเครื่องบูชาได้ แต่ว่าผู้ที่บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส จะไม่หวั่นไหวไปในเครื่องสักการะบูชาทั้งหลายเลย ทรงมีจิตอนุโมทนาในกุศล แต่ว่ากุศลที่พระองค์จะทรงอนุโมทนายิ่ง คือ การเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นการขัดเกลากิเลสของบุคคลนั้น

    ถ้าท่านจะพิจารณาชีวิตในวันหนึ่งๆ และเทียบเคียงกำเนิดของมนุษย์ กำเนิดของสัตว์ดิรัจฉาน จะเห็นได้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ในเรื่องที่สามารถจะเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้นได้ ถ้าเป็นการเกิดเป็นดิรัจฉาน ซึ่งท่านก็มองเห็นอยู่ ว่า เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่สามารถที่จะเจริญยิ่งขึ้นในพระธรรมวินัย แม้ว่าจะไม่ต้องทรมานอย่างสาหัสเหมือนอย่างในนรก

    เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นมนุษย์ที่มีความทุกข์ยากลำบาก ก็อย่ามีความท้อถอยหรือว่าอย่าสิ้นหวัง เพราะเหตุว่าถ้าจุติจิตทำให้ท่านสิ้นสุดความเป็นมนุษย์ในโลกนี้แล้ว และท่านยังไม่เป็นพระอริยบุคคล ท่านก็ไม่สามารถจะทราบได้ว่า อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วแม้ในชาตินี้และในชาติก่อนๆ นั้น จะทำให้ปฏิสนธิในนรก หรือในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านมีความรู้สึกว่า การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะกลับไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานอีกได้หรือ เพราะท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังว่า มนุษย์นั้นวิวัฒนาการมาจากสัตว์ดิรัจฉาน เพราะฉะนั้น ก็มีความสงสัยว่า เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ยังจะกลับไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานได้อีกหรือ

    ท่านผู้นั้นเห็นความต่างกันเพียงรูปร่างกาย ที่ทำให้ท่านกำหนดว่า สิ่งที่ท่านเห็นปรากฏนั้นเป็นสัตว์ประเภทใด รูปร่างกายอย่างนี้เป็นมนุษย์ แต่ว่าโดยสภาพปรมัตถธรรมแล้ว สัตว์ดิรัจฉานที่มีจักขุปสาทก็เห็น มนุษย์ที่มีจักขุปสาทก็เห็น เป็นนาม เป็นรูป แต่ว่ากรรมตบแต่งทำให้รูปร่างกายนั้นวิจิตรต่างกันออกไป แต่ว่าโดยสภาพที่เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นบุคคลแล้ว สัตว์ดิรัจฉานก็เป็นนามธรรมและรูปธรรม มนุษย์ก็เป็นนามธรรมและรูปธรรม เทพ เทวดาก็เป็นนามธรรมและรูปธรรม รูปพรหมก็เป็นนามธรรมและรูปธรรม อรูปพรหมก็เป็นนามธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ในลักษณะสภาพของนามธรรมและรูปธรรมแล้ว จะเห็นว่า สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้น ก็คือ นามธรรมและรูปธรรมที่วิจิตรต่างๆ กัน ตามความวิจิตรของการสะสมของนามธรรม



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๒๖ ตอนที่ ๒๕๑ – ๒๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 37
    28 ธ.ค. 2564