แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 281


    ครั้งที่ ๒๘๑


    นางเปรตนั้นตอบว่า

    เมื่อก่อนฉันเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย ไม่เคารพท่าน พูดคำชั่วหยาบกับท่านจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก

    นันทเสนถามว่า

    เอาล่ะเราจะให้ผ้านุ่งแก่ท่าน ขอท่านจงนุ่งผ้านี้แล้วจงมา เราจักนำท่านไปสู่เรือน ท่านไปเรือนแล้วจักได้ผ้า ข้าว และน้ำ ทั้งจะได้ชมบุตรและลูกสะใภ้ของท่าน

    นางเปรตนั้นตอบว่า

    ผ้านั้นถึงท่านจะให้ที่มือของฉันด้วยมือของท่าน ก็ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่ฉันขอท่านจงเลี้ยงดูภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูตให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน เมื่อท่านทำอย่างนั้น ฉันจะมีความสุข สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง

    เมื่อนันทเสนอุบาสกรับคำแล้ว ได้ให้ทานเป็นอันมาก คือ ข้าว น้ำ ของกิน ของเคี้ยว ผ้าเสนาสนะ ร่ม ของหอม ดอกไม้ และรองเท้าต่างๆ แล้วเลี้ยงดูภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูตให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้นางนันทา

    ข้าว น้ำ และเครื่องนุ่งห่มอันเป็นวิบาก ย่อมบังเกิดในทันตานั้นนั่นเอง นี้เป็นผลแห่งทักษิณาในขณะนั้นนั่นเอง นางเปรตนั้นมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งห่มผ้าอันมีค่ายิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยรัตนาภรณ์อันวิจิตร เข้าไปหาสามี

    นันทเสนอุบาสกจึงถามว่า

    ดูกร นางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะงามอย่างนี้ อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้และโภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักแห่งใจย่อมเกิดแก่ท่าน เพราะกรรมอะไร

    ดูกร นางเทพธิดา ผู้มีอนุภาพมาก ฉันขอถามท่าน เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ อนึ่ง ท่านมีอนุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้เพราะกรรมอะไร

    นางนันทาเทพธิดาตอบว่า

    ข้าแต่ท่านนันทเสน เมื่อก่อนฉันชื่อนันทา เป็นภรรยาของท่าน ได้ทำกรรมชั่วช้าจึงไปจากมนุษย์โลกนี้สู่เปตโลก ฉันอนุโมทนาทานที่ท่านให้แล้ว จึงเป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ

    ดูกร คฤหบดี ขอท่านพร้อมด้วยญาติทั้งปวง จงมีอายุยืนนานเถิด

    ดูกร คฤหบดี ท่านประพฤติธรรม และให้ทานในโลกนี้แล้ว จะเข้าถึงถิ่นฐานอันไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลีอันเป็นที่อยู่ของท้าววสวัตตี ท่านกำจัดมลทินคือความตระหนี่ พร้อมด้วยลาภแล้วอันใครๆ ไม่ติเตียนได้ จักเข้าถึงสถานสวรรค์

    เรื่องของเปรตเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเปรตเป็นผู้ที่รู้กรรมของตน และได้กล่าวถึงกรรมของตนขณะที่มาปรากฏกายแก่มนุษย์ เนื่องจากมีเหตุที่จะให้ปรากฏไม่ใช่ว่าปรากฏโดยทั่วๆ ไป

    ใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ธนปาลเปตวัตถุ ไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลใด ถ้าทำอกุศลกรรมแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรตได้ทั้งนั้น สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของเศรษฐีที่ไปเกิดเป็นเปรต

    พวกพ่อค้าถามเปรตตนหนึ่งว่า

    ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง แน่ะเพื่อนยาก ท่านเป็นใครหนอ

    เปรตนั้นตอบว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นเปรต ทุกข์ยาก เกิดอยู่ในยมโลก ได้ทำกรรมอันลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก

    พวกพ่อค้าถามว่า

    ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือเพราะวิบากแห่งอะไรท่านจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก

    เปรตนั้นตอบว่า

    มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช ปรากฏนามว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่ในนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาลเศรษฐี

    ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคำ แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์มากมายเหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รักที่จะให้ทาน ปิดประตูแล้วจึงบริโภคอาหารด้วยคิดว่า พวกยาจกอย่าได้เห็นเรา ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าว่าพวกยาจก แล้วห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานทำบุญเป็นต้น ด้วยคำว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน

    ได้ทำลายสระน้ำ บ่อน้ำที่เขาขุดไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำและสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศ ข้าพเจ้านั้นมิได้ทำความดีไว้เลย ทำแต่ความชั่วไว้

    ถ้ามีความเห็นผิดว่า กรรมดีกรรมชั่วไม่มีผล ถึงตัวเองจะเป็นเศรษฐีมีเงินมากแต่ตระหนี่ไม่ให้ทาน และทำลายสระน้ำ บ่อน้ำที่เขาขุดไว้ ทั้งสวนดอกไม้ สวนผลไม้สมัยนี้คนที่ทำอย่างนี้ด้วยความเห็นผิดมีไหม

    ข้อความต่อไปมีว่า

    จุติจากชาตินั้นแล้ว บังเกิดเป็นปิตติวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหายตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายมาแล้วข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย การสงวนทรัพย์ คือ ไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศของสัตว์ทั้งหลาย ความเสื่อมก็คือการสงวนทรัพย์ ได้ยินว่าเปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวนทรัพย์คือการไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศ

    เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่เป็นอันมากก็ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผลแห่งกรรมของตน จึงเดือดร้อนในภายหลังพ้นจาก ๔ เดือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจักตาย จักไปตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส มีสี่เหลี่ยม ๔ ประตูจำแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกนั้น ล้วนแล้วไปด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้เป็นผลแห่งกรรมอันชั่วช้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะต้องไปเกิดในนรกอันเร่าร้อนนั้น

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ ขอพวกท่านอย่าได้ทำบาปกรรมในที่ไหนๆ คือในที่แจ้งหรือในที่ลับ ถ้าพวกท่านจะกระทำหรือกระทำบาปกรรมนั้นๆ ไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์

    ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่านทั้งหลายจะไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือเข้าไปสู่ช่องภูเขาจะพ้นจากบาปกรรมไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด พึงพ้นจากบาปกรรมส่วนแห่งภาคพื้นนั้นไม่มี

    เป็นความจริงใช่ไหมไม่ว่า จะในอากาศ ในมหาสมุทร ในช่องเขา หรือในที่ไหนก็ตาม ที่จะพ้นไปจากบาปกรรมนั้น ไม่มี

    คงสงสัยว่า ทำไมเปรตปรากฏตัวให้คนเห็นได้ใช่ไหม ไม่ใช่ทั่วไป และโดยเฉพาะที่จะมาปรากฏได้ จะเห็นได้ว่า เป็นการเกื้อกูลผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาจจะเห็นว่า ผู้นั้นสามารถที่จะกระทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้ได้ บางทีท่านคงจะนึกสงสัยในข้อความที่ว่า จะปรากฏแต่เฉพาะผู้ที่มีทิพยจักษุอย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะ ที่เมื่อท่านน้อมจิตไปสู่ภูมิใด ก็จะเห็นสัตว์ในภูมินั้นโดยละเอียด แต่ว่าการที่บุคคลใดจะเห็นเปรตจริงๆ ซึ่งไม่ใช่โดยมโนภาพที่นึกเอา มีมากไหมคนอย่างนั้น ไม่มากเลยเพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกท่านที่จะเห็นภูมินี้ได้

    ถ. ด้วยสัจวาจา ที่ผมพูดนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมประสบมา เมื่อตอนอายุ ๑๕ผมอยู่กับหลวงพี่เชียง ที่วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดอยุธยา วันหนึ่งตี ๓ ท่านก็ปลุกเราให้เดินมากับท่าน มาถึงวัดตะไกร หลังวัดหน้าพระเมรุ วัดตะไกรเป็นวัดร้าง มีต้นพิกุลอยู่หลังโบสถ์ พอเดินมาข้างโบสถ์เสียงดังตุ๊บตั๊บ ตุ๊บตั๊บ ผมก็หยุด ชักตัวสั่น ท่านก็ โอบเราไว้ ให้มองขึ้นไปที่ต้นพิกุล มองเห็นคล้ายๆ ยายชีห่มผ้าขาวก้าวจากกำแพง ก้าวขึ้นต้นพิกุล เห็นชัดเลย พอถึงยอดต้นพิกุลก็หายไป กลับมาผมก็ไม่ได้ถามอะไรท่าน ท่านก็ไม่ได้บอกผม ครั้งมาบัดนี้อยากจะไปถามท่าน ท่านก็ตายเสียแล้ว นี่ผมก็ไม่ได้มีทิพยจักษุอะไร ทำไมเห็นได้ เป็นสัตย์จริง ถ้าผมพูดเท็จ ให้ผมเป็นอันตรายไป

    สุ. คงจะมีอีกหลายท่านที่มีปรากฏการณ์อย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้สนทนากันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนอย่างในพระไตรปิฎก ฉะนั้น การที่จะมีผู้หนึ่งผู้ใดได้ประสบกับการปรากฏของเปรตบางครั้งบางคราว อาจจะเป็นได้อีกกรณีหนึ่ง คือ เปรตปรากฏได้โดยที่บุคคลนั้นไม่มีจักษุทิพย์

    ถ้าท่านศึกษาดูจากชีวิตของท่านที่ได้พบเห็นเหตุการณ์แปลกต่างๆ เช่น บางท่านเป็นผู้ที่ฝันแม่น และท่านก็มีความสงสัยเหลือเกินว่าเป็นเพราะอะไร ความฝันของท่านมักจะเป็นความจริงเสมอ ท่านก็ไม่ได้เจริญสมถภาวนาในปัจจุบันชาตินี้เลย แต่วัฏฏะยาวนาน ใครจะทราบได้ว่าใครสะสมส่วนใดไว้ในการเจริญสมาธิ การเจริญ สมถภาวนา การที่จิตสงบและสามารถมีสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นแก่ท่านในบางครั้งบางคราว โดยที่แม้ในปัจจุบันชาติท่านไม่ใช่ผู้ที่เจริญสมถภาวนาก็ตาม แต่อาจเป็นการสะสมปัจจัยในอดีตมามาก ที่จะทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีจิตสงบสืบต่อมาจนกระทั่งสามารถที่จะปรากฏเป็นความฝันบ้าง หรือว่าเหตุการณ์ต่างๆ แก่ท่านเหล่านั้นก็ได้

    ถ้าท่านสามารถระลึกอดีตอนันตชาติได้ ท่านอาจจะเคยเป็นผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนา หรือว่าเป็นผู้ที่ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรม แสวงหาธรรม สัจธรรม และวัฎฎะที่ยาวนานก็ไม่ทราบว่าการสะสมเหตุปัจจัยนั้น ยังคงมีผลเยื่อใยมาจนถึงปัจจุบันชาตินี้บ้างไหม เช่น ท่านพระสารีบุตร ในอดีตท่านก็เคยเป็นฤๅษีที่อบรมเจริญสมาธิสมถภาวนามาก แม้ในปัจจุบันชาติ ท่านก็เป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติอย่างชำนาญมาก นั่นก็เป็นการกระทำทั้งในชาติก่อนด้วยที่เป็นปัจจัยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันชาตินี้

    สำหรับท่าน ท่านไม่สามารถจะทราบอดีตอนันตชาติได้ว่า ท่านสะสมมาอย่างไร แต่สำหรับบางท่านที่ฝันแม่น หรือว่าอาจจะปรากฏเหตุการณ์บางอย่างซึ่งไม่ปรากฏแก่คนอื่นเป็นบางครั้งบางคราว ก็เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เสมอไป ไม่ใช่เป็นผลของอิทธิปาฏิหาริย์ หรือการเจริญสมถภาวนาในปัจจุบันชาตินี้

    แต่ตามพระไตรปิฎก การที่เปรตจะปรากฏ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับอุทิศส่วนกุศลจากบุคคลนั้น เปรตนั้นจึงปรากฏให้เห็นด้วยกำลังของจิต ซึ่งถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่มีทิพยจักษุเหมือนอย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะ ที่เมื่อท่านน้อมจิตไปสู่ภูมิใด ก็ย่อมเห็นสัตว์โลกในภูมินั้นได้ แต่ว่าบุคคลธรรมดาเห็นเปรต หรือเทพบ้าง เป็นบางครั้ง บางขณะ

    สำหรับข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงให้เห็นว่า เปรตปรากฏให้เห็นได้ด้วยกำลังจิตนั้น ใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ สานุวาสีเถรเปตวัตถุ มีข้อความว่า

    พระเถระชาวกุณฑินครรูปหนึ่ง อยู่ที่ภูเขาสานุวาสี มีนามว่าโปฏฐปาทะ เป็นสมณะผู้มีอินทรีย์อันอบรมดีแล้ว มารดา บิดา และพี่ชายของท่านเกิดในยมโลกเสวยทุกขเวทนา เพราะทำกรรมลามก จึงไปจากโลกนี้สู่เปตโลก เปรตเหล่านั้นถึงทุคติมีช่องปากเท่ารูเข็ม ลำบากยิ่งนัก เปลือยกาย ซูบผอม มีความเกรงกลัว สะดุ้งหวาดเสียวมาก มีการงานทารุณ ไม่อาจแสดงตนแก่พระเถระได้ เปรตผู้พี่ชายของท่านคนเดียวเปลือยกาย รีบไปนั่งคุกเข่า ประณมมือแสดงตนแก่พระเถระ พระเถระไม่ใส่ใจถึง เป็นผู้นิ่งเดินเลยไป

    เปรตนั้นจึงบอกให้พระเถระรู้ว่า

    ข้าพเจ้าเป็นพี่ชายของท่าน ไปแล้วสู่เปตโลก ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มารดา บิดาของท่านเกิดในยมโลกเสวยทุกข์ เพราะทำบาปกรรม จึงไปจากโลกนี้สู่เปตโลก

    เปรตผู้เป็นมารดา บิดาของท่านทั้งสองนั้น มีช่องปากเท่ารูเข็ม ลำบากมากเปลือยกาย ซูบผอม มีความเกรงกลัว สะดุ้งหวาดเสียวมาก มีการงานทารุณ ไม่อาจแสดงตัวแก่ท่าน ขอท่านจงเป็นผู้มีความกรุณา อนุเคราะห์แก่มารดา บิดา จงให้ทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเรา พวกเราผู้มีการงานอันทารุณ จักยังอัตภาพให้เป็นไปได้ เพราะทานอันท่านให้แล้ว

    พระเถระกับภิกษุอื่นอีก ๑๒ รูปเที่ยวบิณฑบาต แล้วกลับมาประชุมในที่เดียวกัน เพราะเหตุแห่งภัตกิจ พระเถระจึงกล่าวแก่ภิกษุทั้งหมดนั้นว่า

    ขอท่านทั้งหลายจงให้ภัตตาหารที่ท่านได้แล้วแก่ผมเถิด ผมจะทำสังฆทานเพื่ออนุเคราะห์ญาติทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นจึงมอบถวายพระเถระ พระเถระนิมนต์สงฆ์ถวายสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้มารดา บิดา และพี่ชาย ด้วยอุทิศเจตนาว่าขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุขเถิด

    ในลำดับที่อุทิศให้นั่นเอง โภชนะอันสะอาดประณีต สมบูรณ์ มีแกงและกับหลายอย่างเกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้น

    ทั้งมารดา บิดา และพี่ชายเกิดเป็นเปรต แต่เฉพาะพี่ชายเท่านั้นที่ปรากฏแก่พระเถระ เปรตกล่าวว่า มารดา บิดามีการงานทารุณ ไม่อาจแสดงตนแก่พระเถระได้แต่พี่ชายเท่านั้นที่แสดงตนแก่พระเถระได้ และขอให้อุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งการอุทิศส่วนกุศลไปให้เปรต จะต้องกระทำบุญถวายทานแก่ผู้มีศีล เปรตจึงจะได้รับอุทิศส่วนกุศล แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่เป็นผู้ที่ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ที่ทุศีล เปรตก็จะไม่ได้รับอุทิศส่วนกุศล

    ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เขตตูปมาเปตวัตถุ มีข้อความว่า

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ความว่า

    พระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบด้วยนา ทายกทั้งหลายเปรียบด้วยชาวนา ไทยธรรมเปรียบด้วยพืช ผลทานย่อมเกิดแต่การบริจาคไทยธรรมของทายกและปฏิคาหกผู้รับ พืชที่บุคคลหว่านลงในนานั่น ย่อมเกิดผลแก่เปรตทั้งหลายและทายก เปรตทั้งหลายย่อมบริโภคผลนั้น ทายกย่อมเจริญด้วยบุญ ทายกทำกุศลในโลกนี้แล้วอุทิศให้เปรตทั้งหลาย ครั้นทำกรรมดีแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์

    ผู้ที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตนั้น เป็นกุศลของผู้กระทำ ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นได้รับผลของบุญที่เป็นสุข และเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๒๙ ตอนที่ ๒๘๑ – ๒๙๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 37
    28 ธ.ค. 2564