แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 245
ครั้งที่ ๒๔๕
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว เฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูกสัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกคูถนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
แสดงให้เห็นสภาพของนรกว่า มีลักษณะต่างๆ มหานรกเต็มไปด้วยไฟ และสัตว์ที่เกิดในมหานรกนั้น จะต้องถูกทรมานด้วยไฟนรก วิ่งไป วิ่งมา พยายามเหลือเกินที่จะออกจากนรกนั้น และในกาลบางครั้งประตูเปิด สัตว์นั้นออกไปได้จริงๆ แต่ว่ารอบมหานรกนั้น มีนรกเต็มไปด้วยคูถใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน คูถเป็นอุจจาระ มีโอกาสที่จะอยู่ในนั้นบ้างไหม แม้ในโลกนี้ มีใครเคยตกลงไปบ้างไหม ท่านที่ได้สนทนากับผู้ศึกษาธรรมคงจะเคยได้ฟังว่า มีคนตกลงไปจริงๆ ด้วยวิบากที่จะได้รับผลอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่จะได้รับความทรมานอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เป็นระยะเวลาที่นาน และในที่นั้นยังมีสัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือนผิว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก และกินเยื่อในกระดูก
สัตว์ที่คอยกินอย่างนี้มีไหม ในโลกมนุษย์มีไหม มี และถ้าเป็นโลกอื่นที่จะต้องได้รับความทรมานมาก ก็เป็นสิ่งที่มีได้ เพราะฉะนั้น บางทีท่านคิดว่า นรกเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ก็ขอให้คิดเปรียบเทียบถึงความทุกข์ทรมานในโลกนี้ว่า ทำไมมีได้ทั้งๆ ที่เป็นสุคติภูมิ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นทุคติภูมิ ความทุกข์ทรมานย่อมมีได้ และมากกว่าด้วย
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และนรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึงใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน (เถ้ารึงใหญ่ คือ ถ่านที่ติดไฟคุ มีขี้เถ้าติดอยู่) สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
อาจจะเคยไปมาแล้ว แต่ลืม ถ้าตราบใดที่ทุจริตกรรม อกุศลกรรมที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ ในนรกมี เมื่อจุติจากมนุษย์ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ไม่นานเลย ผู้นั้นก็จะต้องได้รับความทุกข์ทรมานมาก เป็นระยะเวลาที่นานกว่าการเป็นมนุษย์ในโลกนี้มากทีเดียว
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ต้นสูงชะลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาวสิบหกองคุลี มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
เลือกได้ไหมว่าจะอยู่ที่ไหน จะอยู่ที่ต้นงิ้ว หรือว่าจะอยู่ที่นรกเต็มไปด้วยเถ้ารึง หรือว่าจะอยู่ที่นรกคูถ ไม่ต้องการสักอย่างหนึ่ง โดยผลไม่ต้องการ แต่เหตุขอให้ระลึกถึงเหตุ ยังมีเหตุที่จะให้ไปสู่นรกต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องไป
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และป่างิ้วนั้นมีป่าต้นไม้ ใบเป็นดาบใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะเข้าไปในป่านั้น จะถูกใบไม้ที่ลมพัด ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง แล้วตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ป่าต้นไม้ มีใบเป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
มีใครเคยถูกมีดบาด ดาบฟันอะไรบ้างไหมในโลกนี้ มีได้ เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับนรก แล้วทำไมจะคิดว่านรกไม่มี ในเมื่อโลกนี้ยังมีได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ท่านอาจจะอยู่ในนรกนี้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นเศษของกรรม แม้ว่าท่านเป็นมนุษย์ ท่านก็ยังได้รับผลของอกุศล โดยถูกมีดบาดบ้าง ได้รับภัยจากอาวุธที่มีคม ต่างๆ ก็ได้
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่ น้ำเป็นด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ในแม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตามและทวนกระแสบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในแม่น้ำนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
แม่น้ำใหญ่น้ำเป็นด่าง ในโลกมนุษย์มีไหม น้ำด่าง น้ำกรด มี แค่นิดหน่อยก็ทุกข์เหลือเกิน ถ้าโลกมนุษย์มีได้ นรกก็ต้องมีมากกว่านั้น
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้นขึ้นวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกร พ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์เหล่านั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าหิวเจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปากออก แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วงเข้าในปาก ก้อนโลหะนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้างของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
ในโลกนี้ เคยรับประทานอะไรร้อนๆ บ้างไหม บางครั้งบางคราวก็ร้อนจนกระทั่งไหม้ปาก ปากพองได้ นี่ในโลกมนุษย์ ถ้าเป็นโลกอื่นก็ต้องได้รับผลของกรรมอย่างนี้ได้
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลกล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ดูกร พ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ากระหายเจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปากออก แล้วเอาน้ำทองแดงร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้างของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรกอีก
ถ้ากรรมยังไม่สิ้นสุด ก็จะต้องวนเวียนไปในนรก แต่ใครจะเกิดในที่ร้อนที่เย็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องความวิจิตรของจิต และเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นไปในทุกวินาที ทุกๆ ขณะก็มีความวิจิตรมาก ถ้าไม่เห็นก็ไม่เชื่อ และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นปรากฏ ให้ทราบว่าเป็นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่าจะเกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย ถ้ามีเหตุปัจจัยสมควรที่จะเกิด ก็ต้องเกิดอย่างน่าอัศจรรย์
อย่างในโลกนี้ มีทั้งเต็มไปด้วยความสุข เต็มไปด้วยความทุกข์ หลายแห่งภูเขาไฟก็มี ร้อนอย่างนั้นใครตกลงไปเป็นอย่างไร ออกมาไม่ได้ มีควัน มีอะไรก็ได้แม้แต่ในโลกมนุษย์ซึ่งเป็นเศษของกรรม แต่การทนทุกข์ทรมานในนรกมาก และก็นาน
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความดำริอย่างนี้ว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เป็นอันว่าเหล่าสัตว์ที่ทำกรรมลามกไว้ในโลก ย่อมถูกนายนิรยบาลลงกรรมกรณ์ต่างชนิดเห็นปานนี้ โอหนอ ขอเราพึงได้ความเป็นมนุษย์ ขอพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงเสด็จอุบัติในโลก ขอเราพึงได้นั่งใกล้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงทรงแสดงธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด
จะได้พ้นเสียทีจากนรก ไม่อย่างนั้นก็ไม่พ้น ถ้าไม่ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังธรรม และไม่ได้รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังควรที่จะได้ทราบถึงเหตุและผลทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้มากว่า เมื่อจุติจากความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพแล้ว ย่อมไปสู่กำเนิดของสัตว์นรก ปิตติวิสัย เดรัจฉานมากกว่าการที่จะกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ หรือว่าความเป็นเทพอีก
โดยเหตุ โดยผล ควรจะเป็นอย่างนั้นไหม สัตว์ในน้ำ สัตว์บนบก ที่บ้านมีสัตว์มาก หรือว่ามีคนมาก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่จะดูเผินๆ
อย่างมนุษย์เป็นสุคติภูมิ ตั้งแต่เกิดมาทำอะไรกันบ้าง อกุศลจิต อกุศลกรรมมากหรือน้อย หรือว่ากุศลจิต กุศลกรรมมากกว่า เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพก็ตาม เมื่อจุติจากมนุษย์และเทพแล้ว ไปสู่กำเนิดของสัตว์นรก ปิตติวิสัย เดรัจฉานมากกว่าที่จะกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพ แต่ถ้าเป็นผู้ที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระสาวก ท่านก็สะสมบุญกุศล เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ จากสุคติภูมิไปสู่สุคติภูมิ นับไม่ถ้วน จนถึงการบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า
ถ. ผมเคยอ่านในหนังสือกฎแห่งกรรม มีอยู่หลายเรื่องที่ว่า มีผู้ที่เจ็บป่วยและตายไป แต่ก็ฟื้นกลับคืนมาเล่าว่า ได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกับในโลกมนุษย์นี้ ได้พบเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจจะเข้าใจว่าเป็นนรกหรืออะไรก็ได้ทำนองนี้ ผมขอเรียนถามอาจารย์ว่า จุติจากโลกมนุษย์นี้ อาจไปปฏิสนธิในนรก และจะกลับมาปฏิสนธิในมนุษย์ภูมิ ในร่างเดิมอีกได้ไหม
สุ. จุติจิตเกิดขึ้นและดับไป เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้นแล้ว ต้องปฏิสนธิทันที ถ้าเป็นไปอย่างที่กล่าวถึง ก็ไม่ควรที่จะกลับมาสู่ร่างเก่า แต่บางทีท่านผู้ฟังจะได้ยินเรื่องอย่างนี้ จากผู้ใกล้ชิดกับบุคคลที่บอกว่าปรากฏเป็นจริงกับท่านผู้นั้นอย่างนั้น ก็ควรที่จะได้พิจารณาถึงเหตุผลว่า เป็นไปได้ไหม
เมื่อยังไม่จุติ จิตต้องเกิดดับสืบต่อกันอยู่เรื่อย สัญญาความทรงจำมี ไม่ใช่แต่เฉพาะในภพนี้ ชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นภพไหน ชาติไหนก็ตาม ย่อมมีสัญญาจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การถูกต้องกระทบสัมผัส คิดนึก สืบต่อสะสมอยู่ในจิตต่อไปเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าสัญญานั้นจะเกิดปรากฏ หรือไม่ปรากฏเท่านั้นเอง
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง ทุกๆ ขณะที่มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการรู้รส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สิ่งที่คิดนึกทางใจ ตลอดทุกขณะ จำได้หมดไหม ที่จริงแล้วสัญญาเจตสิกกระทำกิจจำ หมายรู้ลักษณะของอารมณ์ทุกขณะที่เกิด แต่เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง นึกไม่ออก เมื่อปีก่อน เดือนก่อนทำอะไรบ้าง ก็นึกไม่ออก ชาติก่อนจะนึกออกได้ไหม ก็ไม่ออก แต่ว่าสัญญานั้นไม่ใช่ว่าจะหมดไป ก็ยังคงสะสมอยู่ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยย่อมเกิดได้
เพราะฉะนั้น ถ้าบุคคลนั้นเคยผ่านนรกมาแล้ว จะเป็นไปได้ไหมที่สัญญา ความจำนั้นมีอยู่ ทำให้ตรึกไปถึงเรื่องอย่างนั้น แต่ว่าขณะนั้นไม่ใช่สิ้นชีวิต ยังไม่ได้ตาย แต่รู้สึกเหมือนกับได้ไปอยู่ในสถานที่นั้น ได้พบเหตุการณ์อย่างนั้น เป็นด้วยสัญญาความจำที่เคยผ่าน เคยประสบในชาติก่อนๆ
ก่อนๆ นี้ไม่ฝัน คืนนี้อาจจะฝันถึงมหานรก ซึ่งไม่ทราบว่าจะฝันในลักษณะใด ในลักษณะที่ได้ยินได้ฟัง คิดเปรียบเทียบนึกเอา เพราะว่าในมนุษย์โลกก็มีไฟ เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องมหานรกเต็มไปด้วยไฟ ในห้องใหญ่ พื้นเป็นเหล็กลุกโพลงทั่ว ทุกท่านก็รู้จักเหล็ก รู้จักห้อง รู้จักไฟ เพราะฉะนั้น ก็ผสมกันได้ เกิดเป็นมหานรกขึ้นในความฝันได้ เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้อื่นจะทราบตามความเป็นจริงได้ว่าขณะนั้นเป็นอย่างไร
ถ. อย่างที่ชาวบ้านพูดกันว่า ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาอีก ผมยังมีข้อสงสัยว่า จะถือว่าเป็นการตายหรือเปล่า หรือว่าเป็นการสิ้นสติ คือ ไม่ได้ประสบกับตัวเอง ก็เลยไม่ทราบว่าผู้ที่ป่วยนั้นตายจริงหรือเปล่า ซึ่งเรื่องการตายนี้ โดยปกติที่เข้าใจ หมายถึงว่าไม่มีการหายใจ หรือเมื่อจับชีพจรดูปรากฏว่าไม่มีการเต้น ก็เข้าใจว่าผู้นั้นตาย แต่ที่บรรดาหมู่ญาติเข้าใจว่าผู้นั้นได้ตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีก มาเล่าเรื่องต่างๆ ที่ตนเองได้ไปประสบ ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ถึงเรื่องการตาย
สุ. สำหรับเรื่องนี้ ถ้าท่านจะยกหลักปรมัตถธรรมขึ้นวินิจฉัย ก็พอจะวินิจฉัยได้ว่า ตราบใดที่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้นและดับไป บุคคลนั้นยังไม่สิ้นชีวิตเท่านั้นเอง ต้องถือหลักปรมัตถ์ การเข้าใจว่าคนนั้นตายแล้ว ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจ ซึ่งอาจจะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้ เหมือนอย่างผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ ดับจิตเจตสิก ไม่ให้เกิดในระหว่างที่เป็นนิโรธสมาบัติ บุคคลอื่นก็คิดว่าผู้นั้นตาย เพราะว่าไม่มีจิตเลย ไม่มีสภาพรู้เลย ยิ่งเสียกว่าคนที่กำลังนอนหลับ เพราะว่าคนที่กำลังนอนหลับ จิตเกิดดับสืบต่อกันทุกขณะ แต่ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติแล้ว ดับจิตเจตสิกในระหว่างที่เป็นนิโรธสมาบัติ ทำให้บุคคลอื่นคิดว่าตาย
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจว่าบุคคลอื่นตาย อาจจะเกิดจากการคิด พิจารณา วินิจฉัยของแต่ละบุคคล โดยหัวใจไม่เต้น หรือโดยชีพจรไม่มี หรืออะไรก็ตาม แต่ว่าตามหลักปรมัตถธรรมแล้ว ถ้าจุติจิตยังไม่เกิดขึ้นและดับไป บุคคลนั้นยังไม่สิ้นชีวิต แม้แต่ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ ดับจิตเจตสิก แต่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้น ยังไม่สิ้นชีวิต
ใช้คำว่า นิโรธ ดับ นิโรธสมาบัติ เพราะเหตุว่ายังไม่ใช่ปรินิพพาน เรื่องอย่างนี้เต็มไปด้วยความสงสัย เ พราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้ขณะจิตของบุคคลนั้นได้ว่า จุติจิตเกิดหรือยัง ดับหรือยัง แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพาน ท่านพระอนุรุทธะซึ่งเป็นเอตทัคคะในจักษุทิพย์ เป็นผู้ที่เข้าฌาน และตามรู้วาระจิตของพระผู้มีพระภาคตามลำดับขั้น จนกระทั่งรู้ว่าขณะใดจุติจิตของพระองค์เกิดขึ้น และดับไปเป็นปรินิพพาน แต่ถ้าเป็นบุคคลอื่น ก็ไม่สามารถจะรู้อย่างนั้นได้ ได้แต่วินิจฉัยตามความคิดความเข้าใจว่า บุคคลนั้นตายแล้ว
นี่เป็นเรื่องยาก ถ้าพ้นวิสัยของท่านผู้ฟัง ก็ไม่ต้องกังวลถึง เพียงแต่ว่ารับฟังสิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลให้ท่านเจริญสติ เจริญกุศลมากยิ่งขึ้น แม้แต่ในเรื่องภพภูมิที่เป็นนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ก็ไม่ต้องไปกังวลว่าอยู่ที่ไหน มีไหม รูปร่างเป็นอย่างไร หรืออะไร เพียงแต่ให้ทราบว่า ถ้าเหตุมี ผลย่อมมีได้ และการที่จะพ้นจากผลเช่นนั้น จะต้องเจริญกุศลจนถึงขั้นที่เป็นพระอริยเจ้า จึงจะดับการเกิดในอบายภูมิได้
แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๒๕ ตอนที่ ๒๔๑ – ๒๕๐
เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 241
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 242
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 243
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 244
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 245
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 246
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 247
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 248
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 249
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 250
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 251
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 252
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 253
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 254
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 255
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 256
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 257
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 258
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 259
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 260
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 261
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 262
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 263
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 264
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 265
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 266
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 267
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 268
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 269
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 270
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 271
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 272
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 273
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 274
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 275
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 276
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 277
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 278
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 279
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 280
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 281
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 282
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 283
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 284
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 285
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 286
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 287
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 288
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 289
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 290
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 291
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 292
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 293
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 294
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 295
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 296
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 297
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 298
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 299
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 300