วินัยคฤหัสถ์ ตอนที่ 13


    กำลังเห็นนี่ล่ะค่ะ สีที่ปรากฏทางตา ไม่ได้ดับเลย มโนทวารแทรกตอนไหน คั่นตอนไหนไม่ปรากฏ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทุกครั้ง ไม่ว่าทางตา เห็นสีเกิดขึ้นแล้ว ดับไป จะต้องมีมโนทวารเกิดรับรู้สีนั้นต่อจากทางปัญจทวารทุกครั้ง แล้วเวลานี้การเห็นดูเสมือนว่าไม่ดับเลย มโนทวารวิถีจะแทรกอยู่ระหว่างจักขุทวารวิถีที่กำลังเห็นทางตา มากสักเท่าไร แต่ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การประจักษ์ลักษณะสภาพของธรรมแต่ละลักษณะขาดตอนกันจริงๆ ที่จะปรากฏว่า หาความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ได้

    นี่เป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อค่อยๆ อบรมไป แต่ถ้าไม่มีการอบรมเลย ก็ไม่มีวันที่ปัญญาขั้นนี้จะเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งต้องเป็นปกติในชีวิตประจำวันด้วย

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้นะคะ ที่กำลังฟังเรื่องของธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับสิงคาลกมาณพ มีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งปกติคั่นด้วยความไม่รู้ ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นคั่นด้วยความเริ่มรู้ขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง นี่เป็นการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้วย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมิตรมีภัยเอาเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑ นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร ๑ ฯ

    บางคนอาจจะนับถือเพื่อนเท่านั้น ก็ลืมที่จะนับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตรด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ขณะนั้นก็เป็นอกุศลด้วย ซึ่งก็จะต้องขัดเกลาอีกค่ะ เรื่องของอกุศลที่จะต้องขัดเกลามีมากเหลือเกิน และปรากฏให้เห็นได้ในชีวิตประจำวัน

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องซ้ายนั้น ชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้ ฯ

    ถ้าท่านเป็นมิตรที่เลว มีหวังที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมไหมคะ กิเลสหนาแล้วแสดงออกมาทางกาย ทางวาจามากมาย ไม่ว่าจะคบใครๆ ก็เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ทั้งๆ ที่ยังมีกิเลสมากมายอย่างนี้

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    [๒๐๓] ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง ๑ ด้วยให้อาหาร และรางวัล ๑ ด้วยรักษาในคราวเจ็บไข้ ๑ ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน ๑ ด้วยปล่อยในสมัย ๑ ฯ

    สำคัญไหมคะ ผู้ที่รับใช้ท่าน ถ้าท่านปฏิบัติไม่ดีด้วย ภัยมหาศาลจะเกิดขึ้นแก่ท่านได้ เพราะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดอยู่ในบ้าน แต่บางท่านก็อาจจะไม่เห็นว่า การที่จะมีเมตตากรุณาโดยทั่วถึงกับบุคคลในบ้าน ย่อมเป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ เป็นการอบรมเจริญกุศลของท่านด้วย และเป็นการปกปิดภัยทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นจากคนที่ใกล้ชิดด้วย

    แม้แต่เรื่องคำพูด ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก บางครั้งอาจจะสำคัญกว่าการกระทำทางกาย เพราะว่าคำพูดเพียงโดยประมาทนิดเดียว ท่านไม่ทราบว่า จะเกิดโทษสักแค่ไหน ขอกล่าวถึงข้อความในคัมภีร์พระธรรมบท ซึ่งมีเรื่องว่า

    ในครั้งศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อ สุมังคลเศรษฐี ท่านเป็นผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาได้ซื้อที่ดินกว้างยาว ๒๐ อสุภะ แล้วสร้างเป็นวิหารถวายพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พื้นของวิหารก็ปูด้วยทองคำทั้งนั้น เวลาที่ท่านสร้างเสร็จ อยู่มาเช้าวันหนึ่ง เมื่อสุมังคลเศรษฐีนั้นออกไปสู่วิหาร ก็ได้เห็นโจรคนหนึ่งนอนคลุมศีรษะอยู่ที่ศาลาหลังหนึ่ง ที่ใกล้ๆ ประตูเมือง โจรคนนั้นมีเท้าเปื้อนโคลน เศรษฐีนั้นก็ได้กล่าวขึ้นว่า

    “บุรุษที่มีเท้าเปื้อนโคลนคนนี้ เห็นจะเป็นคนเที่ยวกลางคืน”

    พอโจรได้ยินก็ได้เปิดผ้าคลุมหน้าขึ้นดู แล้วก็รู้วาเป็นเศรษฐี ก็เกิดความอาฆาตว่า จะต้องทำความพินาศให้กับเศรษฐีให้จงได้ แล้วก็ไปลอบเผานาของเศรษฐีถึง ๗ ครั้ง ตัดเท้าโคในคอกอีกถึง ๗ ครั้ง เผาเรือนอีก ๗ ครั้ง แต่ก็ยังไม่หายโกรธ จึงไปประจบประแจง ทำเป็นคนชอบพอกับคนใช้ของเศรษฐี แล้วได้ถามคนใช้ว่า อะไรเป็นที่รักที่สุดของท่านเศรษฐี ซึ่งคนใช้ก็ได้บอกว่า

    “สิ่งอื่นที่จะเป็นที่รักของท่านเศรษฐียิ่งไปกว่าพระคันธกุฎีของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่มี”

    โจรก็คิดว่า จะไปเผาพระคันธกุฎีให้ได้

    พอพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเวลาเช้า โจรคนนั้นก็ได้เข้าไปยังพระวิหาร ต่อยหม้อน้ำฉัน น้ำใช้จนหมด แล้วก็ได้เผาพระคันธกุฎี พอเศรษฐีได้ทราบว่า ไฟไหม้พระคันธกุฎีก็รีบออกไปดู แล้วก็ตบมือด้วยความดีใจ ไม่มีความเสียใจแม้เท่าปลายขนทรายจามรี คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ในที่ใกล้ ก็ได้ถามว่า

    “ข้าแต่ท่านเศรษฐี ท่านได้สละทรัพย์เป็นอันมากสร้างพระคันธกุฎีนี้ แต่เมื่อไฟไหม้เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงตบมือแสดงความดีใจ”

    เศรษฐีนั้นก็ได้ตอบว่า

    “ดูกรสหายทั้งหลาย การที่เราสละทรัพย์ออกสร้างพระคันธกุฎีนี้ เรียกว่า เราฝังทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนา อันไม่อาจพินาศไปด้วยภัยใดๆ ทั้งสิ้น การที่เราตบมือแสดงความดีใจ ก็เพราะคิดว่า เราจะได้สละทรัพย์มากสำหรับสร้างพระคันธกุฎีอีก”

    ต่อมาไม่ช้า เศรษฐีนั้นก็ได้สละทรัพย์เป็นอันมากสร้างพระคันธกุฎีอีก ครั้นสร้างเสร็จแล้ว ก็ได้ถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารสองหมื่นด้วยความเคารพ ชื่นชมยินดี แต่ว่าโจรนั้นคิดว่า ถ้าเราไม่ฆ่าเศรษฐีเสีย ก็จะไม่หายโกรธเป็นแน่

    ถึงแม้จะได้เผาพระคันธกุฎีแล้วนะคะ ก็ยังไม่หายโกรธ คิดว่าจะต้องฆ่าเศรษฐีจึงจะหายโกรธ

    เพราะฉะนั้น โจรนั้นก็ตั้งใจจะฆ่าเศรษฐีให้ได้ แล้วได้ซ่อนกริชไว้ในผ้านุ่ง แล้วเที่ยวไปมาอยู่ในวิหารนั้นถึง ๗ วัน แต่ก็ไม่ได้โอกาสที่จะทำร้ายเศรษฐี เมื่อท่านเศรษฐีได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์อยู่สิ้น ๗ วันแล้ว ก็ได้กราบทูลพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค มีบุรุษผู้หนึ่งได้เผานาของข้าพระองค์ ๗ ครั้ง ได้ตัดเท้าโคในคอกของข้าพระองค์อีก ๗ ครั้ง และได้เผาเรือนของข้าพระองค์อีก ๗ ครั้ง เห็นจะเป็นบุรุษนั้นแหละเป็นผู้เผาพระคันธกุฎี ข้าพระองค์ขอให้ส่วนบุญในการที่ข้าพระองค์บริจาคทานครั้งนี้แก่บุรุษนั้น ก่อนกว่าคนทั้งปวง”

    เมื่อโจรได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกตัวว่าผิด แล้วก็คิดได้ว่า ได้กระทำกรรมอันหนักเสียแล้ว เพราะเหตุว่าท่านเศรษฐีไม่ได้มีความโกรธแก่โจรผู้ได้ทำผิดถึงเพียงนั้น แล้วยังได้ให้ส่วนบุญแก่โจรก่อนบุคคลทั้งปวงอีก เพราะฉะนั้น โจรก็คิดว่า ตนได้ทำร้ายแก่ท่านเศรษฐีแล้ว ก็คงจะต้องได้รับโทษ

    ภัยอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่ เมื่อได้เกิดความคิดอย่างนี้แล้ว โจรนั้นก็ได้ไปหมอบแทบเท้าเศรษฐี ขอให้ท่านเศรษฐียกโทษให้ ซึ่งท่านเศรษฐีก็ถามโจรว่า ท่านไม่เคยเห็นหน้าของโจรเลย เพราะเหตุใดโจรจึงได้โกรธ และทำกับท่านถึงอย่างนี้

    ซึ่งโจรก็ได้เล่าเรื่องให้ฟังตั้งแต่ต้น เศรษฐีก็นึกได้ แล้วก็ได้ขอโทษโจรที่ท่านได้กล่าวอย่างนั้น พร้อมกันนั้นท่านก็ได้ยกโทษให้แก่โจรด้วย แล้วให้ปล่อยโจรไป แต่โจรก็ได้ขอให้เศรษฐีรับตัว และบุตรภรรยาไว้เป็นทาสอยู่ในบ้านของเศรษฐี แต่ท่านเศรษฐีไม่รับ เพราะเห็นว่าท่านเพียงกล่าวเท่านั้น โจรก็ยังทำความพินาศได้ถึงเพียงนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าไปอยู่ในบ้าน ท่านก็ไม่แน่ใจว่า ท่านจะกล่าวอะไรที่จะทำให้ไม่พอใจ และเกิดความโกรธอย่างนั้นอีก

    ซึ่งเมื่อโจรนั้นสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้เกิดในอเวจีมหานรก พอพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ได้เกิดเป็นเปรตงูเหลือมอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ซึ่งเมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระลักขณะลงจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อจะไปบิณฑบาต ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ได้เห็นเปรตงูเหลือมนั้นด้วยทิพจักษุญาณ แล้วก็ได้ยิ้ม ซึ่งเมื่อท่านพระลักขณะถามท่านว่า ยิ้มด้วยเหตุไร ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ได้ให้ท่านถามเวลาท่านไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงบุพกรรมของเปรตงูเหลือมนั้น ในอชคลเปรต เพียงเท่านี้

    อันตรายไหมคะจากความโกรธ และใครจะตั้งจิตไว้ชอบ หรือใครจะตั้งจิตไว้ผิดอย่างไร ก็แล้วแต่การสะสมทั้งสิ้น ถ้าถามท่านผู้ฟังดูว่า ทำจิตอย่างท่านเศรษฐีได้ไหม ได้ไหมคะ ลำบากสำหรับการสะสมที่เป็นตัวท่าน แต่ใครจะทำได้ไม่ลำบาก ก็ด้วยการสะสมของผู้นั้น นี่เป็นเหตุให้แต่ละท่านต่างกัน ตั้งแต่อดีตกาลเนิ่นนานมาก จนกระทั่งถึงปัจจุบัน และตลอดไปทุกยุคทุกสมัย

    สำหรับเรื่องของพระวิหารที่มีผู้สร้างถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับท่านอนาถบิณฑิกะสร้างพระวิหารเชตะวันถวาย มีข้อความในจัตตุตถสมันตปาสาทิกาแปล อรรถกถา จุลวรรควรรณนา เสนาสนขันธกะวรรณนา เรื่องท่านอนาถบิณฑิกะ ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นศรัทธาของบรรดาสาวกของพระผู้มีพระภาคว่า ได้สร้างวิหารในลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับท่านอนาถบิณฑิกะ

    สำหรับคฤหบดีที่สร้างวิหารถวายพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ที่แสดงไว้ในจัตตุตถสมันตปาสาทิกาแปล คือ

    คฤหบดีชื่อปุนัพพสุมิต ได้ซื้อพื้นที่ประมาณโยชน์หนึ่งด้วยปูอิฐทองคำเต็มพื้นที่ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี

    สิริวัฑฒคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณ ๓ คาวุต ด้วยลาดไม้เส้าทองคำ สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิขี

    โสตถิชคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณกึ่งโยชน์ ด้วยลาดผานทองคำสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เวสสภู

    อัจจุตคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณคาวุตหนึ่ง ด้วยเรียงเท้าช้างทองคำสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ

    อุคคคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณกึ่งคาวุต ด้วยเรียงอิฐทองคำสร้าง

    วิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะ

    สุมังคลคฤหบดี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณ ๒๐ อุสภะ ด้วยเรียงเต่าทองคำสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ

    สุทัตตคฤหบดี คือท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี ได้ซื้อพื้นที่ประมาณ ๘ กรีส ด้วยเรียงกหาปณะสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง

    ถ้าอายุน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง ก็อย่าให้ทำงานหนักนัก หรือว่าแล้วแต่เพศ เป็นหญิงหรือเป็นชาย

    ด้วยให้อาหาร และรางวัล ๑ ด้วยรักษาในคราวเจ็บไข้ ๑ ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน ๑ ด้วยปล่อยในสมัย ๑

    นี่คือความละเอียดของชีวิต ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแม้กิจที่ว่า แจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน

    สำคัญไหมคะนี่ รส ใครไม่ปรารถนารสบ้าง ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งจะล่วงการผ่านวัยไปสักเท่าไร การติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็อาจจะเบาบาง แต่ว่าในรสนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น รสก็เป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่ง ซึ่งถ้าท่านมีกุศลจิตมีความเมตตาแม้ในสิ่งเล็กน้อย ซึ่งอาจจะลืม แต่พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงไว้ว่า ไม่ควรที่จะลืมแจกแม้แต่ของที่มีรสแปลกประหลาดให้ทาสกรรมกรด้วย

    ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ คือ ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย ๑ เลิกการงานทีหลังนาย ๑ ถือเอาแต่ของที่นายให้ ๑ ทำการงานให้ดีขึ้น ๑ นำคุณของนายไปสรรเสริญ ๑ ฯ

    สำหรับทาสกรรมกร ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรับใช้ในบ้าน หรือว่าเป็นทาสจริงๆ เป็นกรรมกรจริงๆ แม้แต่ท่านที่ทำงานจะเป็นข้าราชการ รับราชการหรือเป็นผู้ที่ใต้บังคับบัญชาที่จะปฏิบัติต่อวงการงานของท่าน ก็สามารถจะอบรมเจริญกุศลได้ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ โดยเฉพาะสำหรับทาสกรรมกร ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ คือ ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย ๑

    ตามหน้าที่ค่ะ เมื่อเป็นทาสกรรมกร หน้าที่ไม่ใช่ตื่นสาย แต่ต้องตื่นเช้า เพื่อที่จะกระทำกิจของตน การตื่นเช้าแม้การปฏิบัติหน้าที่การงาน ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าลักษณะของผู้ที่ขยันในการที่จะดำเนินชีวิตในทางที่ถูก แม้พระผู้มีพระภาค และพระสาวกก็ตื่นแต่เช้า

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครตื่นเช้า ก็จะได้เวลามาอีกหลายชั่วโมงทีเดียว ที่จะกระทำกิจต่างๆ ได้

    เลิกการงานทีหลังนาย ๑ ถือเอาแต่ของที่นายให้ ๑

    นี่เป็นเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งก็เป็นเรื่องของศีลด้วย

    ทำการงานให้ดีขึ้น ๑ นำคุณของนายไปสรรเสริญ ๑ ฯ

    สรรเสริญได้หลายอย่างนะคะ คือ สรรเสริญว่าท่านเป็นผู้ที่เอื้อเฟื้อ และท่านเป็นผู้ไม่ทำความทุกข์ ความเดือดร้อนให้ หรือเป็นผู้ที่ไม่ทำตัวเป็นนายก็ได้

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องต่ำนั้น ชื่อว่าอันนายปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนั้น ฯ

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมที่ควรปฏิบัติต่อสมณพราหมณ์ ผู้เป็นทิศเบื้องบน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    [๒๐๔] ดูกรคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู ๑ ด้วยให้อามิสทานเนืองๆ ๑ ฯ

    สมณพราหมณ์นี้ก็มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพราะฉะนั้น ท่านที่จะเจริญเมตตา ก็จะเห็นได้ว่า การเจริญเมตตาไม่ควรจำกัดบุคคล แม้แต่สมณพราหมณ์ ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑

    ด้วยกายกรรมที่ไม่ประกอบด้วยเมตตา ก็มีใช่ไหมคะ หยาบกระด้าง กระแทกกระทั้น ในขณะนั้นไม่ประกอบด้วยเมตตา แต่ถ้าเป็นผู้ที่อ่อนโยน อ่อนน้อม ช่วยเหลือสงเคราะห์ด้วยกาย ขณะนั้นเป็นเมตตากายกรรม เป็นกุศลจิต

    เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่หวังถึงฌานจิต ขอให้เพียงแต่ได้พบกับสมณพราหมณ์แล้ว ก็จะได้ทราบว่าได้เจริญกุศลที่เป็นเมตตาหรือเปล่า

    ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑

    คำพูดก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการต้อนรับ และในการพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ

    ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑

    ทุกท่านคงจะระลึกถึง หรือว่านึกถึงสมณพราหมณ์ในวันหนึ่งๆ เพราะว่าได้พบเห็นสมณพราหมณ์อยู่เสมอ สำรวจจิตใจของท่าน ว่านึกถึงสมณพราหมณ์ด้วยจิตประเภทใด ด้วยอกุศลจิต

    เกลียดชัง โกรธ พยาบาท ไม่พอใจ หรือว่าด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา คือ นึกถึงด้วยกุศลจิต ในทางที่จะสงเคราะห์ในทางที่เป็นประโยชน์

    ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู ๑

    หมายความว่าถ้ามีสิ่งที่จำเป็นที่พอจะถวายให้ได้ ก็ถวายในสิ่งที่ท่านจำเป็นที่ท่านต้องการ และในสิ่งที่ท่านเองสามารถจะถวายได้

    ด้วยให้อามิสทานเนืองๆ ๑

    หมายความถึงให้บริโภคในเวลาเช้าก่อนเที่ยง

    นี่เป็นสิ่งที่จะกระทำได้ด้วยเมตตา แล้วก็เป็นกุศลด้วย เป็นยังไงคะท่านที่จะเมตตา เริ่มได้ ไม่ว่าจะเป็นทาสกรรมกร บุคคลใดๆ ในบ้าน หรือสมณพราหมณ์

    ถาม ...

    ท่านอาจารย์ อะไรทำให้อดทน ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจประโยชน์ เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะรู้โทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล คนอื่นไม่เดือดร้อนเลยในความคิดที่เป็นอกุศลของตัวท่านเอง เพราะฉะนั้น ท่านต้องทราบว่า ตัวท่านเท่านั้นที่จะละคลายถ่ายถอนอกุศลได้ คนอื่นไม่สามารถจะทำแทนได้เลย อกุศลไม่มีประโยชน์เลย แม้ในการคิดนึกด้วยจิตที่เป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นการคิดถึงด้วยมโนกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา กุศลจิตที่เป็นเมตตา ก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวท่านด้วย และสำหรับบุคคลที่ท่านระลึกถึงด้วย

    ถาม เมตตาจะละมานะในอกุศลจิต ๑๒ ในโลติกะ ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ความอ่อนน้อมค่ะ ถ้าโดยตรงแล้วความอ่อนน้อมเป็นการละมานะ

    ผู้ฟัง ในเมตตา เราถือว่าสัตว์อื่นเสมอด้วยตน สัตว์ทุกคนเสมอกับเรา เราต้องการอย่างไร สัตว์ทั้งหลายก็ต้องการอย่างนั้น นี่เป็นเมตตาไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นค่ะ แต่ว่าอย่าเพียงนึก ต้องกระทำจริงๆ เวลาสัตว์หนึ่ง บุคคลหนึ่งบุคคลใด เมตตาอยู่ตรงนั้นค่ะ ไม่ใช่ว่าเก่งมากเวลาอยู่ลับหลัง เมตตามากมาย แต่พอเจอหน้าเข้า ก็โทสมูลจิต โลภมูลจิตเสียแล้ว

    ผู้ฟัง แต่ละมานะได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ละอกุศลทั้งหลายได้ แต่ถ้าโดยตรงแล้วเป็นการอ่อนน้อม เพราะฉะนั้น ใครที่รู้สึกตัวเองว่าเป็นผู้ที่ถือตัว หยาบกระด้าง มีมานะ ก็ควรที่จะได้ประพฤติธรรมที่ตรงกันข้าม คืออ่อนน้อมเป็นการขัดเกลากิเลสของตนเอง

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕

    เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ คือ ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ฯ

    ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว นี่ก็เป็นกุศลขั้นหนึ่ง ให้ตั้งอยู่ในความดี นี่ก็เป็นการเจริญกุศลอีก อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม คือด้วยเมตตา ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง บอกทางสวรรค์ให้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะกระทำด้วยกุศลจิตทั้งนั้น เพราะเหตุว่าบุญทั้งหลายย่อมหลั่งไหลมาด้วยกุศลกรรม

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕

    เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ ทิศเบื้องบนนั้น ชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนี้ ฯ

    ถาม ผมอยากจะเรียนถามนิดหน่อย กรุณาแก่สัตว์ ต้องรู้สัตว์ตกทุกข์ได้ยากอยู่ต่อหน้า เราก็อยากให้เขาพ้นทุกข์ไป ตอนนี้เมื่อกล่าวถึงคำว่า “อยาก” เป็นโลภะหรือไม่

    ท่านอาจารย์ “ฉันทะ” ค่ะ ฉันทะเกิดกับกุศลจิตได้ ฉันทะเป็นกุศล ไม่ใช่โลภะ โลภเจตสิกเป็นอกุศล ฉันทะเป็นอัญญสมานาเจตสิก เป็นปกิณณกเจตสิก เกิดได้ทั้งกุศล และอกุศล


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 4
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ