แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 678


    ครั้งที่ ๖๗๘


    ถ. ...

    สุ. ก็แล้วแต่ว่าจะไปเกิดที่ไหนตามกรรม แต่ว่าส่วนมากย่อมเกิดในชั้น อาภัสสรพรหม เพราะฉะนั้น เวลาที่อยู่ในชั้นอาภัสสรพรหมเป็นเวลานาน เวลาที่โลกกลับเจริญ หมายความว่าเริ่มก่อเป็นโลกขึ้นใหม่ สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจากชั้นอาภัสสรพรหมเพราะสิ้นอายุ หรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า หมายความถึงพรหมชั้นปฐมฌานภูมิที่ว่างเปล่า เพราะถึงแม้ว่าจะเกิดในพรหมโลกแล้ว เมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ก็จะต้องมีการจุติและปฏิสนธิ ซึ่งจะเกิดในชั้นรูปพรหมหรือว่าจะเกิดเป็นเทวดา หรือว่าจะเกิดในมนุษย์โลกก็ได้ แต่ยังไม่ไปถึงอบายภูมิ เพราะกว่าจะได้เจริญกุศลถึงกับฌานจิตเกิด มหากุศลจิตก็ต้องเกิดมากมาย เป็นปัจจัยที่จะทำให้หลังจากจุติจากพรหมโลกก็เกิดในสุคติภูมิ

    เพราะฉะนั้น เมื่อจุติจากชั้นอาภัสสรพรหมก็มาสู่พรหมในวิมานที่ว่างเปล่าวิมานหนึ่ง ยังไม่มาถึงโลกนี้ จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า เพราะสัตว์นั้นอยู่แต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความต้องการดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้น อาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุ หรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า

    ตอนนี้ก็มีหลายบุคคลแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็น ผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น

    เพราะฉะนั้น พรหมนั้นก็เข้าใจผิดคิดว่า ตนเองเป็นผู้สร้างสัตว์อื่น

    แม้แต่บุคคลอื่นที่เกิดในชั้นนั้นก็เข้าใจผิด เพราะเหตุว่า แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลังก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้แลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็น ผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวกเราอันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าพวกเราได้เห็นท่านพรหมผู้นี้เกิดก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง ฯ

    คนที่เกิดทีหลังก็คิดว่า คนที่เกิดก่อนสร้าง เป็นผู้สร้าง จะเรียกอะไรก็ได้ จะเรียกพระอิศวร หรือพระผู้สร้าง หรือเรียกอะไรก็ตามแต่ ชื่อไม่สำคัญ แต่มีความเข้าใจผิดคิดว่า ผู้ที่เกิดก่อนเป็นผู้สร้าง เป็นผู้บันดาล ซึ่งนี่ยังเป็นพวกพรหมอยู่

    แต่เวลาที่มาเกิดเป็นมนุษย์ พวกนี้สามารถระลึกชาติได้ คือ เมื่อจุติจากชั้นนั้นมาเกิดในโลกมนุษย์ ก็ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต และสามารถระลึกชาติได้ เห็นท้าวมหาพรหมซึ่งเกิดก่อน ก็คิดว่าท้าวมหาพรหมเป็นผู้ที่เที่ยง แต่ตนเองเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน จึงจุติจากชั้นนั้นลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ไม่เท่ากับมหาพรหม

    สำหรับผู้ที่มีความเห็นผิดว่า โลกเกิดขึ้นลอยๆ ก็เช่นเดียวกัน เป็นผู้ที่ไปเกิดในชั้นอสัญญสัตตาพรหม ผู้ที่ไปเกิดในชั้นอสัญญสัตตาพรหม เวลาที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต สามารถระลึกชาติได้ ก็ระลึกต่อจากชั้นอสัญญสัตตาพรหมไปไม่ได้ ก็เลยเห็นว่าเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยที่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย

    สำหรับชั้นของปัญจมฌาน โดยปัญจกนัยอีก ๕ ภูมิ เป็นชั้นพิเศษ คือสุทธาวาส ๕ ภูมิ ได้แก่ ชั้นของผู้ที่เป็นพระอนาคามีและได้บรรลุปัญจมฌานด้วย

    ถ้าผู้ใดสามารถเจริญฌานได้จนถึงปัญจมฌาน แต่ว่าเป็นเพียงปุถุชน หรือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ก็ไม่สามารถที่จะเกิดในภูมินั้นได้ หรือถ้าท่านผู้ใดได้เป็นพระอริยะขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี แต่ไม่ได้คุณธรรมถึง ปัญจมฌาน ก็ไม่สามารถที่จะเกิดในสุทธาวาส ๕ ภูมิได้

    สำหรับภูมิอื่นในรูปพรหม ๑๖ ภูมิ ก็ยังมีการเกิดในที่ต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัยหลังจากหมดกรรมที่จะทำให้เกิดในรูปพรหมภูมิแล้ว แต่สำหรับสุทธาวาส ๕ ภูมิจะไม่มีการกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ ความเป็นมนุษย์หรือเทวดาในกามสุคติภูมิ

    สำหรับสุทธาวาส ๕ ภูมิ คือ อวิหาภูมิ ๑ อตัปปาภูมิ ๑ สุทัสสาภูมิ ๑ สุทัสสีภูมิ ๑ อกนิฏฐาภูมิ ๑ อกนิฏฐาภูมิ คือ พรหมที่สูงที่สุดของสุทธาวาส

    ถ้าศรัทธามีกำลังกล้าจะเกิดในชั้นอวิหาภูมิ ถ้าวิริยะมีกำลังกล้าจะเกิดในขั้น อตัปปาภูมิ ถ้าสติมีกำลังกล้าจะเกิดในขั้นสุทัสสาภูมิ ถ้าสมาธิมีกำลังกล้าจะเกิดในชั้น สุทัสสีภูมิ และถ้าปัญญามีกำลังกล้าจะเกิดในชั้นอกนิฏฐาภูมิ

    ผู้ที่เกิดในสุทธาวาสจะไม่กลับไปเกิดที่อื่นเลย เพราะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ในสุทธาวาสภูมินั้น

    ถ. ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องของฌาน จะเข้าถึงภูมิของพรหมได้หรือ

    สุ. ไม่ได้ นอกจากผู้นั้นเป็นพระอนาคามี

    ถ. พระอนาคามี ท่านเคยเข้าฌานด้วยหรือ

    สุ. ผู้ที่เป็นพระอนาคามีสามารถดับการยึดถือความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้เด็ดขาดเป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น ย่อมเป็นคุณธรรมที่บริสุทธิ์กว่าการที่จะถึงเพียงฌานจิต ซึ่งเป็นการระงับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเพียงชั่วคราว

    การที่จิตจะบรรลุถึงฌานจิต หมายความถึง ผู้นั้นสามารถที่จะไม่รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะในขณะที่เป็นฌานจิต ระงับความยินดีพอใจโดยไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้โผฏฐัพพะชั่วคราวในขณะที่เป็นฌานจิต แต่เวลาที่พ้นจากฌานจิตแล้วก็เกิดความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งถ้าผู้นั้นอบรมฌานจิตบ่อยๆ จนกระทั่งก่อนจุติจิตจะเกิด ชวนจิตที่เป็นฌานจิตเกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยทำให้ฌานวิบากจิตเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิในพรหมภูมิชั่วคราว เพราะว่าตามความเป็นจริงแล้ว ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท

    แต่ผู้ที่เป็นพระอนาคามีบุคคลคุณธรรมสูงกว่า เพราะว่าดับกามฉันทะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้น เวลาที่ท่านใกล้จะจุติ ความบริสุทธิ์ของคุณธรรมนั้นที่ดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นสมุจเฉท เป็นปัจจัยให้ฌานจิตเกิดขึ้น ทำให้ปฏิสนธิใน พรหมภูมิ ไม่ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิอย่างพระโสดาบันและพระสกทาคามีบุคคล

    ถ. โลกที่ถูกทำลายนี้ ชั้นพรหมต่างๆ ก็ดับหมดใช่ไหม

    สุ. ไม่หมด สงสัยใช่ไหม ที่เหลือไปไหน ในโลกธาตุอื่น ในจักรวาลอื่น ซึ่งทุกๆ จักรวาลจะมีทวีปทั้ง ๔ และมีสวรรค์แต่ละชั้น มีพรหมภูมิแต่ละชั้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะจักรวาลนี้จักรวาลเดียวที่มีทวีปทั้ง ๔ แต่ในทุกจักรวาลมีทวีปทั้ง ๔

    ถ. ที่อาจารย์กล่าวว่า ทุกจักรวาลมี ๔ ทวีป ชมพูทวีปในจักรวาลอื่น มีพระผู้มีพระภาคไปตรัสรู้หรือไม่

    สุ. ถ้ามี ก็จะต้องมีเพียงพระองค์เดียวในทุกจักรวาล จะไม่มีซ้อน ถ้ามีพระพุทธเจ้าในจักรวาลอื่น ในชมพูทวีปนี้ก็ไม่มี เพราะว่าจะมีพระพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้ ไกลเท่าไรก็ตามแต่ อาณาเขตของพระผู้มีพระภาคไปสุดจักรวาลทั้งหมด นี่คือพุทธานุภาพ

    ถ. ขณะที่โลกถูกทำลาย เหล่าสัตว์ส่วนใหญ่ไปเกิดในอาภัสสราภูมิ ในสมัยนั้นเขาได้ทำฌานหรือเปล่า หรือไม่ต้องมีฌานจิตก็ไปเกิดได้

    สุ. ไม่ได้ ต้องได้ฌาน

    ถ. หมายความว่า คนในสมัยนั้นรีบทำฌานกันใหญ่

    สุ. ก็โลกกำลังจะพินาศ ก็ต้องมีความหวั่นวิตก เห็นโทษเห็นภัย เริ่มจะกลัวภัยกัน

    ถ. ผมได้อ่านพระสูตรนี้ เรียนตามตรงว่าเชื่อครึ่งหรือไม่เชื่อครึ่ง ผมหนักไปทางเหตุผลมากกว่า ไม่ทราบว่าจะถามใคร ผมสงสัยว่า โลกดับ หมายถึงโลกที่เราอยู่ปัจจุบัน หรือรวมทั้งอบายภูมิ สุคติภูมิ สวรรค์ต่างๆ ก็ถูกทำลายหมดด้วยน้ำ หรือด้วยลม หรือด้วยเหตุไฟ ซึ่งก็ไม่น่าจะทำลายถึงขั้นนั้น และด้วยเหตุ ด้วยปัจจัยอะไรจึงทำให้สุคติภูมิต้องถูกทำลายไปด้วย

    สุ. ถึงกาลสมัยที่จะมีเหตุปัจจัยที่จะให้พินาศ ก็ต้องพินาศ มีอะไรที่คงอยู่โดยไม่พินาศบ้าง

    ถ. แต่ก็พินาศพร้อมๆ กับโลกมนุษย์นี่ใช่ไหม

    สุ. เวลาที่ถึงกาลสมัยที่จะเป็นอย่างนั้น แม้แต่เทวดาก็หนีไม่พ้น มนุษย์เองยังหนีไม่พัน จะทำกรรมดีสักเทาไรก็ตาม ถ้าตราบใดยังมีสังสารวัฏฏ์อยู่ ก็ยังจะต้องมีการเกิด ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยเจ้าก็จะต้องเกิดในอบายภูมิได้ ซึ่งก็จะต้องผจญหรือพบกับความพินาศของโลกได้ ถึงเคยเห็นมาแล้ว ก็ลืมไปหมด เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดความสงสัยขึ้น จนกว่ากำลังประจักษ์ จึงจะหมดความสงสัยในขณะนั้น

    ถ. ถ้าพิจารณาโลกที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ว่า จะพินาศด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลมก็ดี ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ทีเดียว แต่ก่อนนี้เรื่องระเบิดปรมาณูก็ดี ระเบิดไฮโดรเจนก็ดี ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อสมัยเราเด็กๆ เราไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านี้ ถ้าใครมาพูดว่า เมืองใหญ่ทั้งเมืองไฟจะลุกขึ้นมาทันที ซึ่งก่อนที่ไฟจะลุกขึ้นมาจะต้องมีลมอย่างแรงพัดมาพังหมดทุกอย่างในพริบตาเดียว ก็คงจะไม่มีใครเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้เราเชื่อแล้วว่า โลกจะพินาศด้วยลม ด้วยไฟ ผมเชื่อแล้วว่าเป็นไปได้ทีเดียว แต่ยังสงสัยว่า ทำไมในสุคติภูมิต้องพินาศไปด้วย และทำไมต้องด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยน้ำ

    สุ. แล้วแต่ว่าสภาพของจิตใจในขณะนั้นมากไปด้วยโลภะ หรือด้วยโทสะ หรือด้วยโมหะ ซึ่งนั่นก็ได้แสดงไว้ แต่ก็เป็นเรื่องที่อีกไกล อีกนาน และไม่แน่ว่าจะวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์จนประสบกับเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า แต่ว่าขณะนี้ยังไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ต้องคิดดีกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ประสบ ใน ๑๐๐ ปีนี้ยังไม่ถูกทำลาย ยังไม่พินาศ และเวลาที่เกิดใกล้ๆ สมัยนั้นก็จำไม่ได้แล้วว่าเคยสงสัยว่า โลกจะพินาศด้วยอะไร

    ถ. เคยอ่าน …

    สุ. อ่านแล้วก็ลืมไปอีก เพราะฉะนั้น ความรู้ซึ่งเกิดจากการฟังหรือการอ่าน โดยที่ยังไม่ได้ประสบจริงๆ ยังไม่สามารถที่จะขจัดความสงสัยใดๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำถามของท่านผู้ฟังคราวก่อนที่ถามเรื่องนรกไทย นรกชาติอื่น หรือเรื่องสวรรค์ไทยทำไมมีหลายชั้น สวรรค์ตามพระพุทธศาสนามีถึง ๖ ชั้น แต่ทำไมสวรรค์ชาติอื่นนั้นน้อยชั้นกว่า นี่เป็นเรื่องที่จะเอาตำราทั้งหลายมาอ่าน และก็แล้วแต่ศรัทธาความเชื่อมั่นว่า จะพิจารณาในเหตุผลอะไร และจะเชื่ออย่างไร แต่ถ้าคิดถึงเรื่องความวิจิตรของกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ต้องต่างกันมาก

    ในการทำบุญทำกุศลครั้งหนึ่งๆ ซึ่งมีหลายคนทำด้วยกัน จิตใจก็ย่อมต่างกันแล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน หรือทางฝ่ายอกุศลก็เช่นเดียวกัน ถ้าหลายๆ คนจะร่วมกันฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่ง ก็ไม่ทราบว่าอกุศลจิตของใครจะมีกิเลส มีความเพียรแรงกล้ากว่าคนอื่นที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดในที่ต่างๆ กันได้มากกว่าเพียง ๑ ที่จะมีสวรรค์เพียง ๑ หรือว่านรกเพียง ๑ แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่ได้ประจักษ์ ก็เป็นการวินิจฉัยด้วยศรัทธา แล้วแต่ว่าใครจะมีฉันทะที่จะเชื่ออย่างไร ซึ่งก็ไม่สามารถดับความสงสัยได้ ต่อเมื่อใดได้ประสบ เมื่อนั้นก็จะได้เข้าใจชัด

    ทางตาในขณะนี้ ถ้าปัญญาอบรมเจริญขึ้นสามารถที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่ลืมตา และเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ ปัญญาที่อบรมแล้วก็สามารถจะประจักษ์ลักษณะที่ขาดตอนของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะว่าหลังจากที่จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางปัญจทวาร คือ สีสันวัณณะต่างๆ ดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ต่ออย่างรวดเร็วที่สุด แต่ไม่มีการประจักษ์ในสภาพของมโนทวารซึ่งเกิดต่อจากทางปัญจทวาร ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร และต่อกับทางหูอย่างรวดเร็ว คือ เหมือนกับว่าเห็นด้วยและได้ยินด้วยพร้อมๆ กัน

    แต่ความจริงแล้ว แม้แต่ขณะที่ได้ยิน จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงทางปัญจทวารวิถี คือ โสตทวารวิถีดับไปแล้ว ก่อนที่จะรู้ความหมาย ก่อนที่จะตรึกนึกถึงความหมายแต่ละความหมายของเสียงที่ปรากฏ ก็มีมโนทวารวิถีจิตเกิดแทรกเกิดคั่นอยู่ทุกทวาร

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ยังไม่ประจักษ์ลักษณะของมโนทวารวิถีจิตซึ่งคั่น ปัญจทวารวิถีจิตแต่ละวิถี ทำให้ปรากฏเสมือนว่าเป็นโลกที่ยั่งยืน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ สืบต่อกัน ไม่มีวันแตกสลายเลยทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    การที่จะสามารถประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ โดยมโนทวารปรากฏการแยกขาดจากกันของสภาพธรรมแต่ละลักษณะในขณะนี้ ซึ่งมีมโนทวารวิถีจิตเกิดคั่น ก็จะต้องมีการอบรมเจริญปัญญาให้เพิ่มขึ้น มีความรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าเป็นสภาพของนามธรรม หรือเพราะว่าเป็นสภาพของรูปธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งสามารถที่จะรู้ได้ในแต่ละทวาร

    ถ้าการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่เป็นเรื่องละเอียด ไม่เป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่เป็นเรื่องยาก ก็คงจะไม่มีการเห็นผิด เข้าใจผิด หรือรู้ผิด บรรลุผิด ซึ่งการที่จะรู้ผิดเป็นมิจฉัตตญาณ หรือว่าเป็นมิจฉัตตวิมุตติ การหลุดพ้นผิดนั้น ก็เพราะว่าการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ละเอียดมากทีเดียว

    เมื่อการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นเรื่องละเอียด ผู้ที่ถึงแม้ว่าจะเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานและมีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่เป็นผู้ละเอียด ก็อาจจะหลงผิดเข้าใจว่า ได้บรรลุวิปัสสนาญาณ ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกได้แสดงถึงเรื่องข้อปฏิบัติผิด การบรรลุผิด ใน อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ไว้หลายสูตรทีเดียว เช่น ใน สาธุสูตร มิจฉัตตสูตร และ สัมมัตตสูตร ก็เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงความเป็นผิด ตั้งแต่ความเห็นผิด ตลอดไปจนกระทั่งถึง มิจฉาญาณ และมิจฉาวิมุตติ

    เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาที่จะละกิเลสได้ ต้องเป็นเรื่องที่ประกอบพร้อมกับความรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่เป็นการเบื่อเหลือเกินโดยไม่รู้อะไร ทางตาที่กำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ว่าสภาพที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู เสียงที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่สภาพธรรมที่กำลังรู้เสียง ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้อย่างนี้จริงๆ แต่ว่ามีความปรารถนา มีความต้องการที่จะบรรลุญาณ ก็อาจจะทำให้เกิดการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ประกอบพร้อมกับการตรึกนึกถึงสภาพธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมา และก็เข้าใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณได้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะว่าปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณต้องเกิดพร้อมในขณะที่สติกำลังระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่ตัวตนที่กำลังรู้แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น แต่เป็นปัญญา เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่กำลังรู้

    ไม่ใช่ว่า ท่านเจริญไป อบรมไป และเข้าใจว่าสภาพธรรมกำลังเกิดดับ อันนี้ปรากฏแล้วก็หมดไป นี่เป็นมโนทวารแล้ว เพราว่าหลับตาแล้วก็ไม่เห็นอะไร แต่นั่นยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้งในการแยกขาดออกจากกันของสภาพธรรมทางมโนทวารวิถีจิตจริงๆ

    ใน ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ปาฏิกสูตร แม้สุนักขัตตะโอรสเจ้าลิจฉวีจะได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปเบื้องหลังพระองค์ แต่เมื่อไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เกิดความเห็นผิดนานาประการได้ จนกระทั่งเห็นผิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงหวงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งจะเป็นความจริงไม่ได้เลย เพราะว่าที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาก็เพื่อที่จะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะทรงแสดงธรรมอุปการะบุคคลทั้งหลาย ให้สามารถที่จะอบรมปัญญาที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๖๘ ตอนที่ ๖๗๑ – ๖๘๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 44
    28 ธ.ค. 2564