ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 41


    ตลับที่ ๒๑

    มนินทรีย์ว่า ตราบใดที่ชีวิตินทรีย์ยังเป็นไปได้อยู่ ตราบนั้นความเสวยอารมณ์ เวทนาเหล่านี้ก็ไม่มีการหยุดยั้ง ก็เพื่อที่จะให้ทราบความเสยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นทั้งหมด เป็นสุข และทุกข์เป็นต้น จึงทรงแสดงสุขินทรีย์ไว้ ต่อจากชิวิตินทรียะ และ มนินทรีย์

    ท่านผู้ฟังอยากจะไม่มีเวทนาเจตสิกหรือยัง เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ชิวิตินทรียะ คือยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นไปได้อยู่ ตราบนั้นความเสวยอารมณ์ คือเวทนาเหล่านี้ ก็ไม่มีการหยุดยั้ง ไม่หมด ความรู้สึกจะต้องมีอยู่ทุกขณะที่จิตเกิด แล้วก็ปรารถนาแต่เฉพาะสุขเวทนา และโสมนัสเวทนา แต่อย่าลืมว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา วันนี้เป็นสุขเวทนา ต่อไปจะเป็นทุกเวทนา แสนสาหัสก็ได้ จากอุบัติเหตุซึ่งมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือว่าจากโสมนัสเวทนา กำลังเป็นโสมนัสอยู่ ข่าวร้ายปัจจุบันมา ก็เป็นโทมนัสเวทนาไปเสียแล้ว ในสังสารวัฏฏ์ ก็จะต้องวนเวียนไปกับความรู้สึกซึ่งไม่มีวันจบ

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ก็เพื่อแสดงข้อปฏิบัติว่า ธรรมเหล่านี้ ควรเจริญให้เกิดมี เพื่อที่จะได้ดับสุขินทรีย์เป็นต้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศรัทธาเป็นต้นไว้ ต่อจากสุขินทรีย์เป็นต้น

    ไม่หมดหนทาง มีหนทางที่จะดับเวทนาทั้งหลาย เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงอุบัติ ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ดับเวทนาทั้งหลายได้ โดยที่ทรงแสดงอินทรีย์ ๕ ต่อจากอุเบกขินทรีย์

    คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์

    ซึ่งได้แก่ อินทรีย์ที่ ๑๕ สัทธินทรีย์

    อินทรีย์ที่ ๑๖ วิริยินทรีย์

    อินทรีย์ที่ ๑๗ สตินทรีย์

    อินทรีย์ที่ ๑๘ สมาธินทรีย์

    อินทรีย์ที่ ๒๐ ปัญญินทรีย์

    ข้อความต่อไปมีว่า เมื่อทรงแสดงความไม่เป็นโมฆะแห่งข้อปฏิบัติว่า ด้วยการปฏิบัติ ธรรมนี้ย่อมจะปรากฏมีในตนก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะไว้ ต่อจากสัทธินทรียะ เป็นต้นนั้น

    อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    ซึ่งเป็นไปในขณะที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่เป็นโมฆะ ถ้าขณะใดที่สติระลึก รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทางตาตามปกติ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนี้ แต่ว่าสภาพธรรมคือปัญญาเจตสิก ซึ่งได้เจริญอบรมแล้ว อินทรีย์ ๕ ซึ่งได้เจริญอบรมแล้ว ก็ย่อมจะเกิดผลตามลำดับ

    เพราะฉะนั้นจึงมีข้อความว่า

    เพื่อทรงแสดงความไม่เป็นโมฆะแห่งข้อปฏิบัติว่า ด้วยการปฏิบัตินี้ ธรรมนี้ย่อมจะปรากฏมีในตนก่อน ในปัญญาทั้ง ๓ ขั้นนี้ อนัญญาตัญญัติสามีตินทรีย์ต้องเกิดก่อน คือปัญญาซึ่งเกิดพร้อมกับโสตาปัตติมัคคจิต รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงอนัญญาตัญญัติสามีตินทรีย์ไว้ ต่อจากสัทธินทรียะเป็นต้น

    ข้อความต่อไปมีว่า

    อัญญินทรีย์ทรงแสดงไว้ต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ เพราะอัญญินทรีย์นี้เป็นผลของอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ และเป็นอินทรีย์ที่จะพึงเจริญให้เกิดมี ในลำดับต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ

    ชื่อยาวๆ อย่างนี้ ท่านผู้ฟังก็จำไว้ว่าเป็นปัญญา ซึ่งเกิดกับโสตาปัตติมัคคจิต ยาวที่สุด คืออนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ เป็นครั้งแรก เป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ ซึ่งทำให้ผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคล ต้องเป็นใหญ่จริงๆ เพราะฉะนั้น อินทรีย์ต่อไปคือ อัญญินทรีย์ ได้แก่ปัญญาเจตสิก ซึ่งเกิดกับโสตาปัตติผลจิต เป็นต้นไป จนกระทั่งถึง อรหัตตมัคคจิต เว้นเฉพาะอรหัตตผลจิต ซึ่งเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง

    นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันแล้ว เพราะสำหรับอัญญินทรีย์ ได้แก่ปัญญาซึ่งเกิดกับโสตาปัตติผลจิต ตลอดไปจนกระทั่งถึง อรหัตตมัคคจิตนั้น ทรงแสดงไว้ ต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะนั้น เพราะอัญญินทรีย์นี้เป็นผลของอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ ถ้าโสตาปัตติมัคคจิตไม่เกิด โสตาปัตติผลจิตเกิดไม่ได้ สกทามัคคจิตเกิดไม่ได้ สกทาคามิผลจิตเกิดไม่ได้ อนาคามิมัคคจิตเกิดไม่ได้ อนาคามิผลจิตเกิดไม่ได้ อรหัตตมัคคจิตเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่อัญญินทรีย์จะเกิดได้ ก็ต้องเกิดต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ คือปัญญาเจตสิกที่เกิดกับโสตาปัตติมัคคจิตนั่นเอง

    เหลืออินทรีย์สุดท้าย ซึ่งเป็นอินทรีย์ที่ไม่ต้องมีการกระทำกิจอื่นย่องไปกว่านี้อีก คือปัญญาเจตสิกซึ่งเกิดกับอรหัตตผลจิต

    ซึ่งข้อความต่อไปมีว่า

    ต่อแต่นี้ไป เพื่อที่จะให้ทราบว่า การบรรลุอัญญินทรีย์นี้ จะมีได้ก็ด้วยภาวนา และเมื่อบรรลุอัญญินทรีย์นี้แล้ว ก็ไม่มีกิจอะไร ที่จะพึงกระทำยิ่งๆ ขึ้นไปอีก พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงอัญญาตาวินทรีย์ อันเป็นความเบาใจอย่างยอดเยี่ยมไว้เป็นข้อสุดท้าย

    ลำดับในเรื่องอินทรีย์นี้ เป็นดังกล่าว มานี้

    นี่คือ เหตุผลที่ทรงแสดงอินทรียะ ๒๒ ไว้โดยลำดับ

    สำหรับข้อความต่อไป ก็เป็นข้อความที่วินิจฉัยโดยความต่างกัน และไม่ต่างกันของอินทริยะ ๒๒ ซึ่งมีข้อความว่า

    โดยความต่างกัน และไม่ต่างกันนั้น หมายความว่า บรรดาอินทรียะเหล่านี้มีความต่างกัน เฉพาะชีวิตินทรียะเท่านั้น เพราะชีวิตินทรียะนั้นมี ๒ อย่าง คือรูปชีวิตินทรียะ ๑ อรูปชีวิตินทรียะ ๑ อินทรียะที่เหลือไม่มีความต่างกัน คือเป็นรูป ก็เป็นรูป เป็นนามก็เป็นนาม ไม่เหมือนชีวิตินทริยะ ซึ่งเป็นรูปชีวิตินทรียะ ๑ และเป็นอรูปคือ นามชีวิตินทรียะ ๑ ในเรื่องอินทรียะนี้ พึงทราบวินิจฉัยโดยความต่างกัน และไม่ต่างกัน ดังกล่าวมานี้แล

    มีท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม ในเรื่องของการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอินทรียะโดยลำดับ และโดยความต่างกันและไม่ต่างกัน

    เรื่องของอินทรีย์ ไม่ใช่อยู่ที่อื่น ทุกท่านกำลังมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแม้อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิติทรีย์ มนินทรีย์ มีแม้สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัสินทรีย์ โทมนัสินทรีย์ หรืออุเบกขินทรีย์ แต่ว่าจะมีสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มากน้อยขนาดไหน และข้อสำคัญที่สุดคือ ทุกท่านรู้เอง ด้วยตัวของตัวเองว่า การอบรมเจริญภาวนา ไม่เป็นโมฆะ จนกว่าอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะจะเกิด ซึ่งถ้าเกิดแล้ว ก็จะเป็นเรื่องที่จะต้องเจริญต่อไป จนกระทั่งถึงอัญญินทรีย์ และอัญญาตาวินทรีย์

    ถาม นาม เมื่อตะกี้นี้ที่พูดว่านามชีวิตินทรียะคืออะไรครับ

    อ.สุจินต์ ได้แก่ชีวิตินทรียเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง

    ถาม อีกชื่อหนึ่งเมื่อกี้นี้ ที่รู้สึกคล้ายๆ กันครับ คือมนินทรีย์ครับ

    อ.สุจินต์ มนินทรีย์ได้แก่จิตปรมัตถ์ ไม่ใช่เจตสิกปรมัตถ์

    ถาม จิตทั้งหมดเลยหรือครับ

    อ.สุจินต์ ทุกดวง

    ถาม จิตทุกดวงเป็นอินทรีย์ได้ทั้งนั้น

    อ.สุจินต์ ได้ เพราะเหตุว่า จิตนี่ทุกดวงเป็นที่ตั้งหรือว่าเป็นที่เกิดของเจตสิก เป็นใหญ่ เป็นประธาน โดยเป็นที่ตั้งของเจตสิก เป็นที่เกิดของเจตสิก เจตสิกจะไม่เกิดที่อื่น นอกจากเกิดกับจิต

    ถาม อย่างนี้อกุศลจิต อย่างเช่นโลภะนี้ จะเป็นอินทรีย์ได้ไหมครับ

    อ.สุจินต์ เป็น เพราะเหตุว่า โดยความหมายที่ว่า แม้เป็นโลภมูลจิต แต่ก็เป็นอินทรียะเป็นประธาน เพราะเหตุว่า เป็นที่ตั้งของเจตสิก คือเป็นที่เกิดของเจตสิกนั่นเอง

    สภาพที่เป็นอินทรียปัจจัย ต้องเป็นปัจจัยแก่สภาพธรรมอื่นในขณะนั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่จิตเกิดขึ้น ในขณะนั้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตเป็นปัจจัยแก่เจตสิกโดยเป็นอินทรียปัจจัยด้วย เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตจึงเป็นมนินทรีย์

    ถาม ขณะที่เจริญสตินี้ ก็อาจจะระลึกถึงสภาพที่เป็นอินทรีย์นี้ก็ได้นะครับ

    อ.สุจินต์ แน่นอนที่สุด ถ้าตราบใดที่ยังไม่ระลึกสภาพที่เป็นอินทรีย์ จะไม่เข้าถึงลักษณะที่เป็นอนัตตา

    สำหรับวันนี้ ก็ขอต่อเรื่องของชิวิตินทรียะ ซึ่งเมื่อกี้ถามถึง ข้อความในอัฏฐสาลินี อธิบายชีวิตินทรียะ มีข้อความว่า

    สภาวะที่ชื่อว่าอายุ เพราะทำให้สหชาตธรรมเป็นไปได้ จริงอยู่เมื่ออายุมีอยู่ ธรรมทั้งหลายก็ดำเนินไป คือเป็นไปได้ อนึ่ง เพราะเมื่ออายุมีอยู่เท่านั้น ธรรมเหล่านี้จึงตั้งอยู่ได้ เป็นไปได้ ให้เป็นไปได้ ดำเนินไปได้ หล่อเลี้ยงอยู่ได้

    ท่านผู้ฟังมีชีวิตอยู่ หมายความว่า ยังมีอายุอยู่หรือเปล่า ยังไม่สิ้นอายุใช่ไหม คือยังมีความเป็นไปได้

    สำหรับนามชีวิตินทรีย์ ก็ทำให้สหชาตธรรมคือเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน และจิตเป็นไปได้ ชีวิตินทรียะที่เป็นเจตสิกเกิดพร้อมกัน จิตและเจตสิกทุกดวง เพราะฉะนั้น ก็เป็นสหชาตธรรมซึ่งอุปถัมภ์กันให้ สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยเป็นไปได้ ฉะนั้นจึงมีข้อความว่า

    อนึ่ง เพราะเมื่ออายุมีอยู่เท่านั้น ธรรมเหล่านี้จึงตั้งอยู่ได้เป็นไปได้ ให้เป็นไปได้ ดำเนินไปได้ หล่อเลี้ยงอยู่ได้

    ไม่ว่านามหรือรูปธรรม มีอายุทั้งนั้น ขณะที่ยังไม่ดับไป จิตเกิดดับเร็ว เพราะเหตุว่า จิตมีอายุ คือนุขณะสั้นๆ เพียง ๓ ขณะ อุปาทขณะ ขณะที่เกิดขึ้น ฐีติขณะ ขณะที่ยังไม่ดับ และภังคขณะ คือขณะที่ดับ เร็วมาก แต่ตราบที่จิตตั้งอยู่ ก็เพราะชีวิตินทรียะเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น อุปถัมภ์ให้นามธรรม ซึ่งชีวิตินทรียเจตสิกเกิดร่วมด้วย ดำรงอยู่ ตามอายุของสภาพธรรมนั้นๆ คือถ้าเป็นนามธรรม ก็มี ๓ ขณะย่อย ได้แก่อุปาทขณะ ฐีติขณะ และภังคขณะ

    ข้อความในอัฏฐสาลินี ได้อธิบายชิวิตินทรียะ ซึ่งเป็นนามธรรม มีข้อความว่า ที่ชื่อว่า ชีวิต เพราะเป็นเหตุให้ธรรม ที่สัมปยุตด้วยชีวิตนั้นเป็นอยู่ได้ ชื่อว่าอินทรียะ

    ถ้าพบคำว่าสัมปยุตต์ ต้องหมายความถึงนามธรรม เป็นปัจจัยแก่นามธรรมเท่านั้น ถ้านามธรรมเป็นปัจจัยแก่รูปธรรม ไม่ใช่สัมปยุตตธรรม เพราะเหตุว่าสัมปยุตตธรรมหมายความถึง ธรรมซึ่งมีสภาพซึ่งเกิดร่วมกัน เข้ากันได้สนิทอย่างดี ดับพร้อมกัน มีอารมณ์เดียวกัน และเกิดที่เดียวกัน

    เพราะฉะนั้น สัมปยุตตธรรมก็ได้แก่จิตปรมัตถ์ และเจตสิกปรมัตถ์เท่านั้น เพราะเหตุว่า เป็นนามธรรมด้วยกัน จึงเข้ากันได้อย่างสนิท นามธรรมเป็นปัจจัยแก่รูปธรรมได้ไหม ได้ แต่ไม่สามารถจะเข้า กลมกลืนสนิทเหมือนนามธรรมต่อนามธรรม เพราะฉะนั้น นามธรรมที่เป็นปัจจัยแก่รูปธรรม เป็นโดยวิปยุตตปัจจัย รูปธรรมเป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรมได้ไหม ได้ แต่ไม่ใช่สาภพธรรมอย่างเดียวกัน คือไม่สามารถที่จะเข้ากันสนิทกลมกลืน เหมือนกับสภาพธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีอารมณ์เดียวกัน และเกิดที่เดียวกันได้ เพราะฉะนั้น รูปธรรมใด ซึ่งเป็นปัจจัยให้นามธรรมเกิดขึ้น ได้โดยเป็นวิปยุตตปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัยแล้ว หมายเฉพาะนามธรรม คือจิตและเจตสิก เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ข้อความที่ว่า ที่ชื่อว่า “ชีวิต” เพราะเป็นเหตุให้ธรรมที่สัมปยุตต์ด้วยชีวิตนั้นเป็นอยู่ได้ ชื่อว่าอินทรียะ จึงหมายความถึงชีวิตินทรียเจตสิก เพราะมีสภาพครอบครองความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งการตามรักษาชีวิตนั่นแล เป็นอินทรีย์ จึงชื่อว่าชีวิตินทรียะ เป็นใหญ่ไหม ถ้าไม่มีก็ตั้งอยู่ไม่ได้ สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพราะฉะนั้น ที่จิตดำรงอยู่ แม้ชั่วขณะเล็กน้อย ก็ให้เห็นว่าเป็นเพราะชีวิตินทรียเจตสิก เกิดร่วมด้วย คืออุปถัมภ์จิตและเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเกิดพร้อมกัน ให้ดำรงอยู่ได้

    เพราะฉะนั้น จึงมีข้อความว่า เพราะว่ามีสภาพเป็นใหญ่ ในลักษณะแห่งการตามรักษาชีวิตนั่นแลเป็นอินทรีย์ จึงชื่อว่า ชีวิตินทรียะ

    เมื่อว่าโดยลักษณะเป็นต้น

    ชีวิตินทรียะนั้นมีการอุปถัมภ์รักษาธรรมทั้งหลายที่ไม่แยกจากตนเป็นลักษณะ

    มีการทำให้ธรรมเหล่านั้นเป็นไป เป็นรส

    มีความดำรงไว้ซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นปัจจุปัฏฐาน

    คือเป็นอาการที่ปรากฏ

    มีธรรมที่พึงให้เป็นไปได้ เป็นปทัฏฐาน

    สำหรับชีวิติทรียรูป ก็โดยนัยเดียวกัน แต่ไม่ใช่นามธรรม เป็นรูปธรรมที่ทำให้รูปซึ่งเกิดเพราะกรรม ซึ่งตนเกิดร่วมด้วย เป็นรูปที่ดำรงชีวิต ต่างกับรูปอื่นๆ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรม

    สำหรับลักษณะเป็นต้นของชีวิตินทรียรูป มีข้อความว่า

    มีการอุปถัมภ์ตามรักษาธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกัน เป็นลักษณะ

    มีความประพฤติเป็นไปของรูปธรรมนั้นๆ เป็นรสคือเป็นกิจ

    มีความดำรงอยู่ของรูปธรรม เป็นปัจจุปัฏฐาน

    คืออาการปรากฏ

    มีภูตรูปอันจะพึงยังรูปธรรมนั้นๆ ให้เป็นไป เป็นปทัฏฐาน

    คือเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

    ชีวิตินทรียะนั้น ย่อมอุปถัมภ์รักษาธรรมเหล่านั้น ในขณะที่มีอยู่เท่านั้น เหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงดอกอุบลเป็นต้น และชีวิตินทรียะนั้น ย่อมรักษาธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น ด้วยปัจจัยของตน ดุจพี่เลี้ยงเลี้ยงดูกุมารฉะนั้น และเป็นไปโดยสัมพันธ์กันกับธรรมที่ตนให้เป็นไปแล้ว ดุจต้อนหนยังเรือให้แล่นไปฉะนั้น ชีวิตินทรียะนั้น ให้เป็นไปเหนือภังคะขณะไม่ได้ เพราะความที่ตนและธรรมที่ให้เป็นไปไม่มี ธำรงไว้ในขณะแห่งภังคะไม่ได้ เพราะตัวเองก็สลาย ดุจเมื่อไส้และนั้นมันหมด เปลวประทีปก็หมด ฉะนั้น

    ท่านผู้ฟังได้ฟังเรื่องของชีวิตินทรียรูป และชิวิตินทรียนาม แล้วก็ได้รู้ลักษณะของชีวิตินทรียเจตสิก และชีวิตินทรียรูป ให้ทราบว่าในขณะนี้ รูปที่กาย ซึ่งมีความประพฤติเป็นไป หรือมีความดำรงอยู่ เพราะชีวิตินทรียรูปนั่นเอง ขณะนี้จักขุปสาทอยู่ไหม ขณะที่เห็นนี้ จักขุปสาทดับไม่ได้ ยังดับไม่ได้ เพราะว่าถ้าดับไปแล้ว การเห็นจะมีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็น แสดงว่าจักขุปสาทเกิดแล้วยังไม่ดับ การเห็นจึงเกิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าหยั่งลงไปถึงชีวิตินทรียรูปว่า ในขณะที่จักขุปสาทขณะนี้ยังไม่ดับไป ที่มีการเห็นในขณะนี้ เพราะชีวิตินทรียรูปอุปถัมภ์ให้ตั้งอยู่ ในขณะที่ยังไม่ดับ

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของทุกท่านนี้ มีความเป็นไปในวันหนึ่งๆ ถ้าดูอย่างหยาบก็แสดงว่า ยังดำรงชีวิตอยู่ รูปยังเป็นรูปที่ดำรงชีวิต ยังทรงชีวิต เพราะชีวิตินทรียรูปเกิดร่วมกับกลุ่มของรูป ซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ให้ดำรงอยู่ ยังไม่หมดกรรม ยังไม่สิ้นกรรม ยังคงเป็นบุคคลนี้อยู่ เพราะฉะนั้นกัมมชรูปก็เกิดขึ้น เพราะกรรมทำให้รูปนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นไป และมีชีวิตินทรียรูปตามอุปถัมภ์รักษารูปนั้น ตราบเท่าที่รูปนั้นยังตั้งอยู่ แต่รูปก็เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ชีวิติทรียรูปก็ตามรักษาเฉพาะในขณะที่ดำรงอยู่ ไม่ใช่ในภังคขณะ เพราะเหตุว่า แม้ตนเองก็สลายในขณะภังคะด้วย เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถที่จะทำกิจอุปถัมภ์ หรือว่าดำรงรักษารูปธรรม ซึ่งเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น

    สำหรับชีวิติทรียะ มีข้อสงสัยอะไรไหม

    ทรงเกียรติ ก็ชิวิตรูปกับชีวิตนามนี้ อันนี้ก็ไม่เท่ากัน เพราะว่ารูปนี้มีอายุเท่ากับ ๑๗ขณะของจิต เพราะฉะนั้น อยากถามว่า ชีวิติทรียเจตสิกนี้จะรักษารูปได้หรือเปล่าครับ

    อ.สุจินต์ ไม่ได้ค่ะ

    ทรงเกียรติ จะต้องรักษานามอย่างเดียว แล้วก็รูปรักษารูป นามรักษานาม แต่ละฝ่าย จะรักษาซึ่งกันและกันไม่ได้

    อ.สุจินต์ ค่ะ

    แล้วก็สำหรับรูปที่เกิดเพราะจิตเป็นปัจจัย มีจิตเป็นสมุฏฐานจึงเกิดขึ้น ในขณะนั้นก็ไม่มีชีวิตรูปเกิดร่วมด้วย ถูกไหม เพราะเหตุว่า อะไรทำให้ชีวิตรูปดำรงอยู่ เป็นรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น กรรมนั่นเอง ทำให้ชีวิตินทรียรูปเกิดขึ้น ทำกิจของชีวิตินทรียรูป ด้วยเหตุนี้จึงมีชีวิตินทรียะ ๒ ประเภท คือชีวิติทรียรูป ๑ และชีวิตินทรียอรูป ๑ คือชีวิติทรียเจตสิก ๑

    สำหรับการศึกษาเรื่องของอินทรีย์ หรือว่าเรื่องของธรรมทั้งหลาย อย่าลืมจุดประสงค์ ว่าเพื่อที่จะเกื้อกูลการอบรมเจริญปัญญา ที่สามารถจะรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามปกติตามความเป็นจรอง จนสามารถที่จะดับกิเลสได้ เพื่อที่จะให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    เพราะฉะนั้น แม้เรื่องของอินทรียปัจจัย เพียงปัจจัยเดียวก็สามารถที่จะแสดงถึงธรรม ซึ่งเกื้อกูลแก่การที่จะแบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ โดยตลอด คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีอินทรียรูปคือจักขุนทรีย์ ตา โสตินทรีย์ หู ฆานินทรีย์ จมูก ชิวหินทรีย์ ลิ้น กายินทรีย์ กาย และมนินทรีย์ โลกจะปรากฏไหม ไม่มีเลย แล้วก็จะสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมอะไรได้

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้แจ้งสภาพของธรรมนั้น จะปราศจากการเข้าใจเรื่องของอินทรีย์โดยถ่องแท้ไม่ได้เลย ไม่ใช่เพียงแต่รู้ว่าอินทรีย์มี ๒๒ แล้วเป็นอินทรีย์ ปัจจัย ๒๐ แต่จะต้องรู้ลักษณะจริงๆ ของอินทรียะ แต่ละอย่าง ที่จะเกื้อกูลต่อการที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจด้วย

    เพราะฉะนั้น ก็จะขอกล่าวถึงอินทรียะที่เป็นรูปเสียก่อน ที่ว่า สำหรับอินทรียะ ๒๒ นั้น เป็นรูป ๗ ท่านผู้ฟังควรที่จะได้พิจารณาว่า ทำไมมหาภูตรูปไม่เป็นอินทรียะ เป็นมหาภูตรูป เป็นรูปใหญ่ เท่ากับว่าเป็นประธานของรูป เพราะเหตุว่า ถ้าปราศจากมหาภูตรูปแล้ว รูปอื่นๆ จะมีไม่ได้เลย จักขุปสาทก็มีไม่ได้ โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท ก็มีไม่ได้ แต่เพราะเหตุใด มหาภูตรูปจึงไม่เป็นอินทรียะ ไม่เป็นใหญ่ เคยลองคิดไหม เป็นมหาภูตรูป แต่ไม่เป็นอินทรีย์ ไม่เป็นใหญ่ เพราะเหตุว่า มหาภูตรูปนี้มีอยู่ทั่วไป ทั้งภายในและภายนอก

    ที่กายนี่ก็มีมหาภูตรูป แต่จะรู้ลักษณะของมหาภูตรูปได้ไหม ถ้าไม่มีกายปสาท ซึ่งเป็นอินทรียะ เพราะฉะนั้น สภาพของรูป ซึ่งเป็นใหญ่จริงๆ ไม่ใช่มหาภูตรูป แต่เป็นอินทรียรูป ซึ่งเป็นทวารหรือว่าเป็นทาง ที่จะทำให้รูปอื่นปรากฏได้ เช่น ทางตานี้ มีสีสันวรรณะปรากฏ แต่เพียงไม่มีจักขุปสาทเป็นจักขุนทรีย์ รูปทั้งหมดไม่ปรากฏเลย ที่ท่านผู้ฟังเห็นเป็นจิตรกรรมสวยๆ งามๆ ต่างๆ เป็นพระพุทธรูปทองคำบ้าง เป็นพระพุทธรูปที่มีค่าต่างๆ บ้าง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 5
    25 ส.ค. 2565

    ซีดีแนะนำ