ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 06
แต่ว่าอาจจะไม่สนใจในกุศลเรื่องอื่น บางท่านก็มีฉันทะพอใจที่จะแสวงหา ช่วยเหลือในการจัดหาอุปกรณ์ในการศึกษา หรือในการเผยแพร่ธรรม บางท่านก็เป็นผู้ที่มีฉันทะในการช่วยเหลือ สงเคราะห์ในการรักษาพยาบาล หรือว่ากระทำกิจธุระของเพื่อนฝูง มิตรสหาย หรือแม้แต่ช่วยรักษาพยาบาลสุนัขขาหัก มีไหม คนที่ไม่มีฉันทะ ทำได้ไหม เห็นสุนัขขาหัก ก็ผ่านไป ถ้าไม่มีฉันทะก็ช่วยไม่ได้ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ใน ๕ คน ๖ คน ๑๐ คน ซึ่งผ่านไป ถ้ามีท่านผู้หนึ่งผู้ใดช่วย แสดงว่าท่านผู้นั้นมีฉันทะ ในการที่จะกระทำกุศลประเภทนั้น หรือบางท่านก็ช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลน บางท่านก็ดูแลทุกข์สุข ความป่วยไข้ของคนในบ้าน รวมทั้งนอกบ้าน จนถึงทหารชายแดน หรือบรรดาผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม
บางท่านก็มีความเห็นใจในความทุกข์ยาก ซื้อข้าวสาร แล้วขับรถไปแจกให้กับผู้ที่ขัดสน นี่ก็เป็นการทำกุศลประเภทต่างๆ บางท่านสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน บางท่านอย่างอื่นไม่ทำเลย นอกจากบวชพระ ไม่ว่าจะมีใครที่มีศรัทธา ในการที่จะอุปสมบท ท่านผู้นั้นก็รับที่จะอุปสมบทให้ นี่ก็เป็นฉันทะของแต่ละบุคคล ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะพิจารณาตัวของท่านได้ ว่าท่านมีฉันทะในกุศลประเภทใด ในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องความสงบของจิต ในเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐาน นี่เป็นทางฝ่ายกุศล ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น สำหรับกามาวจรกุศลจิต ที่เป็นไปในทานบ้าง เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในสมถะ คือความสงบของจิตบ้าง หรือเป็นไปในการเจริญสติปัฏฐานบ้าง มีสหชาตาธิปติปัจจัย คือ บางครั้งจะมีฉันทะเป็นอธิบดี บางครั้งจะมีวิริยะเป็นอธิบดี บางครั้งจะมีปัญญาเป็นอธิบดีได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกครั้งต้องเป็น
ในชีวิตประจำวัน ในขณะสวดมนต์ เมื่อกี้นี้เอง ท่านผู้ฟังสามารถที่จะทราบได้หรือเปล่า ว่าในขณะนั้นมีอะไรเป็นอธิบดี ผ่านไปแล้ว แล้วก็จะผ่านไปอีกเรื่อยๆ ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น โดยถูกต้อง พอที่จะนึกออกไหม เพราะเหตุว่า ต่อไปก็จะสวดอีก เพราะเหตุว่า ทุกท่านสวดมนต์เป็นกิจวัตรประจำวัน เวลาที่สวดมนต์ จำได้ตลอดหมดไหม แล้วแต่บุคคล เพราะฉะนั้น เวลาที่กำลังสวดมนต์ ขอเรียนถามว่า จำได้ตลอดหมดไหม หรือบางครั้งก็ติดๆ ที่จะต้องนึก ไม่คล่อง ในขณะนั้น ถ้าขณะที่กำลังนึกเพื่อที่จะให้จำได้ ในขณะที่ยังไม่คล่อง ต้องอาศัยวิริยะหรือเปล่า พอที่จะสักเกตุรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคลไหม
และบางท่าน เป็นผู้ที่มีฉันทะในการสวดมนต์เสียจริงๆ สวดได้ยาวมาก สวดได้หมด บางท่านสามารถที่จะสวดมหาสติปัฏฐานสูตร ได้ทั้งสูตร แล้วถ้ามีฉันทะ มีความพอใจที่จะสวดหมด เวลาที่ท่านสวดมนต์ ก็รู้สึกว่าเป็นเวลาที่ท่านมีความสงบใจ มีความสุข ในขณะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ฉันทะเป็นอธิบดี แต่ท่านอื่นสวดได้ไม่ยาวเลย หมายความว่ามีฉันทะ หรือไม่มีฉันทะในการสวด สวดได้เท่าที่จะสวด และบางครั้งก็ยังต้องอาศัยวิริยะ คือสวดก็ไม่คล่อง ก็ไม่เก่ง ก็ต้องนึก ในขณะนั้นก็จะเห็นลักษณะของวิริยะได้ ว่าต้องอาศัยวิริยะ การสวดนั้นจึงจะสำเร็จลงไปได้ แต่บางท่านอาจจะสวดน้อยจริง แต่ด้วยความซาบซึ้ง และความเข้าใจในพระคุณในบทสวดนั้น ในขณะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ซาบซึ้งจริงๆ ในขณะนั้น วิมังสาหรือปัญญาก็เป็นอธิปติได้
แล้วในวันหนึ่งๆ ทุกท่าน ไม่มีจิตที่เหมือนกันทุกครั้ง ในขณะที่สวดมนต์ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่า แม้แต่ในชีวิตประจำวันสักเรื่องหนึ่ง เช่นการสวดมนต์ ถ้าท่านสามารถจะมีสติระลึกรู้ในขณะนั้น ก็จะทราบได้ว่าเป็นกุศลจิตประเภทไหน ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา และมีอะไรเป็นอธิบดี ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น
หรือบางท่านก็ฟังธรรมจริง แต่ก็เพียงฟัง ขณะนั้นเป็นกุศลประเภทไหน มีศรัทธา เป็นกุศลจิตที่จะฟัง แต่ว่าเป็นญาณวิปปยุตต์ คือไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ในขณะใดก็ตาม ที่ฟังแล้วพิจารณาแล้วเข้าใจ ในขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย เป็นกุศลประเภทที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ และแล้วแต่ว่า ในขณะนั้นจะมีฉันทะ เป็นอธิบดี หรือว่ามีวิริยะเป็นอธิบดี ถ้าขณะนั้นมีฉันทะ ความพอใจที่จะฟังเป็นอธิบดี ในขณะนั้น จิต เจตสิกอื่นที่เกิดร่วมด้วย เป็นอธิปติปัจจัย เป็นหัวหน้า เป็นใหญ่ ในขณะนั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่า ฉันทะ เป็นอธิปติแล้ว นี่ก็เป็นแต่ละวันในชีวิตประจำวัน เรื่องของการสวดมนต์ ท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่าในการทำกุศลทั้งหลาย บางครั้งก็มีฉันทะเป็นอธิบดี บางครั้งก็มีวิริยะเป็นอธิบดี บางครั้งก็มีจิตเป็นอธิบดี บางครั้งก็มีปัญญาเป็นอธิบดี
นอกจากชีวิตของท่านเอง ก็ยังมีชีวิตของมิตรสหาย เพื่อนฝูงที่สนใจในธรรมด้วยกัน หรือว่าญาติพี่น้องทั่วๆ ไป จะเห็นฉันทะความต่างกันในกุศล บางท่านมีฉันทะในการที่จะสร้างโรงเรียน บางท่านมีฉันทะในการที่จะสร้างโรงพยาบาล บางท่านมีฉันทะในการที่จะถวายอาหารบิณฑบาต บางท่านมีฉันทะในการที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวัน ฉันทะย่อมมีต่างๆ กัน แต่ว่าถ้าท่านไม่ได้มีฉันทะอย่างนั้น แต่พลอยกระทำกุศลนั้นไปด้วย ก็จะรู้ได้ว่าในขณะนั้น ฉันทะไม่ได้เป็นอธิบดี ไม่เป็นอธิปติปัจจัย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกท่านทราบใช่ไหม ว่ากุศลของท่านที่มีฉันทะเป็นอธิบดีในขณะไหน มีวิริยะเป็นอธิบดีในขณะไหน หรือว่ามีปัญญาเป็นอธิบดีในขณะไหน
มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม ในเรื่องของสหชาตาธิปติปัจจัย
ถาม ………ไม่ได้ยิน……….
อ.จ. แต่ทำใช่ไหม ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องมี เพราะเหตุว่า ขณะใดที่เป็นกุศลที่อ่อน ขณะนั้นจะไม่มีลักษณะของอธิปติปัจจัย
ถาม ………ไม่ได้ยิน………..
อ.จ. มีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัย ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง
เช่นอุปนิสสยปัจจัยเป็นต้น ที่อาศัยที่มีกำลังที่ จะให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น เป็นไปในขณะนั้น เช่นอกุศลไม่มีใครชอบ แต่ทำไมเกิดขึ้นมาได้ใช่ไหม ถ้าไม่มีการสะสมของอกุศลในอดีต พร้อมที่จะให้อกุศลในขณะนี้เกิด อกุศลในขณะนี้ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น อกุศลที่ได้เคยเกิดขึ้นเป็นไปในอดีต ไม่ได้สูญหาย แต่สะสมมีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ที่จะทำให้อกุศลจิตในขณะนั้น เกิดขึ้น ฉันใด กุศลก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่า จะไม่มีอธิปติปัจจัย แต่ก็มีปัจจัยอื่นที่ทำให้กุศลนั้นเกิดขึ้น
อยากมีมากๆ ไหม ไม่อยากจะให้หมดไปเลยใช่ไหม
เพราะฉะนั้น หมายความว่าไม่อยากจะให้หมดไปเลยใช่ไหม แล้วจะตอบว่าอย่างไร ไม่อยากจะให้หมดไปเลยหรืออย่างไร
ชอบก็ส่วนชอบ แต่ไม่ใช่เพียงชอบ เพราะเหตุว่า ยังมีกุศลจิตที่เห็นโทษ และอบรมเจริญหนทางที่จะดับอกุศลนั้น เพียงแต่ว่า เมื่อยังไม่สามารถจะดับได้ อกุศลนั้นก็มีปัจจัยที่จะเกิด แต่ไม่ใช่หมายความว่าชอบจนไม่ต้องการให้อกุศลนั้นดับไปเลย
สำหรับท่านที่เห็นโทษ แต่สำหรับท่านที่ไม่เห็นโทษ ท่านก็พอใจที่จะมีอกุศลอยู่เรื่อยๆ ถ้าถามท่านเหล่านั้น ท่านก็ไม่ต้องการให้อกุศลหมดไปเลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องแล้วแต่บุคคล
สำหรับเรื่องของกุศล ซึ่งมีฉันทะบ้าง วิริยะบ้าง หรือจิตบ้าง หรือปัญญาบ้าง เป็นอธิปติปัจจัย เกิดร่วมด้วย
ยังมีท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไรไหม เชิญค่ะ
ประวิทย์ อยากให้อาจารย์ยกตัวอย่างที่จิตเป็นอธิปติปัจจัย
อ.จ. เวลาที่ขณะนั้นไม่ใช่ฉันทะ ไม่ใช่วิริยะ ไม่ใช่ปัญญา แต่ก็มีจิตที่เกิดขึ้นเป็นไป ในขณะนั้น
วิท เป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้
อ.จ. ได้ อย่างบางท่าน ท่านมีความมั่นคง ในการที่จะเจริญกุศล แต่ไม่ใช่ เพราะเหตุว่า ท่านมีฉันทะหรือวิริยะ หรือปัญญาในขณะนั้น แต่มีความมั่นคงในการที่จะเจริญกุศล ถ้าพูดถึงฝ่ายกุศล
วิท มั่นคงหรือครับ
อ.จ. อย่างบางท่าน ท่านก็มั่นคงในการที่จะไม่พูดมุสาเลย ในขณะที่มีความมั่นคงในขณะนั้น ไม่เห็นลักษณะของฉันทะ หรือไม่มีลักษณะของปัญญา หรือไม่มีลักษณะของวิริยะ ที่เป็นอธิปติ แต่เป็นสภาพของจิต ซึ่งมั่นคงในกุศล ท่านผู้ฟังมีจิตที่มั่นคงในกุศลประเภทไหนบ้างไหม ที่ท่านขวนขวายฟังธรรม ศึกษาธรรม เวลาที่ลักษณะของอธิปติอื่น เช่นฉันทะ หรือวิริยะ หรือปัญญาไม่ปรากฏ แต่ว่าไม่มีใครจะยังยั้งความมั่นคงของท่าน ในการที่จะศึกษาธรรม หรือพิจารณาธรรม ในขณะนั้น ก็เพราะจิตตะเป็นอธิบดี เพราะเหตุว่า บางคน กุศลไม่มั่นคงเลยใช่ไหม ชักชวนง่ายที่สุดที่จะให้เป็นอกุศล คิดว่าจะมาฟังธรรม แต่ว่ามีเพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้องชักชวนนิดเดียว ก็ไปแล้ว ในขณะนั้น ก็ไม่มีอะไรเป็นอธิบดี ทางฝ่ายกุศล แต่ถ้าท่านยังไงๆ ก็ไม่ยอม ขณะนั้นไม่มีลักษณะของฉันทะ หรือวิริยะ หรือปัญญา แต่จิตมั่นคงที่จะเป็นกุศล ก็เพราะขณะนั้น ก็เพราะจิตตะเป็นอธิบดี แต่ก็ต้องทราบว่า สำหรับจิตก็ดี วิริยะก็ดี ฉันทะก็ดี ปัญญาก็ดี ที่จะเป็นอธิบดีได้ ไม่ใช่ในขณะที่เป็นวิบากจิต แต่ต้องเป็นในขณะที่เป็นชวนจิตเท่านั้น และต้องเว้นจิตที่อ่อน เช่นจิตที่ประกอบด้วยเหตุเดียว ไม่สามารถที่จะมีธรรมใดเป็นอธิบดีได้
บุญเรือง ขอให้อาจารย์ยกตัวอย่างวิมังสาเป็นอธิบดี
อ.จ. วิมังสาเป็นอธิบดี ต้องเกิดกับมหากุศลที่เป็นญาณสัมปยุตต์ และถ้าเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา หรือสติปัฏฐานแล้ว ขณะนั้นเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ เมื่อยังไม่ถึงฌานจิต หรือโลกุตตรจิต ขณะใดที่ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งมีกำลังเท่านั้น ปัญญาหรือวิมังสา จึงจะเป็นอธิบดี แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์จริง แต่ไม่มีกำลัง เช่นในขณะที่กำลังฟังธรรม มีความเข้าใจไปเรื่อยๆ ยังไม่มีลักษณะที่ปัญญาปรากฏ เป็นอธิบดี หรือเป็นหัวหน้า ในขณะนั้นก็เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ แต่ว่าปัญญายังไม่เป็นอธิบดี เพราะฉะนั้น เมื่อไรปัญญาเป็นอธิบดี เมื่อนั้นสติสัมปชัญญะก็จะรู้ว่า กุศลจิตในขณะนั้นมีปัญญาเป็นอธิบดี
เรือง ขณะที่โลภเกิดขึ้น จิตระลึกรู้ เป็นอธิปติหรือยัง
อ.จ. แล้วแต่ ปัญญาจะถึงขึ้นเป็นอธิบดีหรือไม่เป็นอธิบดี
เรือง ขณะที่จิตมีความโลภกำลังเกิดขึ้น มีจิตรู้ นี้เป็นอธิบดีหรือยังครับ เป็นญาณสัมปยุตต์หรือยังครับ
อ.จ. คนอื่นไม่สามารถจะบอกได้เลย ถึงลักษณะของอธิปติในขณะนั้นว่า มีปัญญาเป็นอธิปติ หรือปัญญายังไม่เป็นอธิปติ ต้องเป็นสติสัมปชัญญะของบุคคลนั้นเอง ที่จะทราบได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะทราบได้
เพราะฉะนั้น ก็มีมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ซึ่งปัญญายังไม่เป็นอธิปติ และที่ปัญญาเป็นอธิปติ ซึ่งบุคคลนั้นเองเท่านั้น ที่จะรู้ได้ พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ การรู้ลักษณะของสภาพธรรม ต้องพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ จึงจะสามารถรู้ได้ถูกต้องตามความเป็นจริง
ถาม ………ไม่ได้ยิน……..
อ.จ. เป็นอธิบดีไม่ได้ สภาพธรรมที่เป็นอธิปติปัจจัย มีเพียง ๔ เท่านั้น คือฉันทเจตสิก วิริยเจตสิก และจิต และปัญญาเจตสิก โดยที่ต้องรู้ความละเอียดว่า จิตขณะไหน ดวงไหน ประเภทไหน ที่จะเป็นอธิปติปัจจัยได้
สำหรับฉันทะในอกุศล ทุกท่านก็สามารถที่จะทราบได้ ตามความเป็นจริงว่า ท่านชอบทำอะไรในวันหนึ่งๆ ถ้าสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ จะเห็นสภาพที่กำลังพอใจอย่างยิ่ง ในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน หรือยินดีในสิ่งที่ท่านกระทำ เพราะเหตุว่า บางท่านชอบดูหนัง ยับยั้งไม่ได้ สนุกเพลิดเพลินเหลือเกินในขณะที่ดู แต่บางท่านชอบดูกีฬา บางท่านก็ชอบแต่งตัว บางท่านชอบไปเที่ยวต่างจังหวัด บางท่านชอบฟังดนตรี บางท่านชอบทำอาหาร บางท่านก็ชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้ บางท่านก็ชอบสะสมวัตถุสิ่งของต่างๆ ในขณะนั้นให้ทราบว่า ขณะที่กลังเพลิดเพลินยินดีพอใจอย่างยิ่ง ในขณะนั้น ฉันทะเป็นอธิบดี
แต่ไม่ใช่เฉพาะแต่ฉันทะ แม้ในเรื่องของกุศล บางครั้งเป็นวิริยะ ความเพียรเป็นอธิบดี เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ทำด้วยความพอใจ แต่ว่าอาจจะเห็นประโยชน์ หรือว่าถูกชักชวน รู้ว่าท่านสามารถจะช่วยในกิจการกุศลนั้นได้ แม้ว่าท่านจะไม่มีฉันทะในการกุศลนั้นจริงๆ แต่ก็เพราะวิริยะ ความเพียร จึงทำให้สงเคราะห์ หรือช่วยเหลือในการกุศลนั้น จนกระทั่งกุศลนั้นสำเร็จได้
และทางฝ่ายอกุศลก็เช่นเดียวกัน บางขณะก็ไม่ใช่เพราะฉันทะ แต่ว่าเป็นเพราะวิริยะก็ได้ อย่างบางท่านที่ไม่ชอบทำอาหาร แต่เมื่อเป็นการกุศล ท่านก็ช่วยเหลือได้ ในขณะนั้น ฉันทะไม่ได้เป็นอธิบดี แต่วิริยะเป็นอธิบดีก็ได้
สำหรับอกุศลจิต วิมังสาคือปัญญาไม่เป็นอธิบดี เพราะเหตุว่า ปัญญาจะเกิดกับโสภณจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงกุศลจิตที่ประกอบด้วย ปัญญา คือญาณสัมปยุตต์เท่านั้น ที่วิมังสาคือปัญญา จะเป็นอธิปติได้ เวลาที่มีความเห็นผิด ปฏิบัติผิด ขณะนั้นให้ทราบว่า ต้องมีสหชาตาธิปติปัจจัย เช่นเดียวกับในขณะที่เกิดปัญญา ความเห็นถูก ในขณะนั้นก็ให้ทราบได้ว่าต้องมีสหชาตาธิปติปัจจัย ในขณะที่เป็นฌานจิต ก็ให้ทราบได้ว่าต้องมีสหชาตาธิปติปัจจัย ในขณะที่เป็นโลกุตตรจิต ก็ให้ทราบว่าต้องมีสหชาตาธิปติปัจจัย เพราะเหตุว่า ฌานจิตทั้งหมด และโลกุตตรจิตทั้งหมด เป็นจิตที่มีกำลัง ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เป็นอธิปติปัจจัยแล้วเกิดไม่ได้
แต่สำหรับมหากุศล หรือกามาวจรกุศล หรืออกุศลนั้น บางครั้งไม่มีอธิปติปัจจัยเลย ไม่ได้หมายความว่า ทุกครั้งที่เป็นโลภมูลจิต หรือกุศลจิต จะต้องมีอธิปติปัจจัย โดยนัยของสหชาตาธิปติปัจจัย
สำหรับกุศลจิตและอกุศลจิต ซึ่งมีสหชาตาธิปติปัจจัยเกิดร่วมด้วย ยังมีข้อสงสัยอะไรไหม
ทรง.ก. เรื่องกุศลจิต อกุศลจิตนี้ รู้สึกว่าสภาพลักษณะไม่ค่อยจะปรากฏเลย บางครั้งจะต้องอาศัยเดาเอา ไม่เดาก็ไม่รู้เรื่อง เช่นตามที่ศึกษามาก็รู้ว่า ขณะที่ฟังธรรม หรือศึกษาธรรม แล้วเข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา แต่บางครั้งเรากำลังศึกษาธรรม กำลังอ่านพระไตรปิฎก แล้วเข้าใจเนื้อความในพระไตรปิฎก แต่สติปัฏฐานไม่เกิด ก็คิดว่าขณะนั้นเป็นกุศล และบางที่เรากำลังอ่านหนังสืออื่น เช่นจิตวิทยา ก็ต้องใช้ความพยายามอ่าน จึงจะเข้าใจ ในขณะที่เข้าใจหนังสือประเภทอื่นเช่น จิตวิทยา กับอ่านพระไตรปิฎก แล้วเข้าใจเนื้อความในพระไตรปิฎก ก็ต้องอาศัยเดาเท่านั้นครับว่า ขณะที่อ่านพระไตรปิฎก แล้วเข้าใจเนื้อความ ขณะนั้นเป็นกุศล ถ้าอ่านหนังสือประเภทอื่น แล้วเข้าใจเนื้อความ ในขณะนั้น ก็เป็นอกุศล โดยขณะที่สติปัฏฐานไม่เกิด เป็นอย่างนี้ทุกทีหรือเปล่าครับ
อ.จ. เวลาที่มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิด ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นขั้นสติปัฏฐานทุกครั้ง ในขณะที่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจ ลักษณะของสภาพ เรื่องของธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ขณะนั้นก็เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ที่กำลังเข้าใจ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา
ทรง.ก. แต่เมื่อสติปัฏฐานไม่เกิด เราก็มาทวนระลึกกลับไปอีกที ขณะที่อ่านพระไตรปิฎก และขณะที่อ่านหนังสือจิตวิทยา จิตใจในขณะนั้น ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรต่างกัน
อ.จ. จิตวิทยาพูดเรื่องธรรมอะไรที่จะให้เข้าใจ
ทรง.ก. จิตวิทยา เขาก็พูดเรื่องจิตใต้สำนึกบ้าง อะไรๆ พวกนี้ล่ะครับ
อ.จ. เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นจิตเรา
ทรง.ก. ครับ
อ.จ. ถูกหรือผิด
ทรง.ก. ตามที่ศึกษาก็ว่าผิด
อ.จ. เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาละเอียดจริงๆ จิตเกิด – ดับอย่างรวดเร็วเหลือเกิน แล้วก็มีระดับหลายขั้นทีเดียว แม้แต่จิตที่เป็นญาณสัมปยุตต์ ประกอบด้วยปัญญา ก็มีหลายระดับหลายขั้น ตั้งแต่อย่างอ่อนที่สุด จะกระทั่งถึงอย่างคมกล้าที่สุด เพราะฉะนั้น การ
อบรมเจริญปัญญา จึงต้องฟังเรื่องของจิตเหล่านี้ พร้อมกันนั้น ก็อบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ในความละเอียดของเรื่องของจิตที่ได้ยิน ได้ฟังด้วย
ท่านผู้ฟังชอบอ่านหนังสือประเภทไหน ตามร้านหนังสือ หรือที่บ้านของท่าน มีตั้งแต่หนังสือพิมพ์ไป จนกระทั่งหนังสือรายสัปดาห์ รายเดือนมีหนังสือประเภทต่างๆ เป็นวิชาการต่างๆ เป็นเรื่องบันเทิงต่างๆ แล้วแต่ฉันทะใช่ไหม ขณะนั้นเป็นอกุศล ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา แต่แม้แต่ขณะที่เพียงอ่านหนังสือ มีหนังสือหลายประเภท หลายเล่ม โลภมูลจิตเกิดจึงต้องการที่จะอ่าน แล้วแต่ฉันทะของท่าน สะสมมาในทางใด เป็นอธิปติ ในขณะนั้นก็ทำให้เลือกหนังสือที่จะอ่านในขณะนั้น ตามความพอใจของแต่ละท่าน นี่ก็เป็นชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง ซึ่งถ้าศึกษาแล้ว สติเกิดระลึกได้ ขณะที่มีหนังสือ ๒ เล่ม จะอ่านเล่มไหน จะเห็นฉันทาธิปติที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ที่กำลังอ่านด้วยความเพลิดเพลินพอใจ หรือแม้แต่ในหนังสือพิมพ์ ฉบับเดียวก็มีหลายเรื่อง หลายหน้า ท่านเปิดหน้าไหนก่อน บางท่านอาจจะชอบโหราศาสตร์ พอเปิดก็ดูทันทีว่า วันนี้เป็นอย่างไร ในขณะนั้นจะประกอบด้วยอธิปติปัจจัย ตามฉันทะ ตามความพอใจของท่าน
เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่จะเห็นว่าสำหรับอกุศลจิต โลภมูลจิตมีฉันทาธิปติได้ มีวิรยะเป็นอธิปติได้ หรือว่ามีจิตเป็นอธิบดีได้
สำหรับโทสมูลจิต ก็มีอธิปติปัจจัยด้วย เพราะเหตุว่า จะมีฉันทะเป็นอธิปติปัจัยก็ได้ จะมีวิริยะเป็นอธิปติปัจจัยก็ได้ จะมีจิตตะเป็นอธิปติปัจจัยก็ได้ แต่ฝ่ายอกุศลนั้น ไม่มีวิมังสา คือปัญญาไม่สามารถจะเป็นอธิปติปัจจัยได้
หลายท่านก็ยังคงมีความเห็นว่า ต้องโกรธจึงจะถูก จึงจะควร จึงจะดี ขณะนั้นเพราะฉันทะเป็นอธิปติ มีความพอใจที่เห็นว่าควรจะโกรธในขณะนั้น มีไหมในชีวิตประจำวัน บางคนไม่โกรธ คนอื่นก็บอกว่าต้องโกรธซิ ไม่โกรธได้หรือ ใช่ไหม ในขณะนั้นเป็นสสังขาริกได้ ถ้าเกิดโกรธขึ้น และเป็นฉันทาธิปติได้ เพราะมีความเห็นว่าควรจะต้องโกรธด้วย ถูกชักจูงให้มีความเห็นอย่างนั้นได้
เพราะฉะนั้น สำหรับอกุศลจิต ๑๒ ดวง ที่จะเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ ก็มี ๑๐ ดวง เว้นโมหมูลจิต ๒ ดวง มีข้อสงสัยอะไรไหม ในเรื่องของอกุศลจิต
ชีวิตประจำวันนี้ สำหรับโมหมูลจิตไม่มีข้อสงสัยหรือว่า ทำไมจึงไม่เป็นสหชาตาธิปติ มีใครอยากจะพอใจในโมหะไหม มีไหม ไม่มี เพราะฉะนั้น ฉันทะเจตสิกไม่เกิดกับโมหมูลจิต ๒ ดวง เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีฉันทาธิปติ ต้องมีความพากเพียรอะไรไหม ที่จะให้เป็นโมหะที่จะเป็นอธิปติ ไม่มี เพราะฉะนั้น วิริยะก็ไม่เป็นอธิปติ และโมหะก็เป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุเจตสิก เพียงเหตุเดียว
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 01
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 02
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 03
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 04
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 05
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 06
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 07
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 08
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 09
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 10
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 11
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 12
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 13
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 14
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 15
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 16
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 17
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 18
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 19
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 20
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 21
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 22
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 23
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 24
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 25
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 26
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 27
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 28
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 29
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 30
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 31
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 32
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 33
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 34
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 35
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 36
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 37
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 38
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 39
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 40
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 41
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 42
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 43
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 44
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 45
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 46
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 47
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 48
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 49
- ปัฎฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ 50