ตอบปัญหาธรรม แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๑
ผู้ฟัง ก็มีลูกสองคน ก็อยากให้ลูกได้มีความเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ ที่นี้ก็เริ่มต้นที่บ้านครั้งแรก แล้วก็รู้สึกดูเหมือนจะเป็นครั้งที่สอง แล้วก็อยากจะให้มีครั้งต่อๆ ไปอีก เพื่อที่ค่อยๆ อบรมเด็กไป ให้เขามีความเห็นที่ถูก แล้วเขาก็จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ โดยที่ไม่มีความเห็นผิด แล้วก็ไม่ไปสะสมอกุศลกรรม หรืออกุศลจิต หรืออะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเขาเริ่มเข้ามาตรงนี้ อีกหน่อยเขาก็ค่อยๆ เห็นถูกขึ้น แล้วเขาก็จะเกื้อกูลคนอื่นได้ เพื่อนฝูงเขา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าเพื่อจะไปเกื้อกูลคนอื่น แต่ว่าคือตัวเอง เราจะต้องมีความเห็นถูกก่อน เชิญมานั่งข้างหน้าเลยนะคะ เพราะว่าวันนี้ธรรมสำหรับเด็กๆ
ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ก็ถามคนที่มาก่อน บอกว่าไปอย่างไร มาอย่างไร บางคนก็บอกว่าเปิดวิทยุฟัง แล้วก็คิดว่าได้ยินบางคำ ที่คิดว่าจะมีประโยชน์ อย่างคำว่าธรรม ได้ยินบ่อยๆ แล้วคิดว่า คงจะเป็นสิ่งที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือว่ามีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รู้สึกอย่างนี้หรือไม่คะ
ผู้ฟัง รู้สึกว่า ถ้าเกิดสมมติเราเอาธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราจะสามารถพัฒนาชีวิตในทางที่ถูกได้ เราไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิดอะไร
ท่านอาจารย์ ทีนี้ เมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่า ธรรมจะมีประโยชน์กับชีวิตอย่างมากเลย เป็นเพียงความคิดของเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ใช่ครับ ทีนี้ก็คือยังไม่รู้ว่าหัวข้อธรรมไหน พอแจกแจงออกมาแล้ว จะใช้สำหรับงานไหน ตรงนั้นคือยังมองไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ตรงนี้ถูกต้อง คือ เราทุกคนจะมีความคิด แต่ว่าความคิดอย่างเดียวไม่พอ เราต้องมีเหตุผลด้วย อย่างเราบอกว่าธรรมน่าจะมีประโยชน์ แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่า ธรรมคืออะไร เราจะยิ่งเห็นประโยชน์มากขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เราก็จะต้องเข้าใจแต่ละคำที่เราได้ยินให้ชัดเจน แล้วก็เป็นคนที่มีเหตุผลด้วย ถ้าคนที่ไม่มีเหตุผล การศึกษาธรรมจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเหตุว่า ธรรม ทราบไหมว่าใครเป็นผู้แสดง
ผู้ฟัง ธรรม ใครเป็นผู้แสดง เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่มีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้เอาธรรมชาติตรงนั้น มาแยก แล้วก็มาสั่งสอนอีกที
ท่านอาจารย์ หมายความว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดง
ผู้ฟัง ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าสมมติเขาบอกว่า ศาสดาอื่นแสดงธรรม จะถูกหรือจะผิด
ผู้ฟัง ถูกครับ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรถึงว่าถูก
ผู้ฟัง เพราะว่าธรรมเป็นของกลาง เป็นของธรรมชาติ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะไปดึงธรรมชาติตรงนั้นมาใช้ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบางคนก็จะอาจจะบอกว่า คนโน้นแสดงธรรม คนนี้แสดงธรรม หรือว่าศาสนาโน้นแสดงธรรม ศาสนานี้แสดงธรรม แต่ว่าธรรมจริงๆ หมายความถึงสิ่งที่มีอยู่จริงๆ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่แสดง ให้เราเข้าใจสภาพที่มีอยู่จริงๆ ได้ละเอียด ได้ลึกซึ้ง คนนั้นจึงจะชื่อว่าแสดงธรรม แต่ถ้าเขาเอามาเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน คนนั้นก็ได้แต่มีความรู้ ความเข้าใจเพียงบางส่วน
แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยต้องเคยได้ยิน ว่าเป็นผู้ที่เลิศกว่าบุคคลอื่นทั้งหมด เพียงแต่ว่าเรายังไม่ทราบว่า เลิศอย่างไร แล้วก็เลิศแค่ไหน แต่ตอนเป็นเด็ก เราก็ถูกพ่อแม่สอน ให้กราบไหว้ แม้แต่เพียงเด็กเล็กๆ ก่อนจะนอนให้ไหว้พระ คุณศริตาเคยไหว้ไหม
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องมีคนหนึ่ง ซึ่งสูงที่สุด ฉลาดที่สุด เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่า สมัยนี้จะไม่มี แล้วผ่านไปแล้วถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง และคนเลื่อมใสนับถือ ยังมีมากมาย และก็สืบต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากจริงๆ ที่ว่าไม่สูญไป แต่ทีนี้ถ้าเราเป็นคนที่อยู่ในเมืองไทย ได้ยินคำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย โดยที่เราไม่รู้เลยว่าคืออะไร เราก็เท่ากับว่า เหมือนกับคนที่เหมือนรู้ แต่ไม่รู้ ซึ่งเราจะยอมเป็นคนอย่างนั้นไหม คือเป็นคนที่เหมือนรู้ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะรู้จริงๆ มากกว่าที่จะเหมือนรู้ แต่ความจริงพอคนอื่นถาม เราก็ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรม เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครเทียบได้เลย เวลานี้เราอาจจะยังไม่รู้ว่า ทำไมถึงกล่าวว่าไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าเรายังไม่ได้ศึกษา แต่เราลองคิดดู พระพุทธเจ้ากับคุณพ่อคุณแม่ ใครฉลาดกว่ากัน พระพุทธเจ้ากับคุณพ่อคุณแม่ ใครจะฉลาดกว่ากัน ต้องมีเหตุผลด้วย ถ้าใครจะตอบ ใครจะตอบ พระพุทธเจ้ากับคุณพ่อคุณแม่ ใครฉลาดกว่ากัน ตอบได้ ตอบอย่างไรก็ตอบได้
ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าฉลาดกว่า คิดว่า
ท่านอาจารย์ ถ้าตอบแบบนี้ ต้องบอกว่าเพราะอะไร ต้องมีเหตุผลทุกอย่าง คนที่ศึกษาธรรม ต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผล จะไม่เข้าใจธรรมได้เลย
ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พ่อแม่ไม่ได้ตรัสรู้
ท่านอาจารย์ แล้วอะไรอีก เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ และคนอื่นไม่ได้ตรัสรู้นะ แล้วก็อะไรอีก คนอื่นจะตอบบ้างไหม เพราะอะไร ลองคิด ยิ่งคิด ยิ่งเข้าใจธรรม ลองตอบดู
ผู้ฟัง คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ ฉลาดกว่า เพราะเลือกที่จะให้เราเกิดมา พระพุทธเจ้าไม่ได้เลือก
ท่านอาจารย์ คุณแม่ไม่ได้เลือกค่ะ
ผู้ฟัง แต่เขาเต็มใจให้เราเกิด แล้วก็สามารถเลี้ยงดู แล้วก็สอนเรา ให้เราเชื่อท่านได้ เพราะอย่างบางเรื่อง เราก็ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเสียทีเดียว เพราะเราไม่ได้ศึกษา แต่อย่างคุณแม่ ไม่จำเป็นต้องศึกษา แต่เราเชื่อท่าน
ท่านอาจารย์ แต่ความเป็นจริง คือ แม้คุณแม่ก็ยังนับถือพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราต้องค่อยๆ ไต่ไปตามเหตุผล ความคิดของเราจะถูก จะผิดอย่างไร เราแสดงได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องคิดให้กว้างไกลออกไป พระมหากษัตริย์กับคุณพ่อคุณแม่ ใครฉลาดกว่ากัน เดี๋ยวคำตอบจะเหมือนเดิม ว่าคุณพ่อคุณแม่อีกหรือเปล่าคะ แต่จริงๆ แล้วแม้พระมหากษัตริย์ก็ยังต้องนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่ากี่พระองค์ ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงสมัยนี้
เพราะฉะนั้นแสดงว่าต้องมีบุคคลหนึ่ง ซึ่งเลิศจริงๆ แล้วเรา ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ที่จะได้เห็นความไม่มีใครเปรียบได้เลย กับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าขอถามอีกนิดหนึ่งว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่หนูตอบเมื่อสักครู่นี้ ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะยากหรือจะง่าย ลองคิดดู ต้องใช้ความคิด ต้องคิดพิจารณา แล้วให้เป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ไปตามใคร แต่เราต้องพิจารณาจนกระทั่งเรามีความเห็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วมีเหตุผลด้วย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงที่ตรัสรู้ ยากหรือง่าย
ผู้ฟัง ยากในความเข้าใจหรืออย่างไรคะ ยากที่จะปฏิบัติ แต่ว่าถ้าเกิดปฏิบัติได้แล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ดีต่อการใช้ชีวิต การเข้าใจความเป็นไปของโลก
ท่านอาจารย์ ปฏิบัตินี่คืออะไร จะปฏิบัติ
ผู้ฟัง ปฏิบัติให้อยู่ในความเป็นไป ในวิถี ให้อย่างมีความสุข
ท่านอาจารย์ เอาเวลานี้พระพุทธเจ้า คำสอนมีแล้วจะปฏิบัติอย่างไร คือ พูด พูดได้ทุกอย่างตามความคิด แต่ว่าต้องมีเหตุผล ถ้าจะปฏิบัติก็ต้องรู้ว่า จะปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งต้นฟัง และเรียนใช่ไหม ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางนึกออกเลย ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พ่อแม่สอนเราก็ยังนึกออกว่า สอนให้เป็นคนดี ให้มีความประพฤติดีต่างๆ ใช่ไหม ครูที่โรงเรียนก็สอนหลายๆ อย่าง แต่ไม่มีใครสอนเหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดอย่างนี้ถูกหรือผิดคะ ต้องคิด ถูกหรือผิด มีใครว่าผิดบ้างไหม
เพราะฉะนั้นต้องนับว่าเป็นบุญ บุญ หมายความถึง สิ่งที่ดีงาม ที่เราได้สร้างไว้ สะสมมาแล้ว ที่เรามีโอกาสจะได้ยิน ได้ฟัง ธรรม ซึ่งยากแสนยาก กว่าจะมีผู้รู้สักพระองค์หนึ่ง ซึ่งใน ๒,๕๐๐ กว่าปี ยังไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเลย สักพระองค์เดียว ต้องอีกนานแสนนานมาก กว่าจะมีการตรัสรู้อีก เพราะฉะนั้นเราก็เป็นผู้ที่มีโอกาสพิเศษ ที่ว่าได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถ้าให้ถามตอนนี้ มีใครจะถามอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่มีอะไรถามแล้ว อยากฟัง
ผู้ฟัง เด็กๆ วันนี้ป้าแอ๊ว อยากให้เด็กๆ เปิดโอกาสให้กับตัวเอง อย่าอายแล้วก็ไม่ต้องเกร็ง เพราะว่าที่นี่สนทนากันจริงๆ วันนี้เป็นการเริ่มต้น ที่เราจะทำความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร เพราะฉะนั้นถ้าอาจารย์ถามอะไร ตอบได้เลย อย่าอาย
ท่านอาจารย์ มีใครอยากจะถามอะไรก่อนไหม หรือว่าไม่อยากถาม วันนี้เริ่มต้นก็ได้ ถ้ายังไม่มีใครถาม ธรรม หมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แค่นี้งงไหม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เราไม่พูดเรื่องเท็จ แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ จริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง คิดว่าไม่จริง
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะว่าถ้าดูลงไปลึกๆ แล้ว ความจริงมันอยู่ตรงไหน อะไรที่เรียกว่าจริง เนื้อหนังมังสามันก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือไม่มีอะไรจริง ถ้าจริงแล้วอีกวันต่อไป ของที่ว่าจริงวันนี้ มันก็ไม่ใช่ของเดิมแล้ว
ท่านอาจารย์ คงจะต้องตั้งต้นกันหลายๆ แบบ หลายๆ ครั้ง หลายๆ ทาง เอาใหม่ทีเดียว อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต น่าคิดไหม
ผู้ฟัง ความสุขหรือเปล่าคะ
ท่านอาจารย์ ความสุข มีตลอดวันหรือเปล่า
ผู้ฟัง บางทีมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วคืออย่างไรที่เรียกว่าความสุขแท้ๆ สุขแบบถาวรอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เวลานี้ ใครมีความสุขถาวรบ้างไหม ไม่มีเลยๆ ความสุขมีจริงแต่ความสุขก็หมดไป เวลาที่ไม่สุข ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง เวลาที่ไม่สุข เป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ แล้วเวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอะไร เวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอะไร มีไหม เวลาไม่สุขไม่ทุกข์ มีหรือไม่มีค่ะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ มีค่ะ คือเรื่องจริงต้องเป็นเรื่องจริง เราค่อยๆ ไปหาความจริงทีละเล็กทีละน้อย กว่าเราจะรู้ว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นขณะนี้คือ พยายามให้ทุกคนหัดคิด แล้วก็ตอบด้วยตัวเอง ชีวิตที่เราพูดกันทุกวันเลย เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็อยากจะทราบว่า เวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ต้องมีแน่นอนใช่ไหมคะ มีหรือไม่มี เวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ มีนะคะ ขณะนั้นเป็นอะไร เป็นอะไร ขณะที่ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอะไร เป็นเฉยๆ ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เรากำลังจะเข้าไปหาความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งจะไม่มีการสอนที่ไหนเลย ในโรงเรียนไหนมีสอนเรื่องนี้บ้างไหม
ผู้ฟัง สอนในหัวข้อเฉยๆ
ท่านอาจารย์ แล้วก็สอนเรื่องสุข เรื่องทุกข์ ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ลึกลงไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า พระธรรมละเอียดมาก ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพาน แล้วก็สืบทอดมาเป็นพระไตรปิฏก เป็นอรรถกถาเยอะแยะ แต่ว่าเราเรียนตลอดชีวิตไม่จบ อย่าคิดว่าเพียงฟังวันนี้ แล้วเราจะเข้าใจได้ แต่เราเริ่มที่จะคิดแล้ว ว่าสิ่งที่สำคัญในชีวิต อย่างที่คุณยุ้ยตอบเมื่อสักครู่นี้ว่า คือ ความสุข ใช่ไหม แต่ความสุขมันไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย บังคับให้สุขได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับให้ทุกข์ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับให้เฉยๆ ได้ไหม
ผู้ฟัง บังคับให้เฉยๆ ได้ อ๋อ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ามีเหตุที่จะให้ความรู้สึกเป็นสุขเกิด ความรู้สึกเป็นสุขก็ต้องเกิด ถ้าเกิดป่วยไข้ขึ้นมาที่กาย แล้วจะไปบอกว่าไม่ให้เจ็บ
ผู้ฟัง ไม่ได้หรือ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ไม่มีอะไรได้เลยสักอย่าง
ผู้ฟัง ไปบนบานศาลกล่าวก็ไม่ได้หรือ ไม่ได้ ใช่ไหม ผิด
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ผิดหรืออะไร แต่หมายความว่า สิ่งใดที่เกิดแล้ว เราจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม อย่างที่กาย ถ้าเกิดเจ็บปวด แล้วเราจะบอกเจ็บปวดว่าอย่าเจ็บ ให้เป็นสุขได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะมาถึงคำหนึ่ง ซึ่งครอบจักรวาล คือคำว่า อนัตตา หมายความว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดในโลก ในแสนจักรวาล นอกโลกที่ไหนก็ตามแต่ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีจริงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าพอพระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็จะไปเปลี่ยนแปลงคนโง่ให้เป็นคนฉลาด หรือว่าความเจ็บให้กลายเป็นความสุข อย่างนี้ไม่ใช่
แต่ว่าแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องมีเหตุ มีปัจจัย มีหลายอย่างที่ปรุงแต่งร่วมกัน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วสิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดแล้ว ไม่มีสิ่งใด ซึ่งยั่งยืน ทุกอย่างที่เกิดจะหมดไปอย่างเร็วมาก ซึ่งเราจะใช้อีกคำหนึ่งก็ได้ คำว่า เกิด เมื่อไม่มี แล้วเกิดมีขึ้น และมีขึ้นแล้วก็หมดไป เวลาที่หมดไป ที่จะไม่กลับมาอีกเลย เราใช้คำว่าดับเหมือนกับไฟดับ ไฟที่ดับจะกลับมาอีกไหม ไม่มีทางที่จะกลับมาได้อีกเลย แต่ถ้าจะมีไฟใหม่เกิดขึ้น ได้ ใช่ไหม ต้องมีเชื้อไฟอันใหม่ ทำให้ไฟอันใหม่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้น และก็ดับไป กลับไปแล้วก็เกิดขึ้นอีก แต่ไฟใหม่ ไม่ใช่ไฟเก่า
เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงๆ ในโลกนี้ ที่เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริง แท้ที่จริงแล้วดับเร็วมาก เร็วจนเราไม่รู้เลย ว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ และทั้งหมดนี้คือ อนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และก็ไม่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น ธรรม มาจากคำว่า ธาตุ ธ.ธง สระอา ต.เต่า สระอุ เคยได้ยินคำว่า ธาตุ ใช่ไหม พอพูดถึงธาตุ มีใครเป็นเจ้าของธาตุอะไรได้บ้าง อย่างธาตุทองใช้ได้ไหม ธาตุเงินใช้ได้ไหม แล้วก็ถ้าไปเรียนหนังสือ เขาก็มีธาตุอีกหลายธาตุเลย เยอะแยะหมด แล้วมีใครเป็นเจ้าของบ้าง ต้นไม้ใบหญ้าที่เกิดมา มีใครไปเป็นเจ้าของบ้าง มีหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี นอกจากต้นไม้ใบหญ้า ที่ตัว ที่ร่างกายของเรา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี แล้วที่ตัวนี้มีอะไรบ้าง ที่ว่าไม่มีเจ้าของ
ผู้ฟัง ไม่มีอะไรที่เราเป็นเจ้าของได้เลย
ท่านอาจารย์ เช่นๆ
ผู้ฟัง ร่างกายเรา หรือจะเป็นพ่อแม่เรา หรือจะเป็นทุกๆ คนที่เราเห็น ทุกสิ่งที่เราเห็น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ท่านอาจารย์ แล้วมีตัวเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เราเป็นเจ้าของตัวนี้หรือเปล่า
ผู้ฟัง คำว่า เจ้าของ หมายถึงว่า เราจะยึดติดมันได้ไปตลอดหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ หมายความว่ามันเหมือนกับของเรา อย่างตาของเรา หูของเรา ใจของเรา ความรู้สึกของเรา ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว เราต้องเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาละเอียด และลึกซึ้ง แล้วก็ยาก ต้องยากแน่นอน ถ้าง่ายก็มีพระอรหันต์เยอะแยะ มีพระโสดาบัน มีอะไรมากมาย แต่ว่าที่ยาก เพราะเหตุว่ากว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่มีเราเลยที่นี่ ไม่มีใครสักคนเลย พอจะรับไหวไหม ไหวหรือไม่ ไหวคือคนที่ฟังมาบ้างแล้ว ใช่ไหม แต่ที่คนฟังใหม่ๆ จะต้องคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะเหตุว่าสิ่งสำคัญที่สุดในโลก ลองคิดดูว่าคืออะไรแน่ เมื่อสักครู่คุณยุ้ยตอบว่าคือความสุข แต่ที่จริงแล้วคือชีวิต ถ้าไม่มีชีวิต จะมีความสุขไหม ไม่มี จะมีความทุกข์ไหม จะมีพ่อแม่พี่น้อง มีตัวเราไหม ไม่มี ใช่ไหม เหมือนอย่างหญ้า หญ้าที่อยู่ข้างนอก ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ว่าสำหรับ เวลาที่เกิดมีชีวิตขึ้น เมื่อมีชีวิตก็จะมีความรู้สึก แล้วก็มีความรู้สึกว่า นี่เป็นเรา นั้นเป็นเขา หรือว่านี่เป็นใคร
เพราะฉะนั้นที่น่าสนใจที่สุดก็คือ สิ่งที่มีชีวิต เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีสิ่งที่มีชีวิต ก็จะไม่มีการรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินเลย อย่างโต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นโต๊ะ เก้าอี้ จะมีความสุขไม่ได้ จะมีความทุกข์ไม่ได้ จะมีความลำบากเดือดร้อนไม่ได้เลย แต่เมื่อมีชีวิต นั่นถึงจะมีการรู้ว่าคนนั้นเป็นคน สิ่งนั้นเป็นอะไร สิ่งนี้เป็นอะไร
เพราะฉะนั้นเพียงแต่ก่อนที่เราจะศึกษาธรรม เรารู้สึกว่าเรามีชีวิต และเราเข้าใจชีวิต แต่ถ้าศึกษาจริงๆ แล้ว เราก็ต้องมาถึงที่ละเอียดกว่านั้นอีก ว่าชีวิตคืออะไร ต้องมาถึงจุดนี้ด้วย ว่าชีวิตคืออะไร ขณะนี้รู้ความต่างของสิ่งที่ไม่มีชีวิตกับสิ่งที่มีชีวิต แต่ก็ต้องถามว่าชีวิตนี้คืออะไร พอที่จะตอบได้ไหม
ผู้ฟัง ชีวิต คือ ต้องมาใช้กรรมหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องพูดถึงกรรมเลย เทียบคนตายกับคนเป็น แล้วจะค่อยๆ เข้าใจชีวิต คนตายมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มี คนเป็นมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ต่างกันอย่างไร คนเป็นกับคนตาย ตรงไหนที่ต่างกัน เขาก็มีผม แล้วก็มีหู แล้วก็มีขา แล้วต่างกันอย่างไร คนเป็นกับคนตายต่างกันอย่างไร
ผู้ฟัง คนเป็นมีจิต คนตายไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เราใช้คำว่าชีวิต ต้องหมายความถึง สภาพที่สามารถที่จะรู้ หรือรู้สึก หรือคิด นี่คือสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นสิ่งนี้มีจริง อย่างคนตายมีตา แต่ไม่เห็น มีหู จริงๆ แล้วก็เป็นแต่เพียงรูปร่างของหู แต่ตัวจักขุปสาทไม่มี เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิต อย่างเราที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่ามีสภาพที่สามารถจะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึก มีจริงๆ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะพูดถึง ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริง เอาตัวเราออกหมดเลย พูดถึงแต่สิ่งที่มีจริง คือ ธรรม จะมีธรรม ๒ อย่าง ที่ต่างกันใหญ่ๆ อย่างหนึ่งก็เป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ว่ามีจริงๆ อย่างแข็งมีจริงๆ หรือเปล่า แข็งมีจริง ถ้ามีจริงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง กลิ่นมีจริงไหม มีจริง แต่กลิ่นไม่มีชีวิต แข็งก็ไม่มีชีวิต ไม่สามารถจะรู้ ไม่สามารถที่จะคิดได้
เพราะฉะนั้นถ้าแยกธรรมเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ส่วนที่มีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ภาษาธรรมใช้คำว่า รูปธรรม คือทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว แต่เราเติมคำว่า รูปะหรือรูป เข้าไป หมายความถึงสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย การศึกษาธรรมเวลานี้ เหมือนกับเรากำลังศึกษา เพราะว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่เราได้ฟัง การที่เราเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เราได้ฟัง คือการศึกษาชนิดหนึ่ง จะโดยฟัง โดยอ่าน โดยคิด โดยอะไรก็ได้ แต่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง
เพราะฉะนั้นเราอาจจะเคยคิดเรื่องราวของชีวิต เรื่องโลก เรื่องอะไรมาแล้วแต่ก็ตาม ขณะนี้ไม่ต้องเอาเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะว่าเป็นความรู้ใหม่อีกเรื่องหนึ่ง อีกศาสตร์หนึ่ง ซึ่งจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ตามการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัย ก็ไม่มีใครสักคนหนึ่ง ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แสดงว่าความรู้ของเขายังไม่สิ้นสุด
แต่เวลาที่ใช้คำว่าตรัสรู้ หมายความว่าทรงสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมทุกอย่าง ไม่เว้นเลย ตามความเป็นจริงของสภาพนั้นๆ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้อีก ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือว่าศาสตร์อื่นๆ แพทย์หรืออะไรก็ตาม อาจจะใช้คำที่ต่างกัน แต่ความรู้ของบรรดาหมอทั้งหลาย นักจิตวิทยาทั้งหลาย หรือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ยังไม่สิ้นสุด เพราะเหตุว่าไม่ใช่การตรัสรู้ ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นใช้คำว่า ตรัสรู้ เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรม มีคนอื่นตรัสรู้ตามไหม ลองคิดดู มีคนอื่นตรัสรู้ตามไหม ไม่มีหรือ ถ้าอย่างนั้นคำสอนก็เป็นโมฆะ
ผู้ฟัง แปลว่าคิดได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ตรัสรู้ไม่ใช่ขั้นคิด ทุกคนคิดอะไรก็ได้ คนนี้คิดอย่าง คนโน้นคิดอย่าง นักวิทยาศาสตร์ก็คิดอะไรขึ้นมาใหม่ๆ เสมอ ทฤษฎีก็เปลี่ยนไป อันเก่าเป็นอย่างนี้ อันใหม่ก็เปลี่ยนไปอีกก็ได้ ใช่ไหม แต่การตรัสรู้ เพราะประจักษ์ ใช้คำว่าประจักษ์แจ้ง คือ เห็นชัดด้วยปัญญา ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ ซึ่งละเอียดมาก ซึ่งไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอีกได้เลย จึงใช้คำว่า ตรัสรู้
เพราะฉะนั้นเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ให้คนอื่นเกิดความเข้าใจ อบรมเจริญปัญญาถึงระดับที่จะรู้แจ้งอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อใช้คำว่า รู้แจ้งอย่างนั้น ก็คือ ตรัสรู้ ซึ่งอีกคำหนึ่งใช้คำว่า อภิสมัย สมัย แปลว่า กาลเวลา อภิ แปลว่ายิ่งใหญ่ ใหญ่ที่สุดของภพชาติ ไม่มีการใหญ่เท่ากับการที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ก่อน และก็ได้ทรงแสดงพระธรรม
เพราะฉะนั้นสาวกพระอริยสงฆ์ อย่างที่เราใช้คำว่าพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้หมายความถึงพระภิกษุที่บวช แต่หมายความถึง ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนสามารถที่จะรู้ความจริง โดยการตรัสรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ก่อน และได้ทรงแสดง เพราะฉะนั้นอภิสมัยนี้ยิ่งใหญ่มาก คือการรู้แจ้งสภาพธรรม ที่เราใช้คำว่าอริยสัจจ์ ๔ ทำให้คนนั้นพ้นสภาพจากความเป็นคนธรรมดา ที่เราใช้คำว่า ปุถุชน คงได้ยินบ่อยๆ ที่เขาบอกว่าฉันเป็นปุถุชนคนธรรมดาอะไรอย่างนี้ ก็ต้องต่างกับผู้ที่เป็นพระอริยะ อริยะ นี้คือ ผู้ที่เจริญ แต่เจริญที่นี่ เจริญด้วยปัญญา เจริญด้วยความรู้ เจริญด้วยความดี ไม่ใช่เจริญทางด้านวัตถุ ที่เราใช้คำว่าอารยธรรม หมายความถึงทางด้านวัตถุ แต่ถ้าเป็นอริยบุคคล คนนั้นได้อบรมจิตใจ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งความจริง บรรลุความดีที่จะสามารถมีปัญญา ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ จึงมีทั้งพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ พระสังฆรัตนะ ก็คือ พระอริยบุคคล ถ้ามีแต่พระพุทธรัตนะ ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ตามได้ คำสอนก็เป็นโมฆะ ไม่ได้ช่วยใครให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเลย แต่เพราะเหตุว่าเมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงประกอบด้วยพระญานมากมายมหาศาล สามารถที่จะรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด อดีตชาติก่อนๆ นานแสนนานเป็นอะไร
เพราะฉะนั้นปัญญาระดับของชาวโลกทั้งหมด อย่าเปรียบกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่ได้อบรมเหตุ ที่จะให้สมบูรณ์ถึงระดับนั้น ที่จะสามารถรู้ทุกอย่างทั้งอดีต และก็ปัจจุบัน และถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยที่จะให้โลก กระแสของโลกเป็นอย่างไร ของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร ก็สามารถที่จะตรัสรู้ได้ นี่คือถ้ายิ่งศึกษาจะยิ่งเห็นว่าเป็นความจริง แต่ว่าเราก็ต้องเริ่มจากการที่เราจะต้องค่อยๆ เข้าใจว่าธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่จากการคิดค้น แต่จากการตรัสรู้ หมายความว่า ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นก็เข้าใจความหมายของธรรมแล้ว ธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ แล้วก็ผู้ที่ตรัสรู้ธรรม ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ทรงแสดงธรรม เพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจธรรม ตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วย คือทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย พระจันทร์มีใครเป็นเจ้าของหรือเปล่า พระอาทิตย์ ดิน โลก น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แม้แต่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดนี้ ก็เป็นธรรม ซึ่งต่างกันเป็นสองอย่าง อย่างแรกที่เรากล่าวถึงคือ พูดถึงธรรมที่ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมก่อน ว่าสิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทางธรรมใช้คำว่าอะไร ทวนอีกครั้งหนึ่ง พูดมาตั้งนานจำได้ไหม
ผู้ฟัง รูปธรรม
ท่านอาจารย์ รูปธรรม สมัยนี้คงได้ยินวิทยุกับโทรทัศน์ ก็ใช้คำนี้บ่อยๆ ใช่ไหม รูปธรรม แต่ภาษาไทยที่ใช้ หรือคำที่ชาวโลกใช้ เอาไปไว้ส่วนหนึ่ง ความหมายไม่เหมือนคำที่ใช้ในพระพุทธศาสนา เพราะว่าภาษาไทยเราใกล้ชิดกับภาษาบาลี เพราะฉะนั้นก็ใช้คำภาษาบาลี โดยที่เราไม่ได้เข้าใจความหมายนั้นจริงๆ แต่ขอยืมมาใช้ผิดๆ ถูกๆ ตามความคิดของเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเอาผิดออกไป ให้เหลือแต่ส่วนถูก ที่เราจะเข้าใจจริงๆ ว่าความหมายเดิม หมายความว่าอย่างไร อย่างธรรม คือสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง แต่พอเพิ่มคำว่า รูปะหรือรูป รวมกับธรรม คือ ธรรมที่เป็นฝ่ายรูป หรือส่วนที่เป็นรูป ที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น มีไหม รูปธรรม มีหรือไม่มี มี ที่ไหนบ้างมีรูปธรรม
ผู้ฟัง ก็มีอยู่ทั่วๆ ไป
ท่านอาจารย์ ทั่วไป ที่ตัวมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มี นอกตัวมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มี ข้างบนนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มี ไม่พ้นเลย ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่าไม่พ้นจากธรรม นี่คือความรู้ แต่ก่อนไม่เคยรู้เลย ต้องไปแสวงหาธรรมที่ต่างๆ พยายามไปที่โน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง แต่พอเข้าใจ เข้าใจจริงๆ ก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่พ้นจากธรรมเลย สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม นี่เราเข้าใจเรื่องรูปธรรมดีแล้ว หรือว่ามีใครอยากจะซักถามเรื่องรูปธรรมบ้างไหม เข้าใจทุกคนหรือเปล่า รูปธรรม รูปธรรมอยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่า เราจะฟังทีละคำ แล้วก็ให้เข้าใจตามไปทีละคำ จะได้ไม่ลืม และไม่สับสน ที่เคยอ่าน เคยฟัง เคยรู้มาทั้งหมดทิ้งไปเลย หรือว่ายังไม่ต้องเอามาเกี่ยวข้องที่นี่ก็ได้ จำไว้เก็บไว้ แต่กำลังฟังสิ่งใหม่
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะศึกษาวิชาอะไรทั้งสิ้น อย่างในห้องเรียน คนที่กำลังพูดเรื่องอะไร เรามีหน้าที่ฟังให้เข้าใจ สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเท่านั้น ไม่ต้องเอาสิ่งอื่นมารวม เพราะเรากำลังฟังเรื่องนั้น ถ้าเขาจะพูดเรื่องปลูกต้นไม้ เราจะไปเอาเรื่องกับข้าวในครัวขิงข่ามาไหม เราก็ไม่ไปเอามาใช่ไหม เรากำลังฟังเรื่องปลูกต้นไม้ เราก็ต้องฟังเรื่องต้นไม้ มันคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกวิชาหมด ไม่ว่าที่ไหน เวลาฟังก็คือ หมายความว่าฟังให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังได้ยิน ถ้าจะมีการสงสัย หรือว่าอยากจะถาม ก็คือว่าถามเรื่องที่เรากำลังได้ยิน ได้ฟังเท่านั้น เอาแค่ที่ได้ยินได้ฟัง ไม่เกินเลยไปถึงที่อื่น
เพราะฉะนั้นเวลานี้ ที่บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธาตุ ทา-ตุ หรือ ธรรม หมายความถึงว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แล้วก็ไม่เป็นของใครด้วย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น เช่นเสียง เสียงเกิดจากอะไร มีที่เกิดไหม เสียง
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นที่เกิดของเสียง
ผู้ฟัง เสียงเกิดมาจาก กล่องเสียงที่อยู่ข้างใน
ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่ใช่กล่องเสียง มีเสียงได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ แน่ใจหรือ
ผู้ฟัง มี ถ้าเราทำให้มันเกิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ทำ ยังจะมีเสียงไหม
ผู้ฟัง มี แต่เสียงที่เกิดจากคนอื่นทำ หรือเกิดจากสิ่งอื่นที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดเสียง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเสียงก็คือของแข็งสองอย่างกระทบกันแรงๆ เมื่อสักครู่นี้ก็มีเสียงแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิด เขาต้องมีสิ่งที่จะทำให้เกิด ซึ่งเราใช้คำว่า ปัจจัย จะเกิดเองไม่ได้เลยทั้งสิ้น นี่คือการตรัสรู้ เพราะว่าโดยมากเราเกิดมาแล้ว เราไม่เคยคิด เราเกิดมาอย่างไร ชีวิตต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ทำไมวันนี้เราคิดอย่างนี้ วันก่อนเราคิดอีกอย่างหนึ่ง ทำไมเพื่อนเราคิดอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่เคยคิดมาเลย แต่จากการตรัสรู้ ทรงแสดงความละเอียดทุกเสี้ยววินาที และเล็กยิ่งกว่านั้นอีกคือทุกขณะจิต เพราะฉะนั้นนี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย