ตอบปัญหาธรรม แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๒


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เวลาไม่รู้ก็คิดว่าเป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ แต่พอรู้แล้วก็คือ ธรรมทั้งหมด แล้วจะค่อยๆ เข้าใจความละเอียดของธรรมแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น ตอนนี้เข้าใจคำว่า รูปธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไร ถามให้คิดอีก สิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อมีเหตุให้เกิด

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง มีชั่วขณะที่ปรากฏ จริงในขณะที่ปรากฏ เฉพาะขณะที่ปรากฏ อย่างเสียง มีจริงเมื่อไร จริงเมื่อเสียงกำลังปรากฏ พอไม่มีเสียง จะบอกว่าเสียงเมื่อสักครู่นี้ดับไปแล้ว ขณะนี้เสียงยังไม่ปรากฏเลย มีจริงไหม ขณะที่เสียงไม่ปรากฏ เสียงมีจริงไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะไม่ปรากฏ ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นชีวิตของเราทุกขณะ ซึ่งเหมือนกับว่า ไม่เคยสูญหายไปเลย สักขณะเดียว ตั้งแต่เกิดจนตาย ให้ทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว ในขณะหนึ่งมีชั่วขณะที่ปรากฏ ยกตัวอย่าง อย่างเสียง เสียงมีเมื่อปรากฏ แต่เวลาเสียงไม่ปรากฏ จะบอกว่าเสียงมีได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตสั้นมาก เสียงที่ปรากฏหมดไปแล้ว แล้วก็ปรากฏอีก แล้วก็หมดไปแล้ว แล้วก็ปรากฏอีก แล้วก็หมดไปแล้ว นี่คือทุกอย่างซึ่งปรากฏสืบต่อกัน เหมือนไม่มีอะไรหายไปเลย แต่ความจริงทุกอย่างที่เกิด ดับทันที เร็วมาก

    ถ้าไม่ศึกษาธรรมไม่มีทางที่จะรู้ความจริง ก็คิดว่าทุกอย่าง สืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ความจริงแล้ว วันหนึ่งๆ มีอะไรบ้างที่ยังเหลือ ที่เห็นเมื่อเช้า อยู่หรือเปล่า เห็นตอนเช้าๆ เห็นอะไร ยังอยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง บางอย่างก็อยู่ บางอย่างก็ไม่อยู่

    ท่านอาจารย์ เห็น พูดถึงเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น

    ผู้ฟัง ไม่อยู่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่อยู่แล้ว เห็นเมื่อสักครู่นี้ อยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่อยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่อยู่แล้ว ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ อยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่อยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่อยู่แล้ว ได้ยินขณะนี้ อยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยินขณะนี้ อยู่

    ท่านอาจารย์ หมดแล้วค่ะ เร็วแสนเร็ว เพราะฉะนั้นการฟังธรรม อย่าคิดว่าเราจะเข้าใจได้เร็ว วันเดียวฟังครั้งเดียว แต่ต้องตลอดชีวิต และจะค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น และความจริงนี้ไม่เปลี่ยน ถ้ามีคนบอกว่าทุกอย่างเที่ยง ไม่มีอะไรสูญหายดับไปเลย ถูกหรือผิด ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าถูก ไม่เห็นอะไรหายไปเลย ก็นั่งกันอยู่ที่นี่ตั้งนาน หลายนาทีแล้ว ใช่ไหม แต่ผู้รู้ จะรู้เลย ว่าย่อยออกไปแล้ว จนเล็กกว่าเสี้ยววินาที ทุกอย่างที่เกิด ดับแล้วก็สืบต่อกัน แม้แต่เห็น ขณะนี้ก็ไม่ใช่ขณะก่อน ไม่ใช่ขณะถอยๆ ไปจนกระทั่งไม่ใช่ขณะเมื่อเช้านี้ ไม่ใช่ขณะเมื่อวานนี้ ไม่ใช่ขณะตั้งแต่เกิด จนกระทั่งโตมา

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้ารู้แล้ว จะรู้ได้ว่า มีแล้วหามีไม่ คือ เกิด และดับเร็วมากทันที ไม่มีอะไรเหลือ ชีวิตตอนเด็กตั้งแต่เกิดไม่เหลือเลย ตอนเข้าโรงเรียนอนุบาลยังเหลือไหม ไม่เหลือ พรุ่งนี้ชีวิตขณะนี้จะเหลือไหม ก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้นจะมีคำเพิ่มมาอีกคำหนึ่ง คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง หมายความถึง เกิดดับ คำว่า ไม่เที่ยง ที่นี่หมายความว่า เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดปรากฏจะต้องมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนที่เคยไปวัดต้องเคยได้ยิน แต่ถ้าคนที่ไม่เคย ก็ไม่ได้ยิน คุณยุ้ยเคยได้ยินไหม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่อาจจะไม่เคยรู้ความหมายแท้จริง ก็คิดคร่าวๆ ว่า เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย นั่นคืออนิจจัง และก็ทุกข์ด้วย แล้วก็อนัตตาด้วย แต่ว่าถ้ารู้ละเอียดทุกขณะ รูปธรรมทุกชนิด กลิ่นเกิดปรากฏ แล้วก็หมด เสียงเกิดปรากฏแล้วก็หมด รสกระทบลิ้นปรากฏแล้วก็หมด เย็นกระทบกายแล้วก็หมด คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดปรากฏแล้วหมด หมดไปจริงๆ ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นทุกคนเกิดมาต้องไป ไปจากเด็กเล็กๆ สู่ความเป็นเด็กโต สู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว สู่ความแก่ สู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตาย ไม่มีอะไรเหลือ สักขณะเดียว เพราะฉะนั้นถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วเรารู้ก่อนจะดีไหม ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อวานนี้ ก็มีโทรศัพท์มาจากเชียงใหม่ ก็มีคนที่รู้จักกัน เขาก็บอกว่าลูกของเขาอายุ ๑๙ ขับรถชนกำแพงหรืออย่างไรนี่ค่ะ เสียชีวิต แต่ว่าก่อนจะเสียชีวิตนั้น ก็สมองตายไปก่อน แต่เมื่อเช้านี้มีคนหนึ่งตอนตี ๔ บังเอิญจะเปิดฟังวิทยุ ก็ยังไม่มีรายการธรรม ก็ปรากฏว่ามีคนหนึ่งขับรถเบนซ์ ชนกำแพงอีกเหมือนกัน รถเบนซ์ขาดสองท่อน เสียชีวิตอายุ ๒๕

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครจะรู้เลย ว่าใครจะจากไปเมื่อไร แต่ว่าจะจากไปด้วยการที่ไม่ได้ยินได้ฟัง เข้าใจ เรื่องชีวิต เรื่องธรรม เรื่องอะไรเลย หรือว่าจากไปด้วย การที่เริ่มจะเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร คุณค่าของการที่มีชีวิตอยู่ ด้วยความรู้ ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่อยู่รอบตัว รวมทั้งตัวเองด้วย ว่าแท้ที่จริงเป็นอนัตตาอย่างไร ไม่ใช่ของเราอย่างไร ก็จะทำให้เราเป็นคนที่สะสมความรู้ที่ถูกต้องต่อไปอีก เพราะว่าถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ทรงแสดง ใครก็คิดเรื่องนี้ไม่ได้ ที่จะมากล่าวว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม อีกอย่างหนึ่งเป็นธรรมที่เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างกับรูป

    เพราะเหตุว่า รูปธรรม หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ธาตุอีกชนิดหนึ่ง วิจิตรมาก แปลกประหลาดอัศจรรย์จริงๆ เพราะเหตุว่าเป็นธาตุที่รู้ ไม่เหมือนโต๊ะ เก้าอี้ ไม่เหมือนอะไรเลย แต่ว่าทันทีที่ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้น จะต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่น ทางตาขณะนี้ กำลังมองเห็น ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่ามีสภาพหรือธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเห็น แต่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธาตุหรือธรรมชนิดหนึ่ง ก็เป็นเรา แล้วเราเห็นมาตลอด ก็ไม่เคยรู้เลย ว่าแท้ที่จริงสภาพที่กำลังเห็นไม่ใช่รูป ไม่ใช่สิ่งหนึ่งซึ่งมีจริง แต่ไม่รู้อะไร แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งซึ่งสามารถที่จะเห็น สามารถที่จะได้ยิน สามารถที่จะได้กลิ่น สามารถที่จะลิ้มรส สามารถที่จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สามารถที่จะคิดนึก ทรงจำเรื่องราวต่างๆ ได้ นี่เป็นธาตุที่มีจริงๆ ที่ใช้คำว่าธาตุ ก็คือ ธรรม หมายความว่า เราบังคับไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งที่จะเกิดเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ความโกรธ ไม่เห็นมีใครชอบสักคนหนึ่งใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ใ่ช่ แต่เกิด บังคับได้ไหม บังคับไม่ได้ ความโกรธเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมชนิดไหน เวลานี้เรามีธรรม ๒ อย่าง ประเภทใหญ่ๆ ต่างกันชนิดไม่เกี่ยวข้องกันเลย รูปธรรม คือ สิ่งที่มีจริงไม่สามารถจะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึกอะไรได้เลย ส่วนธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพที่มีจริง แล้วต้องรู้ เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏให้รู้ อย่างเสียง รู้ว่าเสียงอะไร เพราะว่าสภาพนั้นเกิดขึ้น ได้ยิน คือ สามารถที่จะรู้ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ต่างกับเสียงอื่น เพราะฉะนั้นความโกรธเป็นสภาพธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมที่รับรู้ได้

    ท่านอาจารย์ นามธรรม ตอนนี้จะให้ชื่อ เมื่อสักครู่นี้มีรูปธรรม ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย แต่สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายรู้ ส่วนรู้ ต้องรู้ คือ นามธรรม ภาษาไทยเรานี้สับสน นาม แปลว่า ชื่อ แต่ภาษาบาลี นามะ หมายความถึง สภาพที่น้อมไปรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายความว่าต้องเกิด แล้วรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่รู้ไม่ได้ นั่นคือนามธรรม มีอะไรสงสัยในเรื่องชื่อนี้ไหม นามธรรมกับรูปธรรม ไม่เอาพริก กะปิ หอมกระเทียม อะไรมาเกี่ยวข้อง เอาแต่เฉพาะที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง และสามารถที่จะเข้าใจถูก ในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ถ้าคุณยุ้ยเข้าใจแล้ว บอกมาว่ามีนามธรรมอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง เช่น ชื่อคน ไม่ใช่หรือ

    ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวแล้ว นี่ไม่ใช่ภาษาไทยแล้ว ไม่เอาภาษาไทยแล้ว เอาความหมายที่ว่า มีธรรม ๒ อย่าง ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง อย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นก็เป็นรูปธรรม ไม่ว่าเป็นเสียงก็เป็นรูปธรรม เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก ไม่จำ ไม่โกรธ แต่ว่า นามธรรม เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับรูปธรรม คือ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย ไม่มีใครมองเห็นนามธรรม นามธรรมไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่เกิดขึ้นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะรู้ จะเห็น จะจำ จะคิด จะนึก เพราะฉะนั้นให้ตัวอย่างมาอีก ว่าอะไรเป็นนามธรรม ช่วยๆ กันทุกคนค่ะ อะไรเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง ความรู้สึก

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกเป็นนามธรรม เพราะมีจริงๆ อะไรอีก ตอบมาได้เยอะแยะเลย ชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรม ความโลภเป็นนามธรรม อะไรอีก ความหลงเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เสียงจับต้องได้ไหม เป็นรูปหรือเป็นนาม เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นรูปธรรมในทางธรรม กินความหมายกว้างกว่า สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่านาฬิกา หรือรูปภาพที่เขียน นี่เป็นรูป ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนคิดว่ารูปธรรมเป็นสิ่งที่จับต้องได้เฉยๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ความรู้อื่นๆ ทั้งหมดเราไม่สนใจเลย เราฟังอะไร เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เฉพาะที่เรากำลังฟัง ธรรมมีกี่อย่าง

    ผู้ฟัง ๒ อย่าง คือ รูปธรรมกับนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ที่มองไม่เห็นเป็นรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ที่มองไม่เห็น เป็นรูปธรรมก็ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งอะไรก็ตามที่มีจริงๆ แม้มองไม่เห็น แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งนั้นเป็นรูปธรรม รสเราก็มองไม่เห็น ใครเห็นรสหวานบ้าง ใครเห็นรสเค็มบ้าง ไม่เห็นเลยใช่ไหม แต่ว่ารสไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นรสเป็นรูปธรรม

    ผู้ฟัง จุดตรงนั้นคือจุด

    ท่านอาจารย์ นี่คือความจริงแท้ๆ ถ้าเราไม่ใช้คำว่ารูปธรรม แต่รูปธรรมก็ยังมีจริงๆ ถ้าเราไม่ใช้คำว่านามธรรม นามธรรมก็ยังมีจริงๆ แต่เราจำเป็นต้องใช้คำ เพื่อที่จะแยกให้รู้ว่า เราหมายความถึงอะไร แต่ให้รู้ว่า ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริง แม้เราไม่เรียกชื่ออะไรเลย ก็มีจริงๆ บังคับให้ไม่มีได้ไหม ธรรม ไม่ได้ มีแล้ว เกิดแล้ว มีจริงๆ จะเรียกชื่ออะไรหรือไม่เรียกชื่ออะไร ธรรมก็ยังคงเป็นธรรม ธรรม อย่างรูปธรรม เราจะเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ได้ไหม

    ผู้ฟัง เปลี่ยนชื่อได้ แต่ขึ้นอยู่กับความหมายที่เราคงมีความหมายเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนชื่อได้ แต่ลักษณะของธรรม เปลี่ยนไม่ได้ อย่างรูปธรรม ภาษาไทยมาจากภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาอะไรก็เปลี่ยนไป เรียกอะไรก็ได้ แต่เปลี่ยนลักษณะของรูปธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงธรรม ซึ่งมีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะได้เลย เราจะเติมคำอีกคำหนึ่ง คือ ปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปะ ระ มะ หรือ บรม ในภาษาไทย บรม แปลว่า ใหญ่ อรรถะ แปลว่า ความหมายหรือลักษณะ เพราะเหตุว่าธรรม ที่เราจะกล่าวว่า หมายความถึงอย่างนี้ หมายความถึงอย่างนั้น ต้องมีลักษณะเฉพาะตัว ที่เราจะกล่าวถึงได้ อรรถปรมะ อรรถธรรม รวมเป็น ปรมัตถธรรม อรรถะ คือ ความหมายหรือลักษณะ ถ้าไม่มีลักษณะ เรากล่าวถึงความหมายไม่ได้เลย อย่างความโกรธ มีลักษณะอย่างไร อรรถะ ความหมาย หรือลักษณะของความโกรธก็คือ เป็นสภาพธรรมที่หยาบกระด้าง เวลาที่ไม่โกรธก็เฉยๆ สบายดี แต่พอเกิดโกรธ จิตใจเป็นอย่างไร หยาบกระด้างจริงๆ ในขณะนั้น มีความรู้สึกไม่สบายใจเกิดขึ้น นั่นก็คือว่ามี อรรถะ มีลักษณะที่เราสามารถที่จะใช้ความหมายหรืออรรถะ อธิบายความหมายลักษณะของสิ่งนั้นได้

    เพราะฉะนั้น ปรมัตธรรม ก็คือ ธรรมที่มีลักษณะเฉพาะ ของตนๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมอย่างไร ก็เป็นธรรมอย่างนั้น เป็นปรมัตธรรม และถ้าจะเพิ่มอีกชื่อหนึ่ง คือ อภิธรรม อภิ ก็แปลว่า ยิ่งใหญ่ เหมือนกัน

    ในพระไตรปิฎก จะมี ๓ ปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ที่ใช้คำว่าพระไตรปิฎก ทุกคนเข้าใจเลยว่า หมายความถึง คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสงฆ์ในครั้งต่อๆ มา หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านก็สังคายนารวบรวม ทำให้สะดวกในการที่จะศึกษา โดยแบ่งเป็น ๓ ปิฎก ๓ ส่วน ปิ ดะ กะ จริงๆ หมายความถึง ตะกร้า หรือที่รวมก็ได้ ที่รวมของพระธรรมวินัยมี ๓ ส่วน คือ พระวินัยปิฎก เป็นข้อประพฤติปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ของพระภิกษุ แต่มีธรรมอื่นด้วย ในพระวินัยปิฎก ไม่ใช่ไม่มีธรรมเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะควรของเพศบรรพชิต พระสุตตันปิฎก ก็เป็นการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับใคร ที่ไหน ก็ต้องเป็นธรรมอีก พระพุทธเจ้าที่จะไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีเลย แต่ทรงแสดงกับใคร เรื่องอะไร แต่ละบุคคล วันนี้ทรงแสดงกับคนนี้ เรื่องนี้ วันต่อๆ ไปอาจจะแสดงกับบุคคลนั้น เรื่องนั้น เพราะฉะนั้นจึงมีมากมายหลายเรื่อง รวมเป็นพระสุตตันปิฎก ซึ่งเรียกย่อๆ ว่า พระสูตร ส่วนปิฎกสุดท้าย คือ พระอภิธรรมปิฎก ไม่เอาชื่อเสียงอะไรเลยทั้งสิ้น พูดเรื่องธรรมล้วนๆ อย่างที่กำลังพูดถึงนี้ ว่าธรรมมี ๒ อย่าง ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ นามธรรมกับรูปธรรม ไม่ได้บอกว่าเป็นคนนั้นหรือคนนี้เลย แต่ว่าเป็นตัวธรรมล้วนๆ นี่คือ อภิธรรมปิฎก

    เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ใครถามเรื่องพระไตรปิฎก ตอบได้เลยใช่ไหมว่า คืออะไร เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบได้เลย ว่าวันนี้เราเรียนเรื่องพระไตรปิฎก โดยเฉพาะปิฎกที่ ๓ คือ พระอภิธรรมปิฎก ธรรม ตัวธรรม ซึ่งเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ แต่เปลี่ยนชื่อได้ ทุกอย่าง อย่างเสียง ภาษาไทยว่าอะไร ภาษาอังกฤษว่าอะไร ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีนเรียกกันไปต่างๆ แต่ไม่มีใครเปลี่ยนลักษณะของเสียง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ เมื่อกระทบกับหู แต่ไม่ใช่หูทั้งหู ต้องเป็นส่วนพิเศษในหู ที่สามารถจะกระทบเสียง แล้วก็มีธาตุรู้ที่ได้ยินเสียง เพราะว่ารูปทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มีใครสงสัยในเรื่องนามธรรม รูปธรรม ไหม สงสัยได้ ถ้าสงสัยก็ถามได้

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่ไม่สามารถจัดอยู่ใน ๒ ประเภทนี้ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ มีค่ะ อย่างชื่อ

    ผู้ฟัง ตี๊

    ท่านอาจารย์ ตี๊ นี่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม เห็นไหม ชื่อตี้ เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ไม่ได้แล้ว ถ้าเราพูดถึงปรมัตถธรรม เราหมายความถึง สิ่งที่มีจริง แต่ ตี๊ไม่มี แต่เรียกว่า ตี๊ ให้รู้ว่าหมายความถึงตรงนี้ คนนี้ เพราะฉะนั้นมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่มีนามธรรม ไม่มีรูปธรรม ก็ไม่มีการเรียกอะไรหมดเลย จะไปเรียกอะไร มันไม่มีอะไรจะให้เรียก ใช่ไหม แต่พอมีธรรมแล้ว จำเป็นต้องเรียก ไม่เรียกจะรู้ได้อย่างไร และคำที่เราใช้เรียก ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นคำ เป็นเพียงคำ ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เราเรียกคำนี้ว่า บัญญัติ หมายความว่า คำที่สมมติให้เข้าใจกัน ว่าหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจปรมัตถธรรมจริงๆ ว่าปรมัตถธรรม หมายความถึง ธรรม คือ ธาตุ หรือสิ่งที่มีจริง ต้องมีจริงๆ มีจริงอย่างไร มีลักษณะเฉพาะของแต่ละอย่างให้รู้ว่า เป็นจริงอย่างนั้นๆ อย่างความโกรธเป็นลักษณะหนึ่ง ความไม่โกรธมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง เพราะฉะนั้นความโกรธ ก็เป็นปรมัตธรรม ความไม่โกรธก็เป็นปรมัตธรรม แต่ถ้าไม่เรียกชื่อ ๒ อย่างนี้ เราก็แยกไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อมีปรมัตถธรรมแล้ว จึงมี บัญญัติ คือ สมมติให้เข้าใจความหมายว่า คำนี้เราหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น บัญญัติคือสิ่งซึ่งไม่มีจริงๆ แต่เพราะมีปรมัตถธรรม จึงมีบัญญัติ เพื่อให้เข้าใจว่า เราหมายความถึงอะไร

    ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว บัญญัติง่ายมาก ไม่ต้องไปสงสัยอะไรเลย อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นบัญญัติทั้งหมด นาฬิกา เป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นบัญญัติ นาฬิกา ถูกค่ะ เป็นบัญญัติ เพราะว่าไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น แต่ว่าเมื่อเราจะหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราก็รู้ว่า เรากำลังหมายความถึงอะไร ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรม จะทราบว่าสิ่งที่มีจริง แยกอย่างใหญ่ๆ ก็คือนามธรรมกับรูปธรรม แยกได้อีกๆ ๆ แยกได้อีก จนละเอียดขึ้นๆ ๆ แต่ว่าต้องไม่สับสน ความรู้ที่สำคัญที่สุดคือ พื้นฐาน ถ้าพื้นฐานไม่มั่นคง เราจะไม่เข้าใจธรรมเลย แต่เราคิดว่าเราเข้าใจ เพียงอ่านเราคิดว่า เรารู้ แต่ความจริง ถ้าเราไม่รู้จักว่าเป็นธรรม ถ้าเราไม่รู้ว่าเป็นปรมัตธรรม ถ้าเราไม่รู้เป็นอภิธรรม เราจะไม่เข้าใจทั้ง ๓ ปิฎกเลย แต่เมื่อเราเข้าใจปรมัตถธรรม อะไรทั้งหมดที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นบัญญัติ เป็นสิ่งที่เราสมมติ เป็นภาษาต่างๆ สำหรับที่จะให้เข้าใจว่า หมายความถึง ปรมัตถ์อะไร

    เมื่อสักครู่นี้ เราก็มาถึง รูปธรรมกับนามธรรม มีใครยังสงสัยไหม ในเรื่องนามธรรมกับรูปธรรม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ยังไม่มี

    ท่านอาจารย์ น้ำแข็งเป็นปรมัตถ์ หรือเป็นบัญญัติ

    ผู้ฟัง ชื่อ ก็เป็นเป็นบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปรมัตถ์จะมีบัญญัติไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่ต่อไปจะรู้ว่า แม้ไม่มีปรมัตถ์ เราก็มีบัญญัติได้ เช่น พระราชา เป็นปรมัตถ์หรือเป็นบัญญัติ

    ผู้ฟัง ถ้าเราใช้เรียกสิ่งนั้น ก็น่าจะเป็นบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ เป็นบัญญัติ ปรมัตถ์ที่เป็นพระราชาไม่มีเลย ปรมัตถ์ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็น ได้ยิน สี เสียง กลิ่น รส นี่เป็นปรมัตถ์ แต่พระราชาไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะฉะนั้นพระราชาเป็นบัญญัติซึ่งไม่มีปรมัตถ์

    ผู้ฟัง ขอโทษนะครับ เมื่อสักครู่ ตาเป็นปรมัตถ์ เพราะว่า

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ อะไรที่มีจริงทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่ตาทั้งหมดนี่ เพราะว่าคนตาบอด ก็ยังมีตาทั้งหมด แต่ไม่มีจักขุปสาท เพราะฉะนั้นจักขุปสาท เล็ก แล้วก็เป็นรูปพิเศษ ที่ตัวของเรา รูปนี้มีกรรมเป็นสมุฏฐาน ทำให้เกิดขึ้น เฉพาะตรงกลางตา จักขุปสาทจะไม่อยู่ตรงแขน จะไม่อยู่ตรงอื่นเลย แต่ว่ากรรมจะทำให้รูปนี้เกิด แล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับตลอดเวลา จนกว่าจะมีรูป คือ สีสันวรรณะ กระทบกับจักขุปสาทเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะเป็นปัจจัยทำให้มีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ คือ จิตเกิดขึ้น แล้วก็กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฎ

    เพราะฉะนั้นถ้าเอารูปของคุณออกหมดเลย รูปของใครๆ ออกหมดเลย ตรงไหนที่มีเห็น ตรงนั้นก็คือนามธรรม ซึ่งต้องอาศัยจักขุปสาทตรงนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวตน ต้องหมายความว่า ไม่มีตัวตนรวมอยู่ที่นั่น ถ้ายังมีตัวตน คือ เรายังจำว่าเป็นเรา ยังนั่งอยู่ที่นี่ แล้วจะบอกว่าไม่ใช่เรา เป็นไปไม่ได้ นอกจากคิดเอาเอง ว่าไม่ใช่เรา แต่การประจักษ์แจ้ง ก็คือว่า ตรงนั้นจะต้องไม่มีอะไรอื่นทั้งสิ้น แต่มีปัญญาที่สมบูรณ์ ที่จะรู้ว่าขณะนั้น เป็นนามธาตุที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้นตัวไม่มี มีแต่สภาพธรรมเฉพาะอย่างๆ ซึ่งเป็นจิตแต่ละอย่าง ทีละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน เพราะฉะนั้นตัวตน รูปร่างอะไรก็หายไปหมด ไม่มี เมื่อไม่มีแล้วก็รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงรูปธรรมไม่ใช่นามธรรม นามธรรมก็เป็นแต่เพียงสภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องแยกธรรมออกเป็น ๒ ฝ่ายเด็ดขาด คือ นามธรรมเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมก็เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม

    ผู้ฟัง อาจารย์ที่เราเรียนเพื่อรู้แค่ คือจุดประสงค์ที่รู้ว่า นามธรรมกับรูปธรรม เพื่อรู้ความจริง แล้วความจริงนี้ ความหมายจริงๆ คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา อนัตตา

    ผู้ฟัง ก็คือ ให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเราเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด ในสังสารวัฏฏ์ทุกชาติเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แล้วมีความคิดของความเป็นตัวเรา จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นความเห็นผิด

    ผู้ฟัง ซึ่งจะก่อปัญหาเยอะแยะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการรู้แจ้งอริยสัจธรรมขั้นแรก ดับความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ ไม่มีอีกเลย ที่จะเห็นว่าเป็นเรา เห็นถูกตามที่พระพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง ทรงตรัสรู้ ทรงแสดง ให้คนที่อบรมเจริญปัญญา ได้เห็นความจริงอย่างนั้นตามด้วย

    ผู้ฟัง ฉะนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าเรามีแต่เฉพาะ

    ท่านอาจารย์ มีธรรม ซึ่งธรรม มี ๒ อย่างคือ นามธรรมกับรูปธรรม

    ผู้ฟัง อาจารย์กำลังจะบอกว่า ที่กำลังเห็น ที่เด็กๆ ตอนนี้กำลังคิดว่าตัวเองมีคุณพ่อคุณแม่ มีท่านอาจารย์กำลังแสดงธรรมอยู่ มีเสียงที่กำลังได้ยินอยู่ตอนนี้ มาที่มูลนิธิเป็นตัวเราอย่างนั้น อย่างนี้ เพราะความเห็นผิด

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้บอกเด็กๆ ว่าเก็บเอาไว้ให้หมด เรื่องความคิดของตัวเอง กำลังฟังอะไรให้เข้าใจสิ่งนั้น จะได้ไม่ก้าวก่าย ไม่สับสน และเราเริ่มจะเข้าใจ พอเราเข้าใจอย่างนี้ เราคิดได้เลย ว่าอะไรเป็นอะไร คือก่อนอื่น นามธรรมกับรูปธรรมต้องเข้าใจเด็ดขาด แยกกันโดยเด็ดขาด ไม่สับสน ไม่ว่าจะเคยคิดว่าเป็นอะไร ที่ไหน อย่างไรทั้งสิ้น ให้ทราบว่าเป็น นามธรรมหรือรูปธรรม นี่คือการบ้าน ถ้าสงสัย การบ้าน

    ง่วงมีจริงๆ ไหม ง่วง มี นามธรรมหรือรูปธรรมค่ะ ง่วง ค่ะ นามธรรม นี่คือเราเข้าใจจริงๆ นี่คือ การเข้าใจธรรม เราไม่ใช่เรียนตามตัวหนังสือ หรือต้องไปท่องเลย แต่ขณะนี้มีธรรม และเรียนให้เข้าใจธรรม ที่กำลังมีในขณะนี้ให้ถูกต้อง โดยเริ่มที่ว่าเป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม จะต่อได้ไหม หรือว่าจะอยู่ตรงนามธรรมกับรูปธรรม

    อ.นิภัทร ที่ท่านอาจารย์กล่าวมา ทุกคนก็คงจะจับประเด็นได้ว่า อาจารย์พูดว่า ธรรม คืออะไร ธรรม ก็คือ ของจริงที่มีอยู่จริงๆ อาจารย์กล่าวว่า ของจริงที่มีอยู่จริงๆ มีลักษณะ ๒ อย่าง คือ ที่เป็นรูปธรรม สภาพที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างหนึ่ง แล้วก็ที่เป็นนามธรรม คือ สภาพที่รู้ อย่าง สองอย่าง อาจารย์กล่าวเช่นนี้ แล้วของจริงที่มีอยู่จริงๆ เป็นรูปธรรม ลักษณะของรูปธรรม ก็คือ ไม่รู้อะไรเลย ลักษณะที่นามธรรม ก็คือ รู้ ก็มีอยู่แค่นี้ เป็นหลักที่จะทำให้เราคิดได้เยอะๆ

    ท่านอาจารย์ มีใครงงไหม ถ้างงก็ยกมือเลย จะได้ถาม เชิญเลยค่ะ

    ผู้ฟัง ที่ว่าพ่อแม่ไม่มี แล้วที่เห็นเป็นพ่อเป็นแม่นี้ จริงๆ คืออะไร

    ท่านอาจารย์ เรามีไหม เรามีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าศึกษาแล้ว จะบอกว่าไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาแล้ว พ่อแม่ก็คือ นามธรรมกับรูปธรรม เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นตอนนี้ เราผ่านพระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก ซึ่งมีสมมติบัญญัติทั้งนั้นเลย มีพระพุทธเจ้า และก็มีพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราชบิดา มีอะไรทั้งหมดมาสู่ปรมัตถธรรม คือ ธรรมล้วนๆ ซึ่งไม่กล่าวถึงชื่อ ไม่กล่าวถึงบุคคลเลย แต่กล่าวถึงความเป็นจริงที่มี ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราเคยคิด เคยเข้าใจว่า เป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ โดยแท้จริง เมื่อเอาชื่อเสียงเรียงนามออกหมดแล้ว ก็คือ ตัวธรรม ซึ่งเมื่อมีธรรมแล้ว เราก็จะเรียนให้เข้าใจธรรมจริงๆ แล้วก็ถ้าจะเอาชื่อใส่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ เป็นเรื่องสมมติบัญญัติ

    ผู้ฟัง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าพ่อแม่ไม่มี ไม่เป็นไร แล้วกลับไปจะพูดอย่างไรกับพ่อกับแม่ก็ได้ เพราะพ่อแม่ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็บอกคุณพ่อคุณแม่ ว่าคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นธรรม เราก็เป็นธรรมทุกอย่าง เป็นธรรม

    ผู้ฟัง จะบอกว่าอกุศลกรรมมีจริง คือ กำลังจะโดนตี

    ท่านอาจารย์ อกุศลกรรม ก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าใช้คำตอบว่าทุกอย่างเป็นธรรม

    อ.นิภัทร คำว่าตัว ว่าตน ว่าเรา ว่าเขา ว่าบุคคล ว่าคนโน้น คนนี้อะไรต่างๆ ไม่มี แต่ที่มี คือ ของจริง คือ ธรรม คือ ปรมัตถธรรม คือ ของจริงที่มี คือของจริง ของจริงก็มีอยู่จริง มีอยู่ ๒ อย่างใช่ไหม อะไรบ้างหนู อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง รูปธรรมกับนามธรรม

    คุณฟองจันทร์ ช่วยขยายอีกนิดได้ไหมว่า รูปธรรมคืออะไร แล้ว นามธรรมคืออะไร ต่างกันอย่างไร ได้ไหม ไม่ได้ทดสอบ แต่อยากจะรู้ว่ามีความเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจเราก็จะได้คุยกันให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง รูปธรรม คือ ไม่รับรู้ แล้วก็นามธรรม คือ เราสามารถรับรู้ได้

    คุณฟองจันทร์ แล้วรูปธรรมที่ว่ารับรู้ไม่ได้ มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างมีอะไรบ้าง ที่ว่าไม่รู้อะไรเลย

    ผู้ฟัง ไม่รู้อะไรเลย สิ่งของ

    คุณฟองจันทร์ เช่น อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง โต๊ะ ไมโครโฟน เก้าอี้

    คุณฟองจันทร์ แล้วในตัวเรามีไหม

    ผู้ฟัง มี นาฬิกา เสื้อผ้า

    คุณฟองจันทร์ ตัวเราที่เป็นรูปธรรม มีอะไร ที่ไม่รู้อะไรเลย

    ผู้ฟัง ที่ไม่รู้อะไรเลย พอมีบ้าง เส้นผม ขนตา

    คุณฟองจันทร์ แล้วก็มีอะไรอย่างอื่นอีกไหม ที่เป็นรูปธรรม หู เป็นอะไร ใบหู

    ผู้ฟัง หู เป็นรูปธรรม

    คุณฟองจันทร์ เป็นรูปธรรม แล้วอย่างอื่น เสียง

    ผู้ฟัง เสียงน่าจะเป็นรูปธรรม

    คุณฟองจันทร์ น่าจะเป็นรูปธรรม ทำไมถึงบอกว่าเป็นรูปธรรม ลองคิดดูว่า ทำไมถึงบอกว่าเป็นรูปธรรม

    อ.นิภัทร จำกัดความให้ตายตัวไม่ได้ เสียงรู้อะไรได้ไหม

    ผู้ฟัง เสียงไม่รู้

    อ.นิภัทร ไม่รู้เลย ก็ไม่รู้ มันก็เข้ารูปธรรม คือ คำจำกัดความนี้ต้องให้แม่นยำ คือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง มีคำถามจากข้างหลังครับว่า ว่าเราจะนำความรู้เรื่องรูปธรรมกันนามธรรม ที่เราเรียน แค่ขั้นนี้ เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างไร หรือว่าเราจะไปแยกแยะอะไรได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวันเป็นเราใช่ไหม ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง เราคิดว่า เราเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราเกิดมา เรามีความรู้เรื่องโลก เรื่องชีวิต เรื่องเราหรือเปล่า หรือเราไม่เคยรู้เลย มีแต่เราตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ช่วยขยายอีกนิด

    ท่านอาจารย์ เราเกิดมาก็มีความเป็นเราทุกวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย ถูกหรือผิด ที่ว่าเป็นเราทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ความคิดอย่างนั้น ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ถ้าผมไม่ได้เรียนธรรม ผมไม่รู้ว่าถูกหรือผิด

    ท่านอาจารย์ เมื่อเรียนแล้ว รู้ว่าถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ทราบได้ เพราะผมยังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราเรียนแล้วทุกอย่างที่มีจริง ของที่มีจริงเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย ธรรม หมายความถึง ธาตุหรือทา-ตุ ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราหลงยึดถือว่าทั้งหมดเป็นเรา แต่ไม่มีอะไรเหลือ ทุกวันๆ เกิดแล้วก็หมดไปๆ ๆ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นที่เราเคยคิดว่าเป็นเรายั่งยืน บังคับบัญชาได้ จะทำอะไรก็ได้ จะได้รับความสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความเห็นถูก หรือเป็นความเห็นผิด

    ผู้ฟัง เห็นผิด

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นความเห็นผิด เราก็จะเห็นประโยชน์ว่า เมื่อเราเกิดความเห็นถูกขึ้น หรือว่าเราจะปล่อยให้มีความเห็นผิดต่อไป อยู่ที่เรา ในเมื่อเวลานี้เราเริ่มรู้แล้วว่ามีความเห็น ๒ อย่าง ความเห็นผิดกับความเห็นถูก และเรายังคงจะต้องการเห็นผิดต่อไปอีก หรือเราจะทำความเห็นถูก ให้ถูกขึ้นเรื่อยๆ นี่คือประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

    ผู้ฟัง ผมมาไม่ทันตอนเริ่ม อาจารย์ได้พูดถึงว่า เราต้องเรียนธรรมเพื่ออะไรไปหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต



    หมายเลข 53
    19 ส.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ