ตอบปัญหาธรรม แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๓


    ผู้ฟัง ผมมาไม่ทันตอนเริ่ม อาจารย์ได้กล่าวถึงว่าเราต้องเรียนธรรม เพื่ออะไร

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต มีคนตอบว่าความสุข แต่ความสุขก็ไม่ยั่งยืน แล้วบังคับบัญชาไม่ได้ด้วย และก็ทำให้เราติดข้องต้องการแต่ความสุข หาทุกสิ่งทุกอย่างทุกวัน เพื่อความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางคนก็ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำความทุจริตเบียดเบียน ตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนกระทั่งถึงใหญ่ๆ โตๆ ก็ได้ เพื่อแสวงหาความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นไม่ยั่งยืน ดับทันทีหมดไปเลย และเราทำไมไปติดข้องกับสิ่งที่เพียงเกิดแล้วก็หมดไป อย่างทุกวันนี้เราเห็น แล้วเราไม่รู้ตัวสักนิดหนึ่ง ว่าเราเห็น แล้วเรามีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด กับสิ่งที่เห็นตลอดเวลา รักบ้าง ชังบ้าง เฉยๆ บ้าง แต่สิ่งนั้นก็หมดไป เพียงแค่เกิดมาให้มีความรู้สึกรัก ชัง แล้วก็หมดเท่านั้นเอง แม้แต่ความรู้สึกรัก ชัง เฉยๆ นั้นก็ไม่เหลือด้วย คือทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ และเราควรจะรู้ความจริงนี้ หรือว่าไม่ควรจะรู้ ให้ติด ต่อไป ให้หลงต่อไป ให้หวังต่อไป ให้เป็นทุกข์ต่อไป

    นี่คือประโยชน์ของการฟังพระธรรม คือ รู้ว่าอะไรเป็นสัจจธรรม เป็นความจริงซึ่งมีประโยชน์มากมายมหาศาล กับทุกชีวิตที่ได้รู้ความจริง ถ้าไม่รู้ความจริง เราจะมีความเป็นเรามากมาย แล้วก็จะเป็นเหตุให้เกิดอกุศลเยอะแยะหมดเลยทุกชาติๆ ไป เพิ่มขึ้นๆ ๆ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นชีวิตของคนที่ต่างกัน บางคนก็นิสัยดี บางคนก็เห็นแก่ตัว บางคนก็ขี้โกหก พูดอะไรก็ไม่จริง บางคนก็สิ่งที่ไม่ดี ทำไม่ได้เลย พูดจริงตลอด คำไม่จริง เขาไม่สามารถที่จะกล่าวได้ หรือว่าสิ่งที่ไม่ดี เขาก็ทำไม่ได้ บางคนวาจาดีมาก ในขณะที่บางคนก็กล่าววาจา ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนใจ รำคาญหู เสียงก็เหี้ยม หรือว่าดุร้าย หรืออะไร แต่อีกคนก็รู้เลยว่า ถ้าไม่พูดคำนั้นจะมีประโยชน์กว่า

    เพราะฉะนั้นเราเอง เราก็พอที่จะรู้ได้ว่าชีวิตของเรา ถ้ามีคนสองคนให้เราเลือก ว่าเราจะเป็นคนไหน คนดีกับคนชั่ว ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทุกคนย่อมอยากจะเป็นคนที่ดีพร้อม กาย วาจา ใจ มีหนทางที่จะดีพร้อม หนทางนั้นคือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้ไม่ได้เลย ว่ากายของทุกคนที่เคลื่อนไหวขยับเขยื้อน มาจากจิตชนิดไหน คำพูดบางคำก็ดูหวานดี แต่ต้องการอะไรในคำหวานๆ นั้นหรือเปล่า เลียบเคียงต้องการจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ใช้คำพูดอย่างนั้นอย่างนี้หรือเปล่า ก็เป็นสิ่งซึ่งมีจริง ไม่มีการที่จะหลอกตัวเองได้ เพราะตัวเองต้องรู้ อย่างคนที่พูดเท็จ เขารู้ตั้งแต่คิด ว่าเขาจะพูดสิ่งที่ไม่จริง เวลาพูดเขาก็รู้ว่าเขากำลังพูดสิ่งที่ไม่จริง พูดแล้วก็รู้ด้วยว่าพูดแล้วในสิ่งที่ไม่จริง

    เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ใครชอบที่จะฟังคำไม่จริง ที่จะเป็นคนไม่ดีด้วยประการทั้งปวง แต่การที่จะเป็นคนดี ไม่ง่าย ถ้าจะดีได้จริงๆ ก็เพราะปัญญา ที่รู้ความจริงว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น เพราะทุกคนอยากจะดี แต่ทำไมบางคนไม่ดี เพราะอะไร เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียวที่จะทำให้ทุกคนค่อยๆ ดีขึ้น เพราะมีปัญญารู้ความจริงขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เสียเวลามานั่งฟัง หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมีมูลนิธินี้ก็ได้ กว่าจะมีมูลนิธิได้ก็ยากแสนยาก เพราะว่าต้องการที่จะให้ทุกคนได้เข้าใจความจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ คืออย่างไร และเป็นประโยชน์อย่างไร

    คุณฟองจันทร์ ท่านอาจารย์กำลังจะกล่าวว่า ธรรม สามารถจะเปลี่ยนนิสัยของเราได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัญญา

    คุณฟองจันทร์ เมื่อมีปัญญา ซึ่งปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ จากการฟัง ขณะนี้เข้าใจอะไร นั่นคือปัญญา ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา แต่ภาษาไทยคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความรู้ถูก

    คุณฟองจันทร์ ซึ่งต่างกับปัญญาในทางโลก ใช่ไหม อย่างที่เรียนหนังสือ

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยต้องเก็บไว้เลย ไม่ต้องเอามาปะปนกับภาษาบาลีเลย เพราะว่าใช้คำสับสน และไม่ใช่คำที่มีความหมายที่ถูกต้องด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นความสุขที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

    ท่านอาจารย์ ความสุขที่แท้จริง คือ รู้ว่าไม่มีเรา มีเราทุกข์แค่ไหน

    ผู้ฟัง มากครับ เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นเรา เราก็จะคิดว่าโน้นเป็นอย่างไร เขาจะมองเราอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใครเขาจะคิดว่าอย่างไร เขาจะชอบเราหรือเปล่า หรือเราทำอย่างนี้ผิดไปแล้ว จะทำอย่างไร เดือดร้อนมากมายมหาศาล แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม ความเบาจะมี และการที่ความดีทั้งหลายจะหลั่งไหลมา เพราะรู้ว่าไม่มีเรา จะเป็นประโยชน์กับโลกอย่างมากมาย ทั้งตัวเอง ทั้งคนอื่น ทั้งสังคมด้วย

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนผมเคยสงสัยว่า ถ้าเราคิดว่าเราไม่มีเรา เราไม่เอาใจไปผูกกับสิ่งอื่นรอบตัวเรา จะทำให้เกิดการเพิกเฉยกันในสังคมหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ นั่นคือความคิด ซึ่งไม่ใช่ความจริงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำประโยชน์ยิ่งกว่าใครในโลก ตั้งแต่ก่อนที่คนอื่นจะตื่นนอน ทรงตรวจดูสัตว์โลก ว่ามีใครบ้างที่สะสมมา ที่จะทรงอนุเคราะห์ด้วยการแสดงธรรม จะเห็นพระภิกษุออกบิณฑบาตแต่เช้า ใช่ไหม แต่ก่อนนั้น เสด็จไปโปรด คนที่จะได้รับฟังพระธรรมแล้วจะเข้าใจ แม้ว่าจะไม่ใช่วันนั้น แต่อีกนานเขาก็จะเข้าใจได้ ก็ไป หลังจากที่บิณฑบาตแล้ว เสวยภัตตาหารแล้ว ก็ทรงแสดงธรรม ก่อนที่จะประทับเข้าไปในพระคันธกุฎีพักผ่อน หลังจากนั้นแล้ว ก็ออกมาสนทนาธรรมอีก แล้วตอนเย็นก็มีคนที่ไปเฝ้า พวกชาวบ้านชาวเมืองที่ทราบว่าประทับอยู่ที่ไหน ก็ไปเฝ้า เพื่อฟังธรรม ตอนค่ำชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว พระภิกษุก็มาทูลถามปัญหาต่างๆ หมดเรื่องพระภิกษุ ก็ยังเทวดามาอีกตอนดึก บรรทมเพียงหนึ่งชั่วโมง ชีวิตใครมีประโยชน์อย่างนี้บ้าง ที่จะทำได้อย่างนี้เพราะอะไร เพราะพระมหากรุณาคุณ ที่รู้ว่าถึงจะมีทรัพย์สินมหาศาล มีทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลย คำชมแค่ผ่านหูก็หมดแล้ว ไปตื่นเต้นอะไรนักหนา เฟื่องฟูใจอะไรมากมายหลายวันหลายคืน ใช่ไหม เพราะอะไร เพราะความเป็นเรา เพราะมีเรา แต่ถ้าไม่มีเรา ก็มีสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศล กุศล คือ สภาพธรรมที่ดีงาม อกุศล ก็คือ สภาพธรรมที่ไม่ดีงาม แล้วเมื่อรู้อย่างนี้ ใครจะทำสิ่งที่ไม่ดีงาม ถ้าปัญญาถึงระดับที่สามารถจะดับอกุศลได้ เพราะว่าพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงพระนามว่า พระอรหันต์ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไกลจากกิเลส คือ ดับกิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ มาแผ้วพานได้เลย อย่างเราเห็นอาหารอร่อยรู้สึกอย่างไร

    ผู้ฟัง เราก็อยากกิน เราก็ชอบ

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่มีเลยที่จะมีความติดข้อง ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีริษยา ไม่มีอะไรทุกอย่างที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นจะเบาสบาย เห็นใครก็ไม่เดือดร้อน ใครจะเปลี่ยนสีผมอย่างไร ก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย มีแต่ความเมตตาในความไม่รู้ ว่าเขายังไม่รู้

    เพราะฉะนั้นมีทางไหนที่เขาจะรู้ได้ ก็ช่วยให้เขาได้รู้ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรู้ ทรงกำจัดกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราทุกข์เพราะกิเลส ทั้งๆ ที่วันนี้เราก็แข็งแรงดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใจที่กำลังเดือดร้อนสักนิดหนึ่งก็เพราะกิเลส แต่ลองคิดถึงผู้ที่ไม่มีกิเลส เพราะดับสนิท ไม่มีเชื้อที่จะให้เกิดกิเลสใดๆ ได้อีกเลย จะทำประโยชน์ได้มากมายแค่ไหน ที่เราทำประโยชน์ได้น้อย สละได้น้อย เพราะยังมีเรา แต่ถ้าเรามีปัญญาจริงๆ ดับกิเลส กิเลสจะหมดไปเป็นส่วนๆ และเราก็จะทำประโยชน์ได้มากขึ้น

    คุณฟองจันทร์ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็เริ่มต้นเหมือนอย่างเราอย่างนี้ ใช่ไหม เริ่มต้นจากการฟังอย่างนี้ ในการสนทนาอย่างนี้ ศึกษาอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    คุณฟองจันทร์ เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนเด็กๆ ในนี้ ก็จะต้องเริ่มจากตรงนี้

    ท่านอาจารย์ การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้นจากความไม่รู้ สู่ความค่อยๆ รู้ขึ้น ด้วยการเป็นพหูสูต คือ ผู้ที่ฟังมาก ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง และเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าเวลาฟัง ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง พอเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังวันนี้ ฟังอีกก็เข้าใจเพิ่มเติมอีก จากสิ่งที่เข้าใจแล้วจากการฟัง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น ซึ่งเราคิดเองไม่ได้ เราต้องอาศัยการฟังจริงๆ ที่จะฟังแล้วก็รู้ว่า ความเข้าใจของเรา ที่เข้าใจจริงๆ จะค่อยๆ เสริม เพิ่มขึ้น เมื่อเรามีพื้นฐานที่มั่นคง จากความเข้าใจจริงๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงคำ สองคำ สามคำ แต่ขอให้เข้าใจคำนั้นจริงๆ

    คุณฟองจันทร์ เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ในการฟังธรรมที่ถูกต้อง จะต้องมีการสะสมมาแต่ชาติปางก่อน

    ท่านอาจารย์ ชาตินี้ก็เป็นปางก่อนของชาติหน้า ก็ไม่ต้องไปคิดถึง เราก็จะรู้ตัวเราได้ ขณะที่ฟัง เราเข้าใจหรือเปล่า นี่สำคัญที่สุดเลย ประโยชน์ของการฟัง คือ เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลามาก ๓ ชั่วโมงนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ แล้วไม่เข้าใจอะไรเลย กับ ๓ ชั่วโมงที่เริ่มเข้าใจขึ้น เราจะเห็นความต่าง และประโยชน์ เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจเป็นการสำคัญที่สุด ไม่ใช่เป็นเรื่องจำ อย่างคำว่าอนัตตา ไม่ต้องไปท่องเลย คำว่าธรรมก็ไม่ต้องไปท่อง ถ้าเข้าใจแล้วหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เป็นคำเดียวกับธาตุหรือทา-ตุ ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ และก็โยงใยไปถึงอนัตตา เมื่อเป็นธาตุ ก็คือว่าเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้ ก็เกี่ยวโยงกันไป แล้วธรรมที่มีจริงก็ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่ปรากฏ อย่างเสียง ขณะใดที่จริงก็คือขณะที่กำลังปรากฏ ว่าดับแล้ว ก็หมดแล้ว ไม่มีแล้ว ก็มีอย่างอื่น ที่เกิดขึ้นสืบต่อ ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่ที่เราพูดกันเรื่องกุศล และอกุศลกันเล็กน้อย อยากให้อาจารย์อธิบายละเอียดสักนิดนึงว่า อกุศล ไม่ต้องใหญ่โต เล็กๆ อะไรบ้าง ก็เป็นอกุศลเพื่อเป็นแนวทางสำหรับเด็กๆ



    หมายเลข 53
    21 ส.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ