ตอบปัญหาธรรม แผ่นที่ ๒ ตอนที่ ๑
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ที่เราพูดกัน เรื่องกุศล และอกุศลกันเล็กน้อย อยากให้อาจารย์อธิบายละเอียดสักนิดหนึ่งว่า อกุศลไม่ต้องใหญ่โต เล็กๆ อะไรบ้างก็เป็นอกุศล เพื่อเป็นแนวทางสำหรับเด็กๆ
ท่านอาจารย์ สนใจไหมคะ สนใจแจกหนังสือบุญญกิริยาวัตถุ
ผู้ฟัง สงสัยเด็กจะไม่เปิดค่ะ
ท่านอาจารย์ การบ้าน คือ คนที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่แค่ฟัง ต้องไตร่ตรอง แล้วก็เริ่มเห็นประโยชน์ แล้วก็ต้องค้นคว้า ศึกษาด้วยตัวเองเพิ่มเติมด้วย เพราะว่าเรียนเท่าไรก็ไม่หมด ตลอดชีวิตนี้ไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าฟังวันนี้แล้ว ไปอ่านหนังสือได้เลย อย่าไปคอย ว่าเขายังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เราอย่าเพิ่งไปอ่าน ไม่ได้ อ่านได้เลย หมดทุกเล่ม แล้วจะประกอบกันทั้งหมด แล้วจะทำให้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย แล้วก็จะเร็วด้วย ไม่ต้องคอย แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ได้ยิน อย่าลืมว่าต้องเข้าใจจริงๆ ถึงกระดูก ใช้คำว่าจรดกระดูก อย่างคำว่า อนัตตา เริ่มเห็นความจริงว่าบังคับใครได้ คนนี้อยากจะบังคับคนอื่น แม่ก็อยากจะให้ลูกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใช่ไหม ลูกก็อยากจะให้แม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ต้องคนอื่น ตัวเองบังคับได้หรือเปล่า แค่ตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะไปให้คนอื่นเป็นอย่างใจได้อย่างไร แต่มีทางเดียว คือ เข้าใจคนอื่น เมื่อเริ่มเข้าใจตัวเอง เพราะว่าเหมือนกันหมด ทุกคนก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีคิด มีสุข มีทุกข์ มีรัก มีชังในสิ่งที่กำลังปรากฏ เลือกไม่ได้ แล้วแต่กรรมของใคร
เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มเข้าใจ ก็จะทำให้เห็นใจคนอื่น ที่ใช้คำว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตา ก็คือ อยากจะให้คนอื่น ได้มีความสุขจากการมีปัญญา มีความเห็นถูก และถ้าเขาอยู่ในสภาพที่เราจะเกื้อกูลได้ ช่วยได้ กรุณาให้เขาได้ยินได้ฟัง หรือว่ากรุณาเรื่องไหนก็ได้ ที่จะให้เขาพ้นทุกข์ ถ้าเขาเข้าใจ เราก็มีมุทิตา ก็ดีใจด้วย หลังจากที่ไม่ได้ฟังมาตั้งกี่ปีก็แล้วแต่ ก็เริ่มที่จะได้ยินได้ฟัง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ ลูกๆ สามารถเมตตาพ่อแม่ได้ไหม
ท่านอาจารย์ เมตตาทุกคนได้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรค คือ พ่อแม่รักลูก และลูกรักพ่อแม่ เพราะฉะนั้นก็จะมีความรักซึ่งกัน และกัน ซึ่งไม่ใช่เมตตา แต่ถ้าเรียนจริงๆ จะรู้ว่าเป็นแม่ลูกกันกี่ชาติ ชาติเดียว คือ ชาตินี้ ชาติก่อนเป็นลูกใคร
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้เลย พ่อแม่ชาตินั้นเขาก็ยังรักอยู่ ถ้าเราตายเร็ว เขาก็ยังคร่ำครวญหวนให้อยู่ อย่างสุดแสนรัก เหมือนน้องสาวของดิฉันคนหนึ่ง คนสุดท้อง ลูกของเขาเสียชีวิตเมื่ออายุ ๒๘ เป็นโรคภูมิแพ้เลือด เอสแอลอี กำลังเรียนจบ ทำงานอะไรๆ ได้ทุกอย่างหมดที่ดี ทุกวันนี้ ไปไหนก็ต้องไปกับกระดูกลูก เวลานอนก็ไม่มีสักครั้งเดียวที่จะลืมคุยกับลูก ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา คือ ลูกอยู่ในชีวิตของเขา จะบอกสักเท่าไรว่าชาตินี้ชาติเดียวก็ไม่ฟัง หรือฟังแล้วๆ ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม ก็ยังคงเหมือนเดิมคือ ยากแสนยาก ที่ความรักโดยสายเลือด โดยความผูกพัน โดยการให้กำเนิด จะทำให้ลืมว่า เขาไม่ใช่ของเรา ทุกคนได้มีกรรมเป็นของตัวเอง ถ้าเขาไม่มีกรรมของเขา ที่จะมาเกิดเป็นลูกคนนี้ เขาก็ไม่มาเป็นลูกของคนนี้แน่ๆ ใช่ไหม แล้วเขาจะอยู่ได้ด้วยกรรม อย่างที่เล่าให้ฟัง ถึงคนที่เชียงใหม่ ที่ลูกเสียชีวิตอายุ ๑๙ ขับรถชน แล้วเมื่อเช้าได้ฟังทางจส. ก็มีคนหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตขับรถชน อายุ ๒๕ เหมือนกัน ก็ไม่มีใครที่จะไปบังคับ ว่าอย่าเกิดสิ่งนี้ อย่าเกิด เกิดกับคนอื่นได้ แต่อย่าเกิดกับเรา ก็มันเป็นไปไม่ได้เกิดกับเขาได้ ก็ต้องเกิดกับเราได้ทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ ตัวเรายังไม่ใช่ของเรา แต่ความไม่รู้ ก็ทำให้เราผูกพันมาก แต่ทางเดียวที่เราจะผูกพันน้อย แล้วที่จะเพิ่มเมตตาขึ้น ก็ต่อเมื่อเห็นโทษของโลภะ และรู้ว่าขณะที่เป็นโลภะกับขณะที่เป็นเมตตาต่างกันมาก มองดูข้างนอกคล้ายคลึงกัน เพราะว่าถ้ามีความเมตตา ก็คือ มีความเป็นมิตร มีความหวังดี หวังประโยชน์เกื้อกูล ที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ เหมือนมารดาทำให้กับลูก แต่ต้องตัดคำว่าโลภะออกไป ถ้าเราสามารถจะทำให้คนอื่น เหมือนกับที่แม่ทำให้กับลูก แต่ไม่ทำด้วยโลภะ นั่นคือเมตตาจริงๆ
เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้ว่า เมตตา คือ ขณะซึ่งเราไม่มีความผูกพัน เรามีปัญญาที่รู้ความจริงว่า ควรที่จะเกื้อกูล เขาเป็นลูก ในฐานะพ่อแม่ ก็ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุด ที่จะให้ได้ แต่อย่าลืมว่าเขามีกรรมเป็นของเขา อย่างคนที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูก ให้รถเบนซ์ก็ขับไป แล้วก็ตาย รถเบนซ์ขาดสองท่อน ก็คิดดูว่ากรรมของใคร ไม่ใช่กรรมของแม่ แม่ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ไม่ใช่กรรมของพ่อ
เพราะว่าแม้แต่วิสาขามิคารมารดา ซึ่งท่านเป็นพระโสดาบัน เวลาหลานตาย ท่านก็ร้องไห้รำพัน เข้าพระวิหารเชตวัน ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องที่กิเลสจะหมดไปได้ ต่อเมื่อปัญญาถึงระดับขั้นที่จะดับกิเลส แต่ถ้ากิเลสยังไม่ดับ ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้กิเลสอยู่ ก็เห็นธรรม เห็นความเป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นว่า สิ่งที่เกิดแล้วเป็นธรรมดา ธรรมดาอย่างไร เพราะมีปัจจัยสะสมมาที่จะเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นคำถามที่ชอบถามกันแต่ก่อน ว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา คนที่ศึกษาธรรม แล้วตอบได้เหมือนกัน เพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นหรือจะเป็นใครไปไม่ได้เลย สะสมมาอย่างไร เป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง ยังมีเรื่องที่ผมสับสนมากมานานแล้ว ว่าในเมื่อที่เรามาเรียนธรรมกัน เพราะว่ามีจุดประสงค์ที่แท้จริง
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ หมายความว่า เราซึ่งเป็นคนที่ฉลาด คนฉลาดเขาต้องรู้ว่า มีคนที่ฉลาดกว่า จะไม่มีคนฉลาดจริงๆ ที่คิดว่าฉลาดที่สุดแน่ๆ นั่นคือ คนไม่ฉลาด ถ้าเป็นคนฉลาดเขาต้องรู้ว่า ต้องมีคนที่ฉลาดกว่าแน่นอน แล้วแต่ว่าจะเป็นใคร เพราะฉะนั้นเขาก็เลือกคนฉลาด ที่เขาจะฟังคำของคนฉลาด แล้วสำหรับเรา เป็นบุญอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม คนที่สะสมบุญมาแล้ว แม้ในอดีตจะเกิดที่ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย อังกฤษ เขาก็สะสมบุญมาที่จะได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นการได้ฟังธรรม เป็นการสะสมในอดีต ใครจะเคยคิดว่าจะมีสนทนาธรรม ใช่ไหม เด็กๆ ทั้งหลาย จะมาฟังธรรมเป็นกิจกรรมใหม่ กิจกรรมธรรมดาก็ไปคาราโอเกะ ไปเล่นฟุตบอล ไปอะไรๆ สนุกสนานกัน ใช่ไหม แต่นี่เป็นกิจกรรม ซึ่งถ้าไม่มีการสะสมมา จะไม่มีขณะนี้ ต้องทราบ ว่าทุกขณะจิตเราเลือกไม่ได้ ต้องมีการสะสมมาจริงๆ ที่จะเป็นอย่างนี้ จะไม่เป็นอย่างอื่น ต้องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส และเราจะทิ้งโอกาส หรือว่าเราจะเหมือนคนซึ่งไม่รู้ ประเทศไหนมีพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา คือ อะไรก็ไม่รู้ สอนว่าอะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เรามีโอกาสอย่างมากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นคนฉลาด เขาจะใฝ่หาความรู้ และความรู้อื่นๆ ไม่ใช่ความรู้ที่จะทำให้เขาเข้าใจตัวเอง แต่ว่ามีอยู่เพียงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคำสอนของพระองค์ ที่ทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งตัวเอง และคนอื่น ทั้งภายนอก ภายใน ทุกอย่างหมดตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่า มีบุคคลซึ่งเลิศกว่าบุคคลอื่น เราควรจะฟังหรือควรจะศึกษาไหม นี่ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะตัดสินใจเอง
ผู้ฟัง ที่ผมหมายถึง คือ เราต้องการที่จะมีความสุขที่แท้จริงนะครับ แต่ว่าผมสับสนว่ามันก็ยังคงเป็นความโลภ ความโลภที่ซ้ำซ้อนหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ยากนะคะ ยาก ตอบได้ไหมว่า ความสุขที่แท้จริงคืออะไร
ผู้ฟัง คือ การที่ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ คือ การที่ทุกอย่างไม่เกิดขึ้นอีกเลย ถ้ายังเกิดก็ต้องมีสุข มีทุกข์ บังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ใช้คำว่า ปรินิพพาน คือ ดับโดยรอบ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดอีกเลย เพราะว่าไม่มีกิเลสที่ต้องการจะให้มีสภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใดเกิดขึ้น เพราะรู้ว่าสภาพธรรมใดก็ตามที่เกิด สภาพธรรมนั่นดับ สิ่งที่เกิดดับแสนเร็ว และหมดไปเร็วมาก มีค่าอะไร มีอะไรเหลือ ไม่มีเหลือเลยสักอย่างเดียว ควรหรือที่จะติด ควรหรือที่จะยึดถือว่าเป็นสุข
เพราะฉะนั้นความสุขที่แท้จริง คือ ความสงบจากการเกิด ไม่มีการเกิดอีกเลย แต่ใครจะถึง ถึงได้วันหนึ่ง อย่างที่พระอรหันต์ทั้งหลายท่านถึงแล้ว เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการอบรม เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครอยากให้เกิด ก็ไปฆ่าตัวตาย ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ก็ต้องเกิดอีกแน่ๆ
ผู้ฟัง จากที่เราเรียนรู้ คือ ความโลภ คือ สิ่งที่เราควรจะละ หรือควรจะอะไร
ท่านอาจารย์ เราละได้อย่างไร ทุกอย่างที่ไม่ดีแล้วควรละหมด แล้วละได้อย่างไร
ผู้ฟัง โดยที่
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง ไม่มีทาง
ผู้ฟัง ถ้าเราพยายาม
ท่านอาจารย์ เรา จะไม่มีทาง เพราะเหตุว่าเป็นเรา จึงไม่มีทาง เมื่อไม่มีเราเท่านั้น คือ ทาง ทาง คือ เมื่อไม่มีเรา แต่ถ้ายังมีเราอยู่ก็ไม่มีทาง เพราะเป็นเรา เป็นความเห็นผิดตั้งแต่ต้นเลย
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาจนเข้าใจ ว่าอย่างไรถึงจะไม่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ ผู้ที่มีบุญ ศึกษาคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะรู้ว่าคนนั้นสะสมมาที่จะรู้ว่า มีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นรัตนที่สูงที่สุด ถ้าเราได้ลาภเพชรนิลจินดา หายได้ไหม ตกน้ำได้ไหม ขโมยลักได้ไหม โจรปล้นได้ไหม แต่ความรู้ของเรา ใครจะเอาไปได้ ไม่มีทางที่จะไปได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด สูงที่สุดไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ลาภอันประเสริฐก็คือการได้มีโอกาสฟัง และเข้าใจพระธรรม
คุณฟองจันทร์ ท่านอาจารย์กำลังจะบอกว่า สิ่งที่ทุกคนกำลังได้ฟังวันนี้ และมีความเข้าใจ ก็เป็นการสะสมความรู้ความเข้าใจนี้ต่อไป ในอนาคตข้างหน้า
ท่านอาจารย์ เราจะรู้ผลของการฟังคราวนี้ เมื่อไร ทราบไหม เราจะรู้ผลของการฟังคราวนี้เมื่อไร ทราบไหม
ผู้ฟัง ผล ที่อาจารย์กล่าวหมายความว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ ที่ฟังวันนี้ ผลของการที่มานั่งฟังวันนี้ เราจะรู้ผลนี้เมื่อไร
ผู้ฟัง ตอนนี้ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น ก็รู้ผลตอนนี้แล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตัวเองเป็นผู้รู้ใช่ไหม แล้วก็จะรู้ด้วยว่า จะติดตามต่อไปหรือเปล่า ถ้าเป็นผลก็คือว่า ติดตามต่อไป แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีค่า ก็คือไม่ติดตามต่อไป เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะรู้จักด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปสอบที่ไหน แต่รู้จากกำลังฟัง เห็นประโยชน์ไหม มีคุณค่าหรือเปล่า สมควรที่จะศึกษาต่อไปไหม หรือจะรอๆ ๆ รอไปเรื่อยๆ หรือแม้รอ ก็ไม่รอ ไม่มีประโยชน์ สนุกดีกว่า นี่ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ซึ่งจะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถ้าให้ยกมือจะยกไหม หรือยังไม่กล้าจะยก ไม่มั่นใจ อยากจะเรียนสิ่งที่ง่าย หรืออยากจะเรียนสิ่งที่ยาก ทุกคนช่วยกันตอบ จะเรียนสิ่งที่ง่าย หรืออยากจะเรียนสิ่งที่ยาก
อ.นิภัทร ถ้าเราเข้าใจว่า ธรรมเป็นเรื่องที่จะต้องมาฟังจากอาจารย์ ถ้าเข้าใจแค่นี้นะ จริงๆ แล้วถ้าเราทุกคนรู้ว่า ธรรม คือ ชีวิตของเราทั้งชีวิตนะ คือ ชีวิตของเราทั้งชีวิต ถ้าเราไม่ศึกษา มันจะเป็นอย่างไร มันจะพลาดโอกาส มันจะเสียโอกาสหลายๆ อย่าง เพราะว่าถ้าไม่รู้ตัวเราจริงๆ ไม่เข้าใจตัวเราจริงๆ เพราะมันเป็นธรรม ก็คือว่า ชาตินี้เราเกิดมาทั้งชาติเป็นตัวเป็นตน มันฟรีไปเลย มันเสียไปเลย มันไม่ได้อะไร มันไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นถ้าธรรม อาจารย์เป็นผู้แนะ เพื่อจะให้เรารู้จริงๆ ว่าตัวธรรมจริงๆ มันอยู่กับเราทุกคนแล้ว มันอยู่กับเราทุกคนแล้ว ถ้าอย่างนี้ ผมว่าทุกคนจะต้องติดตาม เพราะถ้าไม่ติดตามแล้ว จะไม่รู้ตัวเอง
ท่านอาจารย์ คือ ถามว่าอยากจะเรียนสิ่งที่ง่าย หรืออยากจะเรียนสิ่งที่ยาก
ผู้ฟัง ถ้าเป็นตัวเองก็อยากจะเรียนสิ่งที่ง่าย
ท่านอาจารย์ คิดเหมือนกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง อยากเรียนสิ่งที่ยาก
ผู้ฟัง จากง่ายก่อนแล้วค่อยๆ ไปยากขึ้นครับ
ท่านอาจารย์ วันนี้ง่ายไหม
ผู้ฟัง ง่ายที่จะฟัง แต่ยากที่จะพยายามทำความเข้าใจให้สูงขึ้น ละเอียดขึ้น
ผู้ฟัง อยากเรียนสิ่งที่ยาก เพราะว่าถ้าเข้าใจสิ่งที่ยาก สิ่งที่ง่ายก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ท่านอาจารย์ สริตา ละคะ
ผู้ฟัง สิ่งที่ง่าย
ท่านอาจารย์ อยากเรียนสิ่งที่ง่าย เบล?
ผู้ฟัง อยากเรียนสิ่งที่ง่ายๆ
ท่านอาจารย์ วันนี้มีอะไรง่ายบ้าง วันนี้มีอะไรง่ายบ้าง
ผู้ฟัง การได้รู้จักนามธรรม ความหมายของนามธรรม ความหมายของรูปธรรม รู้จักว่าความสุขในชีวิตจริงๆ แล้วก็คือ การที่เราไม่ได้ยึด ว่านี่คือตัวของเรา
ท่านอาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ง่าย คือว่า บางคนสะสมมาที่จะเข้าใจได้ สิ่งนั้นก็ไม่ยาก อยู่ที่การสะสม เวลาฟังแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า จริงๆ แล้ว การพูดวันนี้พูดเรื่องอะไร แล้วก็จุดประสงค์ คือ อะไร น่าสนใจไหม จะฟังต่อไปอีกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ขอต่อค่ะ
ท่านอาจารย์ พอหรือยังนามธรรม รูปธรรม จะต่อไหม
ผู้ฟัง ยังสงสัยอยู่นิดหนึ่งครับ เรื่องรูปธรรมกับนามธรรม ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่าว่า ถ้ารูปธรรม คือ สิ่งที่สัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ถ้าเกิดนามธรรม คือ สัมผัสด้วยใจ
ท่านอาจารย์ ไม่เอา อย่างนี้ไม่เอาเลย นี่คือเราคิดเอง เอาใหม่ รูปธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นี่คือ คำจำกัดความตลอดพระไตรปิฎก นามธรรมที่เกิดขึ้นเป็น ธาตุหรือธรรม ซึ่งไม่มีรูปร่างลักษณะเลย แต่สามารถหรือต้องรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้ เช่น เห็นขณะนี้ ตาเฉยๆ ไม่สามารถจะเห็นอะไรได้เลย แต่ตาสามารถกระทบสี แล้วก็นามธรรมเกิดเห็น เพราะการกระทบกันของสีกับตา นามธรรม กำลังรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้เช่นเดียวกับทางหู เสียงมีเยอะหลายเสียง แต่นามธรรม ก็คือ ขณะที่กำลังได้ยิน รู้ว่าเสียงนั้นที่กำลังปรากฏ และมีลักษณะอย่างนั้นๆ เสียงก๊อก เสียงน้ำไหลในก๊อก กับเสียงคนพูด เห็นไหม นี่คือนามธรรม ซึ่งสามารถจะรู้ความต่าง ของสิ่งที่ปรากฏให้รู้ คือ รู้แจ้ง รู้จริง ในสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นมีลักษณะต่างๆ กันอย่างนั้นๆ กลิ่นก็มีต่างๆ เพราะนามธรรมสามารถที่จะรู้กลิ่น เวลาที่กลิ่นปรากฏก็รู้ลักษณะของกลิ่นต่างๆ เวลาที่ลิ้มรส เรารู้สึกว่าหวาน เค็ม แต่ความจริงต้องมีสภาพที่รู้ความหวาน รู้ความเค็ม รู้ความเปรี้ยว ในขณะที่กระทบลิ้น
เพราะฉะนั้นนามธรรม ไม่มีรูปร่างเลย แต่เป็นธาตุหรือสภาพธรรม ที่ต้องเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทางตา คือ เห็น ทางหู คือ ได้ยิน ทางจมูก คือ ได้กลิ่น ทางลิ้น คือ ลิ้มรส ทางกายก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจ แม้ไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คิดนึก ที่เราใช้คำว่า จิต เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม จิต ทุกคนมีจิตไหม ใครบ้างที่นี่ไม่มีจิต ไม่มีใช่ไหม ที่นี่มีใครไม่มีจิตบ้าง มีหมด จิตเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม
ผู้ฟัง เข้าใจว่าเป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม เพราะว่าจิตนั่นเองเป็นสภาพที่เห็น เพราะว่าเวลาที่เราพูดถึงจิต โดยที่เรายังไม่ได้ฟังธรรมเลย เหมือนเราเข้าใจ ใช่ไหม จิตใจ เข้าใจ แต่ถ้าถามว่าจิตอยู่ที่ไหน ตอบได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย จิต คือ อะไร ตอบได้ไหม ก็ไม่ได้อีก แต่พอศึกษาแล้ว พุทธศาสนามีคำตอบทั้งหมด ว่าจิตนี้ คือ สภาพธรรม ที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่สามารถจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ปรากฏทางหนึ่งทางใด เพราะฉะนั้นขณะเห็น คือ จิตนั่นเองที่เห็น ขณะได้ยิน ก็คือจิตได้ยิน ขณะได้กลิ่นก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง ขณะที่ลิ้มรสก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง ขณะที่คิดนึกก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นมีจิตมากมายหลายประเภท ไม่ใช่มีจิตอย่างเดียว เราคิดว่าเรามีจิตเดียว แล้วรู้นั่นรู้นี่ แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นจิตแต่ละชนิด ซึ่งเกิด แล้วก็ดับๆ แล้วก็ทำหน้าที่เฉพาะอย่างๆ ของจิตนั้นๆ จิตเป็นนามธรรมแล้ว ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงนามธรรมที่เกิดขึ้น ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เราหมายความถึง จิต แต่จริงๆ แล้ว นามธรรม มี ๒ ประเภท นามธรรมที่เกิด มี ๒ ประเภท คือ จิต ๑ แล้วก็เจตสิก ๑ คงไม่เคยได้ยินคำว่าเจตสิกแน่ๆ ทีนี้นามธรรมมี ๒ อย่าง เมื่อสักครู่นี้ธรรมอย่างเดียว แยกเป็นนามธรรมกับรูปธรรม นามธรรมต่างกันเป็น ๒ อย่าง นามธรรมที่เกิดขึ้น เป็นจิตชนิดหนึ่ง และก็เป็นเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง คำว่า เจตสิก โดยคำแปลก็หมายความถึง สภาพธรรมที่เกิดกับจิต หรือว่าเกิดในจิต โดยรูปศัพท์ ใช่ไหม เจ ตะ สิ กะ เกิดในจิตหรือว่าเกิดกับจิต เวลาที่เห็นแล้วต้องมีความรู้สึก ชอบหรือชัง ดีใจหรือเสียใจ ดีใจหรือเสียใจ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เวลาที่เห็น ทุกคนเห็นเหมือนกัน แต่คนนี้ชอบ อีกคนหนึ่งโกรธ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นจิต แต่ชอบหรือไม่ชอบ เป็นเจตสิก ความเมตตา เป็นจิตหรือเจตสิก
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก หมายความถึง ชีวิตประจำวันเราทั้งหมด ส่วนใหญ่ที่เราบอกว่าขยัน เกียจคร้าน ดีชั่ว พวกนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต บางครั้งบางคราว แต่ว่าจิตนี้ต้องเกิดขึ้นเป็นประจำ เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ขาดจิตเลย จะต้องมีจิตเกิดดับๆ สืบต่อ ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด จนกระทั่งถึงขณะสุดท้าย คือ ตาย หลังจากที่จิตขณะสุดท้ายดับไป ก็คือตาย แต่ว่าระหว่างนั้น ก็จะมีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม แต่ไม่ใช่จิต แต่นามธรรมชนิดนี้ต้องเกิดกับจิต ดับพร้อมกับจิต เร็วเท่ากันเลย และก็จิตรู้อะไร เห็นอะไร เจตสิกนั้นก็รู้สิ่งนั้น แล้วก็มีความรัก ความชอบ ความชัง ความโกรธ แล้วแต่ความขยัน ความเพียร อะไรก็แล้วแต่ เจตสิก ก็แบ่งเป็นประเภท เจตสิกซึ่งเป็นฝ่ายกลางๆ เกิดได้ทั้งกับจิตที่ไม่ดี และจิตที่ดี ส่วนเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง เป็นอกุศลเจตสิกฝ่ายไม่ดี ต้องเกิดกับจิตใด จิตนั้นเป็นจิตที่ไม่ดีเท่านั้น แล้วก็เจตสิกฝ่ายดี เกิดกับจิตฝ่ายดี
นี่ก็ค่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ว่าให้ทราบว่าเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่ศึกษาธรรม คือ สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม เป็นธรรม วันนี้เพิ่มหลายคำ ใช่ไหม ธรรม นามธรรม รูปธรรม แล้วก็จิต เจตสิก รูป ครบหมดเลย ขาดอะไรอยู่อย่างหนึ่ง ขาดอะไรอีกอย่าง ซึ่งได้ยินแล้วอยากได้เหลือเกิน เคยไหม เคยได้ยินไหม รู้ มีอะไรที่ใครได้ยิน แล้วก็อยากได้เหลือเกิน
ผู้ฟัง นิพพาน
ท่านอาจารย์ นิพพาน เห็นไหม แค่ชื่อก็อยากได้ รู้หรือเปล่าว่า นิพพาน คือ อะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงปรมัตถธรรม จะมี ๔ คือ จิต ๑ เจตสิก ๑ รูป ๑ นิพพาน ๑ เอาแค่นี้เลยวันนี้ ให้ทราบว่ามี ๔ อย่าง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักนิพพานเลยก็ตามแต่ แต่รู้ว่านิพพานเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป จิตเป็นเจตสิกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ จิตเป็นรูปหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ จิตเป็นนิพพานหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นความจริงแท้ ที่เป็นปรมัตถธรรม จะมี ๔ อะไรบ้างค่ะคุณนุช
ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป นาม
ท่านอาจารย์ จิต เจตสิก รูป นิพพานค่ะ แต่จริงๆ แล้วคนที่อยากได้ อยากได้เพราะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วบางคนก็ไม่อยากได้ มีใครจำ ๔ อย่างนี้ ไม่ได้บ้างไหม
ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ขอโทษครับ นี้คือสิ่งที่ผมสับสนว่า ถ้างั้นก่อนที่ผมนิพพาน ผมก็ยังต้องมีความอยากได้ ผมก็อยากได้นิพพาน
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ถ้าเรายังไม่รู้อะไร เราไม่น่าจะอยากได้ แต่ว่าวิสัยของสภาพธรรม คือ โลภะ เป็นสภาพที่ติดข้องทุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของนิพพานได้เลย เพราะเป็นอกุศล ต้องเป็นปัญญาที่อบรม จนกระทั่งเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงก่อน มีปัญญาหน่าย ความติดข้องในจิต เจตสิก รูป แล้วจึงสามารถจะประจักษ์ลักษณะของนิพพานได้ แต่โลภะ เป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นเขามีความติดข้องในชื่อ แต่ไม่ใช่ในสภาพของธรรม เพราะเขาไม่มีโอกาสเลยที่จะสัมผัสนิพพานได้ แต่พอได้ยินชื่อ อะไรก็อยากได้ทั้งนั้น
ผู้ฟัง ใช่ครับ เพราะว่าที่อยากได้ เพราะว่าไม่รู้ว่าจริงๆ คืออะไร ได้แต่รู้แค่ว่า รู้ว่าดี รู้ว่าเขาพูดกันว่าดี หรือว่าเป็นสิ่งที่คนหลายๆ คนอยากได้ แต่ไม่รู้ว่าสภาพจริงๆ มัน คือ อะไร กว่าจะไปถึงได้หรืออะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คือ ต้องตรงต่อตัวเอง ไม่ใช่ว่าอยากได้นิพพาน เพราะยังไม่รู้จักนิพพาน
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ ธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราจะเข้าใจเอาได้เอง ก็อยากจะรบกวนท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง ว่ามันคงจะมีบางอย่าง ที่จะทำให้เราเข้าใจผิด คือ สภาพธรรมบางอย่างที่เป็นอกุศล แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด เราก็จะคิดว่าเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องศึกษาตามลำดับจริงๆ ตามลำดับจริงๆ ว่าธรรม คือ อะไร ธรรม มีอะไรบ้าง และก็ค่อยๆ ไป ด้วยความเข้าใจจริงๆ จะได้ไม่สับสน แม้แต่ถ้าพูดถึงกุศล อกุศล โดยที่ไม่พูดเรื่องจิต เจตสิก เขาจะรู้ไหมว่า กุศลนั้น คือ อะไร