ตอบปัญหาธรรม แผ่นที่ ๒ ตอนที่ ๒


    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงกุศล อกุศล โดยที่ไม่พูดเรื่องจิต เจตสิก เขาจะรู้หรือไม่ ว่ากุศลนั้น คือ อะไร เขาก็ไม่รู้

    คุณฟองจันทร์ ที่ผ่านมาเมื่อประมาณเกือบชั่วโมง อาจารย์กล่าวถึงว่า พ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่ ปัญหาก็คือว่า ที่เรามีความรัก ซึ่งเป็นโลภะ แต่อย่างวันนี้ คุณพ่อคุณแม่พาลูกๆ มาฟังธรรม ส่วนหนึ่งจะเป็นทั้งโลภะสลับกันกับเมตตา ใช่หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าเมตตา คือ จะลูกหรือไม่ลูกเรา ก็อยากเขาให้ฟังธรรม แต่ถ้าเราอยากให้ลูกเราฟัง เราก็ต้องละเอียด ถ้าเราไม่ละเอียด เราไม่เห็นโลภะ เราละโลภะไม่ได้เลย เราถูกหลอกด้วยโลภะมาตลอดในสังสารวัฏฏ์ เพราะไม่เห็นโลภะ โลภะมีจริง แต่ไม่เห็น ไม่เห็นแม้หนทางที่จะละโลภะด้วย เพราะคิดว่าจะต้องบังคับบ้าง จะต้องทำอย่างนี้อย่างนั้นบ้าง แต่ความจริงไม่รู้ว่า เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเห็นโลภะได้ แล้วก็ที่จะละโลภะได้

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนตรงมาก พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เพียงเอามาวิจารณ์วิพากษ์ว่า อย่างนี้แล้วจะเป็นโลภะไหม อย่างนั้นแล้วจะเป็นโลภะไหม แต่ต้องเป็นขณะที่ประกอบพร้อมด้วยสติ และปัญญา ที่จะรู้ขณะจิต ว่าขณะนั้นความรู้สึกที่มีต่อลูก ที่อยากจะให้ลูกฟังธรรม เหมือนกับความรู้สึกที่เราอยากจะให้ทุกคนได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือไม่ใช่ลูก ก็อยากให้ฟัง

    ผู้ฟัง ธรรมดาวัยรุ่น เขาจะรู้สึกว่าการที่เขามีเพื่อนมากๆ เป็นเรื่องที่ดี เพราะฉะนั้นเขาก็จะรักเพื่อน ผูกพันกับเพื่อน แล้วคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี พอเราพูดว่าความรักความผูกพัน

    ท่านอาจารย์ เขายังไม่เข้าใจพื้นฐานตั้งแต่ต้น ไม่เข้าใจแม้แต่นามธรรม รูปธรรม เพราะฉะนั้นเขาไม่มีโอกาสที่จะรู้ตัวจริง เขาเพียงแต่ได้ยินเรื่องราว เป็นเรื่องไปหมด แต่ถ้าเขารู้ว่ามันเป็นสภาพธรรม และพิสูจน์ได้ รู้ได้ ทันที เขาจะค่อยๆ รู้จักชีวิตจริงๆ ของเขา เริ่มเข้าใจความเป็นธรรม แล้วก็เป็นนามธรรม รูปธรรมก่อน

    ผู้ฟัง หมายความว่าทุกคน ก็จะต้องพยายามพิจารณาจิตของตัวเอง

    ท่านอาจารย์ มีพื้นฐานในการเข้าใจธรรมก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นฟังได้ แต่จะมีปัญหา ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่ทราบจะตัดสินอย่างไร แต่เวลาที่เรามีพื้นฐานมั่นคง และเรารู้ได้ ความต่างของโลภะกับความต่างของเมตตา

    คุณฟองจันทร์ คุณนุชมาตั้งแต่เช้า ไม่ทราบว่าธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง วันนี้ กับธรรมที่เคยได้ยิน ได้ฟังมาก่อน จากที่ไหนก็แล้วแต่ มีความแตกต่างกัน หรือมีความเหมือนกัน ถ้าแตกต่าง แตกต่างกันอย่างไร แล้วเหมือนตรงไหน

    ผู้ฟัง คำถามที่ลึกซึ้งมาก ถ้าจะบอกตามความจริง ไม่ได้แตกต่าง คิดว่าอยู่ที่ตัวเรา คือ แล้วแต่ว่าจะรับได้มากแค่ไหน แต่ว่าไม่ได้แตกต่าง แต่ว่าที่อาจารย์กล่าว คือ ละเอียด ให้รู้ไปจริงๆ ว่ารูปธรรม นามธรรม คือ อะไร และห้ามสับสน ก็คือ ให้เป็นอย่างที่อาจารย์กล่าว คือ ให้เป็นพื้นฐานที่หนักแน่นจริงๆ เพราะว่าตัวเองก็เรียนเหมือนกับผ่านหูอย่างนี้ ก็แค่นั้น แต่ว่าไม่รู้ลึกซึ้ง ถ้าใครมาถาม อยู่ดีๆ คนเดินถนน หรือศาสนาอื่น เดินถามทำไมคุณไปนับถือพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคนธรรมดา เขาไปคิดว่าเป็นคนธรรมดา แล้วที่เรียกว่ารูปธรรม นามธรรม นี่มันอย่างไร อะไร เราสามารถอธิบายได้แล้วตอนนี้ว่า ธรรม ก็คือ ธรรมชาติ ธาตุ ที่เป็นอังกฤษก็ fact fact ก็คือ ความจริง แล้วก็รูปธรรม นามธรรม แค่นั้น

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความต่างหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่ ความต่าง เพราะว่ารู้ให้แน่ชัดไปเลย

    ท่านอาจารย์ พระเจ้า ปรมัตถธรรม เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เป็นชื่อ สมมติ สมมติบัญญัติ ความคิดด้วย

    ผู้ฟัง ขอร่วมสรุปนิดหนึ่งว่า ที่ศึกษาที่อื่น ศึกษาด้วยความเป็นเรา ใช่ไหม เราจะต้องทำความดี เราจะต้องทำอย่างนั้น เราจะต้องทำอย่างนี้ แต่ที่มาวันนี้ เราศึกษาด้วยความไม่มีเรา ไม่เคยคิดว่า ใช่ไหม มันก็คงจะแตกต่างกันโดยแทบจะสิ้นเชิงเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ใช่

    ผู้ฟัง แล้วอาจจะงงนิดๆ ด้วย แต่ว่าต้องทำใจ ให้เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์กล่าววันนี้ แค่นี้ เพราะว่าถ้าเอาอันอื่นมากปน จะงงมาก แล้วพอเราเข้าใจตรงนี้ แล้วก็ค่อยๆ ขึ้นไปทีละขั้น อย่าเพิ่งท้อ

    ผู้ฟัง อยากจะถามว่า ข้อแตกต่างระหว่างเราเป็นเพศฆราวาสกับบรรพชิต ถ้าจะศึกษาธรรม ผลของการศึกษานี้ จะต่างกันไหม

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ความเข้าใจ คฤหัสถ์ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีมาก ในขณะที่พระภิกษุที่ไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี

    ผู้ฟัง แล้วคราวนี้

    ท่านอาจารย์ พุทธบริษัทมี ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ คงจะไม่มีปัญหาเรื่องอื่น นอกจากเข้าใจธรรม ว่าเป็นธรรม เป็นธาตุ มีจริงๆ ปัญญาก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะรู้ ที่จะเข้าใจ จากการฟัง การพิจารณา การไตร่ตรอง การอบรม จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมได้

    ผู้ฟัง แล้วคราวนี้ระหว่างเราอยู่ในเพศฆราวาส แต่ว่าเราอยู่เป็นพรหมจรรย์ กับมีครอบครัว

    ท่านอาจารย์ ในพระสูตรครบหมด พุทธบริษัททั้งหมด ไม่ว่าจะครองเรือน ไม่ครองเรือน ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    ผู้ฟัง ไม่มีผลกับความแตกต่าง ระหว่างเรามีครอบครัว

    ท่านอาจารย์ ไม่ควรจะคิดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องปัญญา เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องจริง ปัญญารู้อะไร ขณะที่กำลังเห็น เห็นขณะนี้มีจริง ปัญญารู้ความจริง สภาพที่แท้จริงของเห็น ขณะที่กำลังคิดนึก ซึ่งมีจริงๆ ขณะนั้นปัญญาก็สามารถที่จะรู้สภาพแท้จริงของความคิดนึก

    เพราะฉะนั้นแต่ละคน ก็เป็นผู้ตรงๆ ว่า รู้สิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน มีครองเรือน ไม่ครองเรือนก็ไม่เป็นปัญหา ปัญหาอยู่ที่ว่ารู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า ไม่ห้ามเลย ใครจะครองเรือนก็ไม่มีการห้าม เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย แต่ว่าสะสมปัญญาได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ การฟังธรรมก็ไม่ต้องนุ่งขาว ใส่ขาว ใส่อะไรก็ได้ ฟังธรรมให้เข้าใจ อยู่ที่ความเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง ถามด้วยความต้องการ ทราบความจริงว่า จริงๆ แล้วทำไมได้มีบัญญัติว่า ฆ่าบิดามารดา ถึงเป็น อนันตริยกรรม เพราะฉะนั้นการที่สมมติว่าเด็กๆ โกรธเคืองพ่อแม่ มีจิตที่ขุ่นเคืองอะไรอย่างนี้ ก็จะบาปมากกว่า โกรธผู้อื่น หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ กลัวบาป หรืออย่างไร หรือกลัวอกุศลทุกชนิดแม้เล็กน้อย ที่จริงแล้วพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง คนที่เขาดีกับเราแสนดี แล้วเรายังโกรธเขาได้ คิดดูก็แล้วกัน จิตเป็นอย่างไร ดีแสนดีตั้งแต่เกิดมา ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะกระทำได้ด้วย แล้วเราก็ยังโกรธ แต่ความโกรธก็บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ขณะนั้นจิตใจเป็นอย่างไร ก็ทรงแสดงตามความเป็นจริงอย่างนั้น ลูกโกรธแม่เป็นของธรรมดา แม่โกรธลูกก็เป็นของธรรมดา เพราะมีโลภะ มีความผูกพัน ถ้าไม่มีความผูกพัน เราจะโกรธไหม ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา ใช่ไหม ไม่เดือดร้อน แต่กับคนใกล้ชิด เราอาจจะขุ่นเคืองเดือดร้อนมาก เพราะว่าเรามีความผูกพัน และมีความคิดว่า ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เมื่อแสดงถึงสภาพของจิตที่หยาบกระด้าง ตามลำดับขั้น อย่างการโกรธผู้มีคุณ กับผู้ไม่มีคุณอย่างนี้ ทั้งๆ ที่คนนั้นก็เป็นผู้ที่มีคุณ ก็ยังโกรธได้

    เพราะฉะนั้นความรู้สึกในขณะนั้น ก็ต้องหยาบกระด้างมากกว่า ใช่ไหม แล้วถ้าถึงกับเจตนาฆ่า ยิ่งรุนแรงที่สุด เพราะเหตุว่าความโกรธโดยไม่ประทุษร้ายมี แต่ว่าความโกรธถึงขนาดรุนแรงอย่างนั้น ก็ยิ่งเพิ่มกำลังของความโกรธขึ้น ก็ทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    คุณฟองจันทร์ การได้ยิน ได้ฟัง ธรรมอย่างนี้ จะเป็นการค่อยๆ ละคลายความเป็นตัวเรา

    ท่านอาจารย์ อย่าหวังอะไรมากมาย เพียงรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟัง มีความรู้ว่า คนที่รู้ได้มากมายมหาศาล จนถึงขั้นแสดงความละเอียดยิบ มี และที่เพิ่งเริ่มฟังวันนี้เพียงเล็กน้อยที่สุด เทียบไม่ได้เลย เหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ แล้วก็ขนหางกระต่ายนิดเดียวที่จุ่มลงไป เพราะฉะนั้นก็ยังมีอีกมากมายมหาศาล ที่จะเห็นว่า ถ้ายิ่งศึกษา ก็จะยิ่งรู้ว่า ผู้ที่สามารถที่จะแสดงความจริงได้ละเอียด มีบุคคลเดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติเรารู้ธรรม รูปกับนาม และเรารู้เลยว่า นี่คือ ความอยากได้หรือ เราไม่ได้ เราถึงโมโหอย่างนั้น เรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะแก้ มันก็คือยังเป็นอย่างนั้น ยังปรากฏแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ใครไม่มีโทสะ

    ผู้ฟัง พระอนาคามี

    ท่านอาจารย์ แล้วเราเป็นใคร

    ผู้ฟัง ปุถุชน คนธรรมดา

    ท่านอาจารย์ แล้วเราพยายามจะทำอะไร

    ผู้ฟัง เห็นความรังเกียจ เห็นความน่าเกลียดของอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้ได้ว่า หนทางเดียว คือ มีปัญญากว่านี้ ต้องอบรมปัญญากว่านี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องเดือดร้อน

    ผู้ฟัง กว่าที่จะมีปัญญา

    ท่านอาจารย์ ต้องอดทน ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง เริ่มเข้าใจพระพุทธพจน์

    ผู้ฟัง อดทนในความหมายของอาจารย์

    ท่านอาจารย์ จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์

    ผู้ฟัง แล้วถ้าสมมติโลภะ เขาเกิดๆ ๆ โทสะเกิดๆ ๆ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรม ต้องจรดกระดูก สัจจญาณ ไม่ใช่รู้อื่นเลย อนัตตาทุกอย่างเป็นธรรม มีสติที่จะระลึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม นี้เป็นหนทางเดียว และสามารถที่จะเป็นสติปัฏฐานทีละเล็กทีละน้อยได้ ถ้ามีปัจจัยพอ นี่เป็นหนทางเดียว ทรงชี้หนทางเดียวไว้ แล้วเราไปพยายามหาหนทางอื่น ไม่มีทางจะเป็นไปได้ หนทางเดียวต้องเป็นหนทางเดียว

    ผู้ฟัง แต่บางครั้งมันไม่มีสติ

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าไม่มี ก็คือ เป็นธรรม หลงลืมสติ ก็เป็นธรรม ต้องมั่นคงมากๆ เลยในสัจจญาณ

    ผู้ฟัง แต่กรรมที่เป็นอกุศลกรรม เกิดไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ก็เกิดแล้ว ก็แล้วไป ยิ่งแล้วไปแล้วก็ยิ่งแก้ไม่ได้ เพราะแล้วไปแล้ว ตั้งต้นใหม่

    ผู้ฟัง ไปว่าคนอื่นแล้วเรียบร้อย ก็คือ เกิดไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะต่อไปจะทำอีกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ เราบอกว่าไม่ทำ เขาปฏิบัติสิ่งที่เราไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อปัญญาไม่พอ ก็ทำ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับปัญญา ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเราจะทำ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการอบรมเจริญปัญญา ต้องอดทนมาก ที่จะอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะถึงระดับนั้นได้

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นพระอรหันต์เต็มเมือง

    ผู้ฟัง ยากมาก เพราะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องตามใจตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่าขณะนั้น หนทางเดียว คือ อะไร ไม่ใช่หนทางอื่น กลับมาหาหนทางเดียวให้ได้

    ผู้ฟัง ขอบคุณค่ะ

    คุณฟองจันทร์ เด็กๆ รู้ไหม พี่ชินเป็นใคร พี่ชินเป็นคนไต้หวัน มีความพากเพียรมาก ที่จะเรียนภาษาไทย มีความพากเพียรมาก ที่จะเรียนรู้ธรรม อยากจะรู้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร เพราะฉะนั้นเราจะอายไหม คนต่างชาติเขายังเรียนเลย ใช่ไหม ใครมีปัญหาที่จะถาม หรือจะสนทนาร่วมกับอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าธรรมไม่จำกัดเลย เป็นของสากล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ พร้อมสำหรับทุกคน ที่สนใจได้สะสมมาแล้ว

    ผู้ฟัง ชินคิดว่าเด็กๆ ทุกคนน่าจะโชคดีมาก ที่สามารถพูดภาษาไทยได้ แล้วก็ได้สามารถเจอธรรม คำสอนในภาษาไทย ซึ่งมันจะตรงมากกว่าภาษาอังกฤษ มันจะละเอียดกว่า ถึงว่าถ้ามีโอกาสน่าจะเรียนมากขึ้น เพราะว่าทุกคนคงนิสัยดีกว่าพี่ชิน เพราะว่าพี่ชิน เมื่อก่อนเป็นคนที่ดุร้ายมาก และก็เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ตอนที่เรียนใหม่ๆ เราแค่รู้ว่า เรียนธรรม คือ อะไร สุดท้ายรู้ว่า อกุศล คือ อะไรมากขึ้น อย่างเช่น เราก็รู้ว่าอะไร คือ อกุศล อะไร คือ กุศล เราก็รู้เลยว่า ตัวเองทำผิดมาเยอะ นี่คือต้องมาจากเรียนธรรมก่อน ที่ทุกคนมีคุณพ่อคุณแม่ ที่เรียนธรรมแล้ว แล้วเด็กๆ มีโอกาสมากกว่า มากกว่ามากกว่าพี่ชิน เพราะว่าพี่ชิน คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เรียนธรรมเลย กว่าที่จะมาเรียนธรรมก็อายุ ๓๐ แล้ว แก่ ไปทำผิดเยอะมาก ตอน ๓๐ ปีนี้ ถึงว่าเด็กๆ อย่าประมาทมากกว่า นี่คือความจริงใจที่พี่จะบอกน้องๆ ทุกท่าน

    ท่านอาจารย์ ต่อไปก็จะสนทนาธรรมกับพี่คนนี้ได้เลย เพราะว่าพี่คนนี้ใกล้ชิดกับวัย แล้วก็เรียนมา แล้วก็เข้าใจด้วย แล้วก็มีเรื่องสนุกๆ

    ผู้ฟัง ขอเสริมคุณน้องท่านนั้นว่า เมื่อก่อน นานมาแล้วผมเคยโกรธ โกรธเพื่อน อย่างที่บอกว่าเพื่อนอยู่ดีๆ ไปสนิทกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง หรือว่าอะไรอย่างนี้ สมัยตอนมัธยมเด็กๆ ก็โกรธมากที่เพื่อนไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราคิด โกรธทุกอย่างที่ไม่เป็นอย่างที่เราคิด พอมาวันหนึ่ง อยู่ดีๆ ผมก็คิดได้ว่า จะไปยุ่งกับเขาทำไม ในเมื่อว่าเขาไม่ใช่พ่อแม่ของเรา ไม่ใช่ไม่ใช่ญาติของเรา ไม่ใช่อะไรกับเรา เราจะไปบังคับเขาได้อย่างไร เราไปบังคับเขาทำไม แล้วก็หลังจากนั้นมาอีกหลายปี ผมก็มาได้ยิน ได้ยินธรรม ตอนนั่งดูทีวีอยู่ในห้องแม่ แม่ไม่เคยยัดเยียดเรื่องธรรมให้ แต่ว่าเขาจะใช้วิธีแทรกซึมเล็กน้อย ที่ผมคิดว่าได้ผลดี เพราะผมนั่งดูทีวีอยู่ แต่ว่าแม่ก็จะเปิดเทปธรรม ไม่ได้บังคับให้ฟังแต่เปิดดังมาก บางที่มาพร้อมเสียงกรนแม่ด้วย

    แต่มาวันหนึ่ง ผมได้ยิน ในเทปพูดถึงเรื่องว่า ไม่มีความเป็นเรา ไม่มีเรา ไม่มีอะไร พอวันนั้นผมฟังแล้ว ทีวีผมก็ไม่ได้สนใจ หูก็ฟังวิทยุ ตาก็ดูทีวีอยู่ ก็คิดได้ว่า ขนาดเรา ยังไม่มีเราเลย แล้วเมื่อก่อนที่ไปคิดว่าเพื่อนเป็นของเรา คนอื่นของเรา เราบังคับได้ มันเป็นความคิดที่ไม่ค่อยได้เรื่องมาก จนตอนนี้ แม้แต่ตัวเราก็ยังไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ที่จริงชีวิตยังจะต้องพบอะไรอีกมากมาย แล้วความรู้สึก ก็เป็นสิ่งที่เราบังคับบัญชาไม่ได้ เราอาจจะมีความผูกพันมาก ยิ่งกว่าที่เคยเป็น แล้วก็อาจมีสุขมากกว่าที่เคยเป็น มีทุกข์มากกว่าที่เคยเป็น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอด วันหนึ่งก็จะต้องจากไปอย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้จริงๆ แล้วกำลังจากทุกขณะโดยไม่รู้ตัวเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นการจากไป ที่เรายังอบอุ่น คือว่าสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งก็มาทดแทนอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนกับว่าไม่ขาดอะไรสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรที่พลัดพรากจากเราไปจริงๆ แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่รู้จริง ก็จะประจักษ์การพลัดพรากตลอด สำหรับผู้ที่มีปัญญาถึงระดับนั้น

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความต่างของระดับของปัญญา ว่าเพียงปัญญานิดหนึ่ง ดูโทรทัศน์แล้วก็หูฟัง ก็ยังคิดได้แค่นี้ แต่ถ้าอบรมมากจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ได้จริงๆ ความเข้าใจอย่างมั่นคง แล้วก็อย่างที่เรียกว่าประจักษ์แจ้งจริงๆ จะทำให้เราเห็นความจริง ไม่ใช่เพียงขั้นคิด แต่ขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นผลก็ต้องต่างกันมาก แต่ให้ทราบว่าชีวิตในสังสารวัฏฏ์ จะไม่พ้นไปจากโลกธรรม ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ สุขทุกข์ นินทาสรรเสริญ พวกนี้ต้องมี

    เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจความจริงว่า ไม่มีเรา คำสรรเสริญ สรรเสริญอะไร ใช่ไหม ที่จริงเขาสรรเสริญกุศลธรรม เขาไม่มีใครสรรเสริญอกุศลธรรม คือ ธรรมฝ่ายไม่ดีเลย แต่ว่าเพราะความไม่เข้าใจจริงๆ ปัญญาไม่พอ แม้รู้ว่าอกุศลไม่ดีแต่อกุศลก็ยังเกิด เพราะฉะนั้นเราก็เห็นระดับของปัญญาว่า ระดับขั้นฟังแค่นี้ ทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย อย่าไปว่าใครเขา ว่าฟังธรรมแล้วทำไมนิสัยไม่เปลี่ยน หรือไม่เห็นเป็นคนดีขึ้นมาเลย เพราะว่าไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้เร็วอย่างนั้น เพียงแต่ว่าความดีก็คือว่า จากไม่เคยฟัง มาเป็นผู้ฟัง นี้แน่ๆ ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ ใช่ไหม แต่เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีความรู้ ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น ก็รู้ว่าเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องของเรา ก็จะทำให้เราสะสมปัญญาเพิ่มขึ้น โดยความไม่ประมาท แต่พร้อมที่จะรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งไม่ใช่มีแต่กลีบกุหลาบ ก็ต้องมีหนาม มีอะไรเยอะแยะ ก็ต้องค่อยๆ รู้ไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างนี้ ว่าเพราะอะไร

    ผู้ฟัง ถ้าเกิดเรารู้เรื่องนามธรรม รูปธรรม จิต เจตสิก ใช่ไหม ถ้าเข้าใจตรงนั้นแล้วเราจำเป็นจะต้องศึกษาเพิ่มเติมเรื่องปริเฉท หรือว่าอะไรเยอะแยะขนาดนั้นอีกหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นปริเฉท ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา ก็ไม่พ้นจากนามธรรม และรูปธรรม ที่ทำให้เราเข้าใจละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นจริงว่า ไม่ใช่เรา เพียงแค่นี้ยังเห็นไม่จริง เพียงแค่ได้ยิน ได้ฟัง นิดเดียว ต้องจริงอีกมากกว่านี้มาก

    ผู้ฟัง หมายความว่า เราคงจะต้องศึกษาไปเรื่อยๆ ตามกำลังศรัทธาของเรา ใช่ไหม คือ ศรัทธาแค่ไหน มีปัญญาแค่ไหนดีกว่า มีปัญญาจะศึกษาแค่ไหน แค่นั้น ไม่ต้องหวังมาก เพราะยอมรับว่ายาก แต่ว่ารู้สึกว่าก็คุ้มแล้ว ที่ได้มาฟัง แม้ว่าจะเข้าใจนิดหน่อย แต่ก็ละความเห็นผิด จากเดิมที่เรามีตัวตนมาก เราก็โกรธคนโน้น คนนี้มาก เพราะเรารักตัวเอง

    ท่านอาจารย์ เราต้องรู้จุดประสงค์ของการฟัง ว่าฟังเพื่อเข้าใจ และเวลาฟัง เราจะรู้เองว่า เราเข้าใจพอหรือยัง พอหรือยัง ยังไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ฟังต่อไป ศึกษาต่อไปอีก แล้วก็พอหรือยัง ก็ยังไม่พอ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม นี่คือผู้ที่เข้าใจธรรม คือ รู้จริงๆ ว่านี่เป็นเรื่องราวของสภาพธรรม ที่ตัวธรรมจริงๆ กำลังเกิดดับ เป็นอย่างนี้ แต่ความรู้ยังไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาไป จนกว่าจะพอ

    คุณฟองจันทร์ คงไม่ต้องถามว่าอีกนานเท่าไร เพราะว่าจะสยองมาก ถ้าพูดถึงเป็นปีๆ หรือเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ จะทำให้คิดอย่างนั้น ต้องมีเหตุ อะไร เราหาตัวเจอ พอศึกษาแล้วปัญญาของเราจะค่อยๆ คิด ค่อยๆ รู้ว่า อะไรทำให้เราคิดอย่างนั้น ตอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ตอบอะไร

    ท่านอาจารย์ ตอบว่าทำไม ถ้ารู้ว่าอีกนานเท่าไร ถ้ารู้แล้วก็จะสยอง อย่างที่คุณแอ๊วว่า ก็เลยต้องถาม อะไรทำให้คิดอย่างนั้น

    ผู้ฟัง จริงๆ ธรรม เป็นเรื่องที่มีอะไรให้เราศึกษาเยอะมาก เวลา ไม่มีส่วนในความสำคัญ ว่ามันอีกนานแค่ไหน มันไม่มีใครบอกว่า คุณจะรู้เร็ว รู้ช้า มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า เราเรียนรู้ได้มากแค่ไหน เรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน แล้วเข้าใจได้ง่ายแค่ไหน เรามีความสุขที่ได้ศึกษามา มีความปิติที่ได้เรียนรู้มา นั่นคือ สิ่งที่เราได้จากการเรียนธรรมต่างหาก

    ท่านอาจารย์ ความจริงถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว ไปต่อชั่วโมงนั้นได้เลย ปริเฉทที่ ๑

    ผู้ฟัง ใช่ อย่างการอโหสิกรรม มันจะทำได้จริงไหม เราจะไม่ต้องมีความข้องเกี่ยวกับผู้ที่เราทำกรรมร่วมกับเขาได้ หรือเขาจะมาทำกรรมร่วมกับเราได้ จริงหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ขึ้นอยู่กับว่ากรรมแค่ไหน กรรมอะไร และคนนั้นเป็นใคร

    ผู้ฟัง ถ้าเกิดเราอโหสิร่วมกันอย่างนั้น จะมีผลอะไรไหม เพราะว่ามันจะไม่เกิดตัวนี้

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เราทำอกุศลกรรมแล้ว เราจะเดือดเนื้อร้อนใจ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราไปขอโทษเขาเสีย คำว่า อโหสิ แปลว่า กรรมที่ทำแล้ว แต่เรามาใช้กันผิด เรื่องใช้ผิด ผิดเสมอ เพราะฉะนั้นต้องกลับมาเข้าใจจริงๆ ว่า อโหสิ คือ ทำแล้ว เพราะฉะนั้น อโหสิกรรม คือ กรรมที่ทำแล้ว เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำแล้ว ถ้าเป็นอกุศลกรรม เราจะเดือดเนื้อร้อนใจ สมมติว่าเราไปว่าใครเขา โดยที่ว่าความจริง เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่คนอื่นทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการที่เรารู้สึกว่า เราผิด แล้วเราไปขอโทษ ขออภัย ทำให้ความเดือดเนื้อร้อนใจของเราหายไป หรือบรรเทา เพราะว่ามันไม่ใช่กรรมหนัก แบบชนิดซึ่งเหมือนฆ่าสัตว์หรือหลักทรัพย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นกรรมอะไร แล้วก็คนนั้นเป็นใคร และก็ความที่เรามีกุศลจิต หรืออกุศลจิตมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นการขอโทษ ด้วยความจริงใจ เสียใจจริงๆ เขาก็เข้าใจ เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าถ้าเราเข้าใจใครผิด แล้วเราก็ไปทำให้เขาเข้าใจถูกขึ้น เราก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนว่า ป่านนี้เขาจะคิดอย่างไร เราจะคิดอย่าง แต่ว่าถ้าเป็นกรรม เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ ที่ทำไปแล้ว ก็จะต้องให้ผล ต่อให้ไปอโหสิอย่างไร ก็ไม่ได้

    ผู้ฟัง สมมติเขาทำกับเราอย่างนี้ เขาจำเป็นต้องไปบอกให้ว่า เราไม่โกรธคุณนะ เราให้อภัยคุณ อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ เขาเดือดเนื้อร้อนใจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขึ้นอยู่กับตัวเรา ใช่ไหม ว่าเราจะบอกเขาไปว่า เราไม่โกรธเขา

    ท่านอาจารย์ เราไม่รู้ด้วยซ้ำไป บางทีเขาว่าเรา เราก็ไม่รู้ เราจะไปบอกเขาได้อย่างไร เราไม่รู้เลย ใครคิดอะไรกับเรา ที่นี่เราก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง มีเพื่อนทำให้ไม่สบายใจ แต่ว่าก็ไม่เคยบอกเขา

    ท่านอาจารย์ ถ้าเขาไม่สบายใจ หรือเราไม่สบายใจ เขาทำให้เราไม่สบายใจ

    ผู้ฟัง แต่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วเรารู้สึกหายโกรธเขาจริงไหม หรือเรายังโกรธเขาอยู่จำเป็นไหมว่า เราต้องบอกเขาว่า เราหายโกรธแล้วนะ

    ท่านอาจารย์ นี่แล้วแต่เรา เราต้องรู้จักเขาดีกว่าใคร ทุกอย่าง ต้องไม่ใช่ว่าเป็นกฎเกณฑ์ แต่ต้องเป็นแต่ละเหตุการณ์ แต่ละบุคคล

    คุณชิน ขอเสริมกับน้อง ที่เราเรียนธรรมตรงนี้ สุดท้ายน้องจะเข้าใจแล้วว่า ตั้งแต่ก่อนที่เราสะสมมา มีแต่เราๆ เขา พ่อแม่เรา พี่น้องเรา ของเราทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ เราๆ ๆ ๆ เราทั้งนั้นแต่จริงๆ น้องรู้หรือเปล่าว่า ณ ปัจจุบันนี้ ที่เขาเกิด เรากระทบกับเขาหรือเขากระทบกับเรา นั่นคือทั้งหมด คือ คิดทั้งหมดเลย



    หมายเลข 54
    30 ส.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ