สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 023


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๒๓

    วันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฏาคม ๒๕๔๕


    อ.สุภีร์ สำหรับในทุคติภูมิก็เกิดด้วยผลของอกุศลกรรม ก็คือสัตว์เดรัจฉาน ที่ท่านอาจารย์ได้ยกตัวอย่าง

    ซึ่งในทุคติภูมิ จะมีอยู่ ๔ ภูมิด้วยกันก็คือ นรกหนึ่ง เปรตหนึ่ง อสูรกายหนึ่ง และสัตว์เดรัจฉานหนึ่ง ซึ่งสัตว์ที่เกิดในทุคติภูมิทั้ง ๔ ภูมิก็เกิดด้วย ปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของอกุศลกรรม

    สำหรับในสุคติภูมิ ก็คือภูมิที่เหลือนอกจากนั้น ก็มีมนุษย์เป็นสุคติภูมิ ภูมิแรก เทวดารูปพรหม และอรูปพรหม ไล่ขึ้นไป ก็เป็นสุคติภูมิ ซึ่งการเกิดในสุคติภูมิ ก็มีแตกต่างกันมากมายเพราะว่า แต่ละบุคคล ก็ทำกรรมต่างๆ แตกต่างกัน เช่นที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่ บางครั้งการกระทำกุศลก็ประกอบด้วยปีติโสมนัสใช่ไหม บางครั้งก็กระทำกุศลก็ทำด้วยความรู้สึกที่เฉยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก บางทีก็กระทำกุศลด้วยความเพียรพยายามมาก บางครั้งก็ไม่มีความเพียรพยายามเท่าไร บางครั้งก็ทำด้วยฉันทะคือความพอใจที่จะทำอย่างมาก บางครั้งก็ทำอย่างเสียไม่ได้ ฉะนั้น ด้วยกุศลที่มีอย่างต่างๆ กันเช่นนี้ เมื่อผลของกุศลนี้ให้ผลปฏิสนธิแต่ละบุคคล หรือว่าสัตว์ที่เกิดในสุคติภูมิก็ต่างๆ กันไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องความเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ก็คือ ที่เรียกว่าการรู้ความจริงคือปัญญา ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปแล้วว่า ตอนเกิดนั้น บางคนก็ประกอบด้วยปัญญา บางคนก็ไม่ประกอบด้วยปัญญา

    ในการทำกุศลก็เช่นเดียวกัน ระดับความเข้าใจของแต่ละบุคคล เมื่อทำกุศลก็มีระดับความเข้าใจที่ต่างๆ กันใช่ไหม เมื่อคนเข้าใจมากขึ้นก็ทำกุศลด้วยความละเอียดอ่อนมากขึ้น ด้วยความประณีตมากขึ้น คนที่เข้าใจน้อยก็ทำตามความเข้าใจของตน ฉะนั้นในภูมิที่เป็นสุคติภูมิ ด้วยกรรมที่ทำแตกต่างกันเช่นนี้ เวลาให้ผลก็เช่นเดียวกันก็คือให้ผลที่แตกต่างกันไป สุคติภูมิชั้นแรกก็เป็นมนุษย์ สุคติภูมิชั้นต่อไปก็เป็นเทวดา เป็นรูปพรหมอรูปพรหม สิ่งเหล่านี้ก็มาจากการทำกุศลที่ต่างๆ กันนั่นเอง เมื่อผลของกุศลที่ต่างๆ กันให้ผลก็ให้เกิดในภพภูมิที่ต่างๆ กันไป

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทุกคนก็คงจะพอทราบปฏิสนธิของท่านเองได้แล้วใช่ไหม เพราะว่าถ้าเป็นกุศลที่ประณีตมาก ก็จะทำให้เกิดในตระกูลที่มั่งคั่งพรั่งพร้อมด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานมากถึงกาลที่ประสูติ ก็ประสูติด้วยจิตที่เป็นผลของกุศลที่ประณีตประกอบด้วยโสมนัส และมีกำลังกล้า เวลาทำกุศล บางคนก็ไม่มีกำลังต้องอาศัยเพื่อนฝูง ถ้าเพื่อนฝูงไม่ทำก็ไม่ทำ หรือว่าบางครั้งทำแล้วจิตก็เฉยๆ ไม่โสมนัส แล้วหลายครั้งที่เป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา และจะให้มีปัญญาเจตสิกเกิดในขณะปฏิสนธิเป็นผลของกุศลนั้นไม่ได้

    แต่ชีวิตของแต่ละคน ก็มีการกระทำที่ต่างกัน ละเอียดมาก แม้แต่คนหนึ่ง บางครั้งกุศลจิตของเราเอง ก็ประกอบด้วยความรู้สึกเฉยๆ แต่เวลาที่ทุกคนอยากได้ผล อยากได้ผลกุศลที่ทำอย่างประณีตแล้วก็ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา แต่กรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ทุกคนทำกรรมมาแล้ว แล้วก็จะจากโลกนี้ไป โดยที่ไม่รู้ว่ากรรมไหนถึงกาลที่สุกงอมพร้อมที่จะให้ผล ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด จากชีวิตในชาตินี้ก็พิสูจน์ความจริงได้ใช่ไหมว่าตอนที่เราจะจากโลกก่อนมาสู่โลกนี้ เราก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา หรือเลือกกุศลของเราให้เกิดว่าจะต้องเป็นประเภทใด แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต เพียงขณะแรก และก็ต่อมาจะมีหลายขณะนับไม่ถ้วนจนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชีวิตคือจุติ

    แต่ว่าข้อสำคัญที่สุดคือปฏิสนธิจิต ถ้าเราได้กระทำอกุศลกรรมไว้แล้ว แล้วก็อกุศลกรรมให้ผล จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม ถ้ากรรมนั้นให้ผล เราก็ต้องเหมือนสัตว์ที่เรามองเห็นเช่นนกแมวต่างๆ หรือว่าร้ายกว่านั้นก็คือว่าเป็นเปรต แล้วก็อยู่ในนรก ถ้าเป็นอสุรกายก็เป็นพวกภูมิซึ่งไม่มีความรื่นเริงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เหมือนมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นอีกภูมิหนึ่ง ซึ่งในภูมิมนุษย์ เรามีเครื่องบันเทิงมากมายแต่ยังไม่เท่าสวรรค์ก็เป็นระดับชั้นที่ต่างกัน แต่ก็ให้ทราบว่าเป็นอนัตตา เลือกไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมก็จะทำให้ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจ ทำให้ชีวิตของเราเป็นกุศลเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังเลือกไม่ได้อีก แล้วแต่ว่าเหตุปัจจัยจะมาก หรือจะน้อยในแต่ละโอกาส เพราะว่าเมื่อตราบใดที่ยังมีอกุศล หรือกิเลสอยู่ ก็จะต้องมีอกุศลจิต และอกุศลจิตที่มีกำลัง ก็จะทำอกุศลกรรม ซึ่งเมื่อมีอกุศลกรรมที่ทำไปแล้วก็แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะทำให้ปฏิสนธิที่เกิดขึ้น หรือว่าแม้ไม่ทำให้เกิดแต่ก็อุปถัมภ์ได้ หรือว่าอาจจะเบียดเบียนสิ่งที่มีอยู่แล้วให้น้อยลง หรือว่าอาจจะตัดรอน ซึ่งเราก็เห็นชีวิตของบางคน พลิกผันหน้ามือเป็นหลังมือ จากสูงสุดจนถึงระดับต่ำสุด ถ้าไม่มีกรรมเป็นเหตุ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ที่เราเห็นว่าเป็นเพราะเหตุนั้นเหตุนี้แท้ที่จริงแล้วเหตุสำคัญที่สุดก็คือกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    ขณะแรกที่เกิดมืดสนิทขณะเดียว ปฏิสนธิจิตของทุกคน มีเพียงหนึ่งขณะ สภาพของธรรมที่เกิดต้องมีกิจการงาน จิตเจตสิกเกิดทำกิจการงานทุกครั้ง เราอาจจะคิดว่าเราทำ แต่ความจริงถ้าไม่มีจิตไม่มีเจตสิกจะไม่มีอะไรทำเลย แล้วทั้งหมดในวันนี้ ที่ทุกคนทำมาแล้ว ใครทำ ก็จิตเจตสิกนั่นเองประเภทต่างๆ ด้วย เป็นประเภทเห็นก็ทำหน้าที่เห็นเป็นประเภทได้ยินก็ทำหน้าที่ได้ยิน เป็นประเภทคิดนึกก็ทำหน้าที่คิดนึก ก็แล้วแต่การสะสมของปฏิสนธิจิตที่สืบต่อมานานแสนนาน ว่าเมื่อเห็นแล้ว แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน บางคนเห็นแล้วเป็นกุศล บางคนเห็นแล้วเป็นอกุศล เลือกไม่ได้อีก เพราะว่าสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจเรื่องธรรม เป็นธรรมจริงๆ ถ้าพูดถึงจิตใจ เอารูปร่างออกหมดเลย เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน จิตที่โกรธเกิดขึ้น ทำหน้าที่นั้นเลย ขุ่นเคือง หยาบกระด้าง จะไปเปลี่ยนลักษณะของจิตนั้นให้อ่อนโยนมีเมตตาก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ตามการสะสมของชาติหนึ่ง ซึ่งแล้วแต่ว่าปฏิสนธิจิตเป็นประเภทไหนก็ทำให้ผลของกรรมที่จะตามมาในภายหลัง มากน้อยต่างกันตามลำดับ

    เพราะว่าทุกคนอยากจะได้ผลของกุศลกรรมอย่างเลิศ หวังเสมอเป็นเพียงความหวังแต่ความจริงก็คือว่าแล้วแต่กรรม ขณะนี้ ถ้าศึกษาโดยละเอียดจะทราบได้ว่าทุกคนไม่สามารถที่จะพ้นกรรมได้ ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะขณะปฏิสนธิ ขณะปฏิสนธิคือจิตขณะแรกที่เกิด เป็นแต่เพียงขณะแรกซึ่งจะนำมาซึ่งผลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

    ปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเจตสิกตามประเภท และก็มีปัญญา หรือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็แล้วแต่บุคคล เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ทุกอย่างที่สะสมอยู่ในปฏิสนธิจิตซึ่งไม่ใช่แต่เพียงปฏิสนธิจิตขณะเดียว จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะนี้ดับไปเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้นจิตขณะต่อไปที่เกิดก็สืบต่อทุกอย่างที่มีอยู่ในจิตขณะก่อน ไม่ขาดหายหกตกหล่นไปเลยสักประเภทเดียว ไม่ว่าจะเป็นกรรมใดๆ เรียกว่าความรู้สึกใดๆ ก็ตาม จะความขุ่นเคืองใคร ผ่านไปแล้วหลายปีก็ยังมีสภาพของเจตสิกซึ่งจำสิ่งนั้นไว้ไม่ลืม แล้วถ้าถอยไปก็นับไม่ถ้วนเลย เป็นปัจจัยให้แต่ละคนสามารถที่จะรู้สิ่งที่สะสมมาของตนเองได้เวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น เพราะมาจากการสะสม แล้วเริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิต แม้เมื่อปฏิสนธิจิตดับไป จิตเกิดสืบต่อต้องเป็นผลของกรรมอย่างเดียวกัน จะเป็นผลของกรรมอื่นยังไม่ได้ เพราะเหตุว่ากรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพียงขณะเดียวไม่พอ กรรมอะไรให้ผลทำให้จิตเกิดขึ้นขณะเดียว และขณะนั้นก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น โลกนี้ก็ไม่ปรากฏ โลกไหนก็ไม่ปรากฏทั้งนั้น ต้องมีการที่จะให้ผลมากกว่านั้น โดยการที่จิตขณะที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต ต้องเป็นผลของกรรมประเภทเดียวกัน ทำให้เป็นบุคคลนั้น จนกว่าจะถึง ที่ภาษาไทยเราใช้คำว่าถึงแก่กรรม คือหมดสิ้นกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้ แต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงเวลานั้น ก็จะต้องมีภวังคจิต เป็นจิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตทำกิจภวังค์ คือดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นจนกว่าจะสิ้นชีวิต

    เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่านอนหลับสนิทยังไม่ตาย จิตทำหน้าที่การงานหรือไม่ ทำภวังคกิจ ไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจแม้ว่าเป็นจิตประเภทเดียวกันก็จริง แต่จากการที่เราได้ทราบการงานของจิตอย่างละเอียด ก็จะเห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ว่าใครจะเปลี่ยนแปลงให้เวลาที่ปฏิสนธิจิตดับไม่ให้ภวังคจิตเกิด ใครทำได้ ไม่มีใครทำได้เลย เป็นเรื่องของธรรมโดยตลอด

    เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ภวังคจิตเกิดสืบต่อบางครั้งเราเรียกชื่อจิตตามกิจ อย่างแม้ว่าจิตที่เกิด เป็นจิตประเภทวิบากคือเป็นผลของการ แต่ผลของการมีมาก เพราะฉะนั้นการที่จะใช้ชื่อของจิตก็คือว่าเรียกตามกิจ เมื่อจิตขณะแรกที่เกิดทำกิจสืบต่อจากชาติก่อนคำว่าปฏิสันธิในภาษาบาลี ก็สืบต่อจากชาติก่อน ก็เรียกจิตที่เป็นวิบากที่ทำกิจนี้ว่าปฏิสนธิจิต แม้ว่าปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว และก็กรรมนั้นก็ทำให้ภวังคจิตเกิดต่อเป็นวิบากประเภทเดียวกัน เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นคนนี้ไปตลอด เวลาที่กุศลจิต และอกุศลจิตที่เกิดภายหลังเกิด จะมีการสะสมซึ่งทำให้เปลี่ยนลักษณะของจิตได้มีการสะสมที่เป็นปัญญาเพิ่มขึ้น หรือว่าอกุศลเพิ่มขึ้น หรือกุศลจิตเพิ่มขึ้นก็ได้ แต่ภวังคจิต จิตที่ดำรงภพชาติไม่เปลี่ยน ต้องเป็นบุคคลนี้ไปก่อนจนกว่าจะตาย

    ถ้าทำกุศลแล้วก็อยากจะให้เกิดผลทันทีให้เป็นเทวดาทันทีได้ไหม ไม่มีทางเลย ต้องสิ้นชีวิตก่อน แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะให้ผลก็จะทำให้เกิดในภพไหนภูมิไหนต่อไปอีก แต่ว่าตราบใดที่ยังเป็นบุคคลนี้ก็เพียงแค่หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็เป็นวิถีชีวิต จนกว่ากรรมนั้นจะสิ้นหมดไป จึงจะสิ้นความเป็นบุคคลนี้ได้

    สำหรับภวังคจิต ก็เป็นจิตขณะที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต จะเร็วสักเพียงไหน ระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินซึ่งเสมือนว่าเกิดพร้อมกัน แต่ความจริงมีจิตที่เกิดดับสลับคั่นเกินกว่า ๑๗ ขณะจิต เพราะฉะนั้นเวลาที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเกิดมาทำกิจนี้ ดับ ภวังคจิตเกิดต่อ สั้นมากน้อยมาก แต่ก็จะเป็นภวังค์แล้วก็ดับไป แล้วก็เป็นภวังค์แล้วก็ดับไป แล้วก็เป็นภวังค์แล้วก็ดับไป จนกว่าจะถึงกาลที่มีการรู้สึกตัว

    ก่อนอื่น พอเกิดแล้ว หลังจากนั้นก็จะมีการรู้สึกตัวทางมโนทวารคือทางใจ ขณะนั้นจะไม่มีทางอื่นเลย หลังจากปฏิสนธิจิตแล้ว เป็นภวังค์แล้ว ก็จะมีการรู้อารมณ์คือมีการเริ่มรู้สึกคิดนึก

    ทราบไหมว่าทันทีที่จิตเกิดรู้สึกตัวครั้งแรก ต่อจากนั้นเป็นจิตอะไร เปลี่ยนไม่ได้อีก เป็นการสะสมของสัตว์โลกซึ่งยังมีอวิชชา เพราะฉะนั้นก็เป็นโลภมูลจิตติดข้องทันที ในภพชาติ ในความเป็นบุคคลนั้น แม้ว่ายังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร เพราะว่าขณะนั้นถ้าเกิดในครรภ์ ก็ยังไม่มีรูปร่าง ที่จะรู้ว่าจะเป็นคน ผู้หญิง หรือผู้ชาย หรือว่าจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ก็ไม่มีเลย แต่ว่าทันทีที่เกิด และรู้สึกตัว ก็จะมีความติดข้องทันทีในภพ ในชาติ ในความเป็น ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิไหนทั้งสิ้น ขอให้คุณประเชิญช่วยต่อ

    อ.ประเชิญ กล่าวถึงเรื่องของจิตใช่ไหม หน้าที่ของจิตเป็นเรื่องของการเรียนรู้เรื่องของตัวเราเอง ที่เราจะค่อยๆ รู้ ซึ่งตั้งแต่ขณะแรกของภพชาติของเรา ตั้งแต่ครั้งแรก ที่เกิดขึ้นมา ของเราก็เป็นมนุษย์ ปฏิสนธิคือเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าปฏิสนธิ เป็นเทวดาเป็นผลของความที่ประณีตขึ้นไปก็จะเป็นเทวดา ถ้าผลของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ที่เรามองเห็นอยู่กับมีแค่สัตว์เดรัจฉาน แต่ที่เราไม่เห็นก็ยังมีอีก มีทั้งเปรต ทั้งสัตว์นรก และก็อสุรกาย อันนี้เป็นภพภูมิที่เป็นผลของอกุศลกรรม

    ซึ่งจะเชิญพระสูตรเพื่อจะประกอบเรื่องนี้ พระสูตรนี้ ก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล และพระสาวกท่านก็ได้รวบรวมจารึกเป็นพระไตรปิฏก สำหรับฉบับของมหามกุฏฯ ก็จะอยู่ในเล่มที่ ๒๔ ชื่อว่าพระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๑ เป็นเรื่องของความกลุ้มใจของเทพบุตรองค์หนึ่ง ชื่อว่าสุพรหมเทพบุตร บางท่านอาจจะไม่เชื่อว่ามีเทวดาใช่ไหม ก็อย่างที่ท่านอาจารย์ และคุณสุภีร์ได้กล่าวแล้ว ว่าเหตุที่จะทำให้เป็นเทวดามีอยู่ เพราะฉะนั้น ผลคือการเกิดเป็นเทวดาก็มีจริง ในครั้งพุทธกาลก็มีเทวดามา

    อย่างเช่นในเรื่องนี้ ก็สุพรหมเทพบุตร ก็มาทูลถามปัญหากับพระผู้มีพระภาค เนื่องจากมีความกลุ่มใจ เป็นเทวดาไม่น่าจะกลุ้มใจใช่ไหม ของเรานี่ต้องกลุ้มใจในเรื่องของปัญหาต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาจราจร เรื่องสุขภาพมากมาย ใช่ไหม ปัญหา แต่เทวดาท่านไม่ต้องพบปัญหาเหล่านี้แล้ว ท่านไม่ต้องมาทำงาน แล้วก็เรื่องการจราจร มลภาวะอะไร ก็ไม่มีสำหรับเทวดา ทุกอย่างเป็นทิพย์หมด ทั้งอายุวรรณะ ทั้งความสุข ทั้งอาหาร ทั้งหมด เป็นทิพย์ทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พ้นเรื่องของทุกข์ใจ

    สุพรหมเทพบุตร ท่านก็กลุ้มใจในเรื่องของบริวารของท่าน เทวดาผู้หญิงเรียกว่าเทพธิดา หรือว่านางอัปสร เทวดาผู้ชายเรียกว่าเทพบุตร สุพรหมเทพบุตร ท่านมีนางเทพธิดาที่เป็นบริวาร ๑๐๐๐ ในสวรรค์ ก็มีบริวารมากมายด้วยอำนาจของบุญ ชีวิตประจำวันของเทวดาก็คือไปเล่น จึงชื่อว่าเทวดา เทวดาหรือเทพ ว่าผู้เล่น เพราะฉะนั้นสุพรหมเทพบุตร ปกติของท่านก็คือไปเล่นที่สวนนันทวัน เป็นส่วนที่มีความงดงามมากเป็นส่วนที่ทุกอย่างเป็นทิพย์ทั้งหมด อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สุพรหมเทพบุตรก็พาบริวารของท่าน ๑๐๐๐ ไปเล่นที่สวนนันทวัน แล้วก็จัดที่นั่งอยู่ที่ใต้โคนไม้ปาริชาติ เทพธิดา ๕๐๐ นาง ห้อมล้อมเทพบุตร ส่วนเทพธิดาอีก ๕๐๐ นางก็ขึ้นไปข้างบน แล้วในอรรถกถา ท่านก็ถามว่าธรรมดาต้นไม้แม้สูงตั้งร้อยโยชน์ ก็น้อมลงมาหามือของเทวดาผู้ที่ต้องการดอกไม้ เหตุใดเทพธิดาเหล่านั้นจึงปีนขึ้นไป ท่านก็ตอบว่าเทพธิดาเหล่านั้นประสงค์จะเล่น ไปเขย่าแล้วก็ไปเก็บเอามา แล้วก็ปล่อยให้ร่วงลงมา ก็แบ่งครึ่ง ๕๐๐ นางก็ห้อมล้อมเทพบุตร อีก ๕๐๐ นาง ท่านก็ขึ้นไปข้างบน พร้อมกับฟ้อนรำขับร้องเพลงไปด้วย ในขณะนั้นเหล่าเทพธิดา ๕๐๐ คนที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ก็อยู่จุติด้วยอำนาจของอุปัจเฉทกกรรมเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เกิดในอเวจีนรก เสวยทุกข์ใหญ่ อันนี้ก็เป็นลักษณะของผู้ที่หมดกรรมแล้วใช่ไหม ก็กำลังสนุกๆ อยู่ ก็จุติ หายไปเลย ไม่มีซากศพเหมือนกับมนุษย์เรา เพราะฉะนั้นเทพธิดา ๕๐๐ ที่ปีนขึ้นไป ก็จุติ ไปเกิดนรก

    เมื่อเวลาล่วงไปสุพรหมเทพบุตรท่านก็รำพึงว่า ไม่ได้ยินเสียงของเทพธิดาเหล่าที่ปีนขึ้นไป ดอกไม้ก็ไม่หล่น เขาไปไหนกันหนอ ก็เห็นเงียบไป แล้วก็ดอกไม้ก็ไม่ร่วงหล่นเลยก็พิจารณาดู ก็เห็นเทพธิดาเหล่านั้นไปเกิดในนรก เกิดรันทดใจ พร้อมกับความโศกในของรัก จึงดำริว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เหล่าเทพธิดาก็ไปตามกรรม ตัวเราจะมีอายุสังขารสักเท่าไรกันเล่า เทพบุตรนั้น พิจารณาแล้วก็เห็นว่าตัวเรา พร้อมกับเทพธิดา ๕๐๐ ที่เหลือก็จะพากันไปเกิดในนรกในวันที่ ๗ จากนี้ไป เทวดาท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถ สามารถที่จะรู้ได้ว่าท่านจะไปเกิดที่ไหนหลังจากที่เคลื่อนจากภพนี้ แล้วก็รู้คนอื่นด้วย อย่างเช่นพิจารณาดูนางเทพธิดา ๕๐๐ ที่ หายไป ท่านก็เห็นว่าไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรเมื่อได้ทราบก็เกิดรันทดใจ ก็มีความโศกรุนแรงก็เกิดความคิดว่า ในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก นอกจากพระตถาคตแล้วไม่มีใครสามารถที่จะดับความโศกของเรานี้ได้ ท่านก็เป็นผู้ที่มีความรู้ว่าผู้ที่เป็นผู้ที่มีปัญญาที่สุดในยุคนั้น ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดาทั้งพรหม ก็คือพระตถาคตคือพระพุทธเจ้านั่นเอง ท่านก็เลยมาพร้อมกับบริวารของท่านที่เหลือ มาทูลถามพระผู้มีพระภาคที่พระวิหารเชตวัน มาแล้วก็ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง หนึ่ง แล้วได้กราบทูลถามปัญหากับพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิจ ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็นนิจ ทั้งเมื่อจิตไม่เกิดขึ้น ทั้งเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าความไม่สะดุ้งมีอยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว โปรดตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด อันนี้ก็เป็นปัญหาของท่าน คือท่านสะดุ้งหวาดเสียวอยู่ ท่านก็อยากจะทราบว่าจะมีหนทางที่จะทำให้ไม่สะดุ้งนี้หรือไม่ พระผู้มีพระภาคโดยตรัสตอบว่า เรายังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลายนอกจากปัญญาความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากความสละวางทุกอย่าง เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบกับสุพรหมเทพบุตร ท่านได้ฟังแล้ว ท่านก็ได้รู้แจ้งอริยธรรมเป็นพระโสดาบัน ก็ทำให้ทรัพย์สมบัติของท่านในสวรรค์ มั่นคง คือท่านก็ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ไม่ต้องไปเกิดในนรก เพราะว่าได้ฟังพระสัทธรรม ทำให้ท่านได้รู้แจ้งอริยธรรม

    ก็เป็นตัวอย่างของการเกิดปฏิสนธิ ของเทวดา เกิดทันที ก็โตขึ้นทันที


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    16 ส.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ