สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 024


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๒๔

    วันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฏาคม ๒๕๔๕


    อ.ประเชิญ เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบกับสุพรหมเทพบุตร ท่านได้ฟังแล้วท่านก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน ก็ทำให้ทรัพย์สมบัติของท่านในสวรรค์ มั่นคง คือท่านก็ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ไม่ต้องไปเกิดในนรก เพราะว่าได้ฟังพระสัทธรรม ทำให้ท่านรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็เป็นตัวอย่างของการเกิดปฏิสนธิ ของเทวดา เกิดทันที ก็โตขึ้นทันที ถ้าเกิดตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดา ก็โตทันที ท่านเปรียบเหมือนกับว่าเหมือนกับคนที่หลับ และตื่นขึ้น เรื่องทุกอย่าง ที่เคยผ่านมาไม่นานก็จำได้ทั้งหมด เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ประกอบกับเรื่องของจิต

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาว่าแม้แต่เกิดบนสวรรค์ กำลังสนุกอยู่แท้ๆ เลย ไม่รู้ตัวเลย ตอนที่จะจุติ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ทุกคนที่สนุกในโลกนี้ เป็นไปได้ไหมที่จุติจิตเกิด สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นข้อความในพระไตรปิฏก ก็แสดงให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นอนัตตาการไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงละเอียดมาก ทุกขณะจิต

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาจริงๆ แล้วก็เข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังโดยถ่องแท้ ก็จะทำให้เราสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เราย้อนไปตั้งแต่เราเกิด จะกี่ ๑๐ ปีก็ตามแต่ ถึงขณะแรกของจิตคือปฏิสนธิจิต แล้วก็หลังจากนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับ ก็มีจิตที่เกิดสืบต่อ แต่ไม่ได้ทำกิจสืบต่อจากชาติก่อนจึงไม่เชื่อว่าปฏิสนธิ แต่เป็นจิตประเภทเดียวกันโดยผลของกรรมเดียวกัน แต่เมื่อทำกิจสืบต่อดำรงภพชาติจึงใช้คำว่าภวังคจิตเพราะว่าทำภวังคกิจ

    ทุกคนคงใช้คำว่าภวังค์บ่อยๆ ใช่ไหม หมายความว่าอย่างไร เวลานี้มีหรือไม่ ภวังค์บางทีใช้จนกระทั่งถึงแม้ฌาญ ซึ่งไม่ใช่ฌานจริงๆ แต่เข้าใจว่าเป็นฌาน แต่ก็หลับไปแล้ว เพราะฉะนั้นขณะที่หลับ ขณะที่ไม่รู้สึกตัวเลยคือ ขณะที่เราสามารถที่จะเข้าใจสภาพจิตที่ทำกิจภวังค์ได้ เพราะแม้ว่าขณะนี้ จะมีภวังคจิตเกิดคั่นทุกวาระที่เห็นต้องเป็นภวังค์ก่อน ถึงจะได้ยิน ต้องมีการดำรงภพชาติ เมื่อสิ้นสุดวาระของการที่จะเห็นจะได้ยินแต่ละทาง แต่ก็ไม่ปรากฏเลยเพราะความรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการเกิดดับของสภาพธรรมอย่างรวดเร็วมาก เป็นมายากล เหมือนกับใครที่สามารถที่จะเอานกพิราบออกมาจากหมวกได้ หรือเอาไก่ออกมาจากแขนเสื้อได้ ทำได้อย่างไร แต่นี่มายาของมนุษย์

    แต่ว่ามายาของจิตเร็วกว่านั้นมากมาย ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ว่าเราถ้าไม่ศึกษาจริงๆ ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจคำที่ในพระพุทธศาสนาเป็นแก่นคืออนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร หมายความว่าต้องมีสภาพธรรม แต่ว่าสภาพธรรมนั้น ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควรแต่ละประเภทของจิต

    คนไม่ดีแล้วก็จะเลือกให้กุศลจิตเขาเกิดบ่อยๆ ได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย หรือว่าถ้าคนที่เป็นคนดีสะสมมา แล้วจะให้คิดริษยาคนอื่นบ่อยๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ได้สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งมองชัดเจน ในความเป็นอนัตตาของธรรม แต่ต้องเริ่มมาจากปฏิสนธิจิตที่จะทำให้แต่ละบุคคล ต่างกันไป หลังจากที่ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อไม่มีการนับเลย รวดเร็วมาก เวลานี้ใครจะนับอะไรก็นับได้ แต่นับจิตนับทันไหม ไม่ทันเลย เกิดดับเร็วมาก เมื่อภวังคจิตดับไปแล้ว เราได้พูดถึงการรู้สึกตัวครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่ภวังค์ ขณะไหนก็ตามที่มีการรู้สึกตัว เริ่มมีสิ่งที่ปรากฏทางหนึ่งทางใด อย่างในขณะนี้กำลังเห็นไม่ใช่ภวังค์ กำลังได้ยินก็ไม่ใช่ภวังค์ ต้องเป็นขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือว่าไม่คิดนึก ไม่ฝันด้วย ขณะนั้นจึงจะเป็นภวังค์จิต เพราะฉะนั้นทุกคนก็เริ่มรู้จักจิตของตัวเองอีกประเภทหนึ่ง ใช่ไหมซึ่งทำหน้าที่ดำรงภพชาติ เป็นภวังค์จนกว่าจะมีจิตอื่นเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่ภวังคจิต

    เพราะฉะนั้นต่อจากที่ภวังคจิตดับ การรู้สึกตัวครั้งแรก จะติดตามมาด้วยโลภะความติดข้องในความเป็น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดทั้งสิ้น เกิดในนรกแท้ๆ เวลาที่ปฏิสนธิจิตดับ และก็จิตเกิดคั่นเป็นภวังค์ และก็มีการรู้สึกตัวคือทางใจ เริ่มเกิดรู้สึกขึ้น ขณะนั้นติดหรือไม่ในนรก ยังไม่รู้ว่านรกเป็นอะไรขณะนั้น เพราะว่าเพิ่งเป็นการคิดด้วยความพอใจในขันธ์คือในความมีความเป็น ยังไม่รู้ว่าเป็นนรก ยังไม่รู้ว่าเป็นเปรต ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วก็จะมีความติดเกิดขึ้นต่อจากนั้นก็เป็นภวังค์อีก เราจะเป็นภวังค์อยู่นาน ถ้าอยู่ในครรภ์ก็จะมีการรู้สึกตัว แล้วก็อาจจะมีความรู้สึกเจ็บได้

    เพราะว่าเรากล่าวถึงแต่เพียงเรื่องจิตในขณะที่ปฏิสนธิเกิดขึ้นครั้งแรกคือจิต และเจตสิก แต่ว่าในภูมิภพที่มีรูปด้วย จะไม่ปราศจากรูปเลย กรรมที่เราทำในชาตินี้ ในภูมินี้ เราทำเรื่องกับรูปทั้งหมดใช่ไหม ถวายจีวร หรือจะทอดกฐิน ไม่ว่าจะให้วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นทาน เป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น ก็เนื่องด้วยวัตถุซึ่งเป็นรูปทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นผลของกรรมที่ทำด้วยรูปนี้ เวลาที่ให้ผล กรรมนั้นก็ทำให้ปฏิสนธิจิต และเจตสิกเกิดพร้อมรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปที่เกิดเพราะกรรม ชื่อว่ากัมมชรูป ตอนนั้นทุกคนยังไม่เป็นขณะนี้เลย ยังเล็กมากมองไม่เห็นเลย เป็นมนุษย์ที่อยู่ในครรภ์ แต่ขณะนั้นกรรมก็ทำให้รูป ๓ กลุ่มเล็กๆ หรือ ๓ กลาปเกิดขึ้น เพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน กลาปที่หนึ่ง ก็คือ หทัยวัตถุ เป็นกลุ่มของรูป ซึ่งมีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เพราะในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้เลย ในขณะนี้ จิตต้องเกิดที่ภายในตัว แล้วแต่ว่าจะเกิดที่ไหน แต่จะไม่เกิดนอกตัว ไม่เกิดนอกกัมมชรูป ต้องเกิดที่กัมมชรูปนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นกลุ่มเล็กๆ ๓ กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง คือเป็นกลุ่มซึ่งเป็นที่เกิดของจิต จิตต้องเกิดที่รูป ถ้าพูดถึงกลุ่มนี้หมายความว่าไม่ใช่มีรูปรูปเดียว แต่ต้องมีหลายๆ รูปเกิดร่วมกัน แยกกันไม่ได้เลย ซึ่งก็ขอกล่าวถึงเล็กน้อย คือต้องมีมหาภูตรูปที่ เราคุ้นหู คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดินเป็นลักษณะที่แค่นแข็ง เพราะฉะนั้นก็เป็นที่ตั้งของสิ่งต่างๆ โดยรูปต่างๆ ธาตุไฟก็เป็นสภาพที่อบอุ่นทำให้มีชีวิต ธาตุลมก็เป็นลักษณะที่ไหว หรือตึง ธาตุน้ำก็เป็นสภาพธรรมที่เกาะกุมรูปที่เกิดรวมกันไม่แยกจากกัน เพราะฉะนั้นมหาภูตรูป ๔ ขาดไม่ได้เลย ใช้คำว่ามหาภูตะเป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่ว่าจะมีรูปใดๆ ปรากฏทางไหนก็ตาม ให้ทราบว่าต้องมีมหาภูตรูป ๔ เป็นพื้นฐาน และมหาภูตรูป ๔ ที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิต เป็นรูปที่เกิดเพราะกรรม

    กลุ่มที่เล็กที่สุดมีมหาภูตรูป ๔ แล้วจะต้องมีรูปที่รวมอยู่ที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นั้นเกิดอีก ๔ รูปคือสีสันวรรณะต่างๆ ซึ่งสามารถจะปรากฏเมื่อกระทบตาหนึ่งรูป กลิ่น รส และโอชา ก็เหมือนกับอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วทำให้เกิดรูป เป็นโอชารูป ทุกกลุ่มต้องมีรูปอย่างน้อย ๘ รูป เรียกว่า หนึ่งกลาปะ

    ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรมต้องมีอีกรูปหนึ่งเพิ่มขึ้น คือชีวิตินทริยรูป ทำให้รูปที่เกิดจากกรรมต่างกับรูปซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรม ถ้ารูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรม เรารู้ว่ารูปนั้นไม่มีชีวิตใช่ไหม แต่ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรมของกลุ่มที่เป็นกัมมชรูปทุกกลุ่ม ต้องมีชีวิตรูปรวมอยู่ด้วยเป็นรูปที่มีชีวิต หรือทรงชีวิตทำให้รู้ลักษณะว่ารูปนั้นเป็นรูปที่มีชีวิ

    เพราะฉะนั้นในขณะที่เกิดในภูมิมนุษย์จะมีปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรม แล้วกรรมก็ทำให้กัมมชรูปเกิด ๓ กลาปะ หรือ ๓ กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มที่มีหทยรูปเป็นที่เกิดของจิตรวมอยู่ด้วย และก็มีชีวิตรูปรวมอยู่ด้วย คนที่คิดเลขก็ทราบเลยใช่ไหมว่ากี่รูป เมื่อครู่นี้มี ๘ แล้วก็มีชีวิตินทริยรูปอีกหนึ่ง และก็มีหทยรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตอีกหนึ่ง เพราะฉะนั้นกลุ่มนี้มี ๑๐ รูป เรียกว่าหทยทสก คือถ้าที่จะจำภาษาบาลีไม่ยากเลย เพราะว่าภาษาไทยเราก็ใช้คำนี้อยู่แล้ว หทัย หรือหทย โดยมากเราคิดถึง สองอย่างใช่ไหม คิดถึงใจซึ่งไม่มีรูปร่าง แล้วก็คิดถึงหัวใจซึ่งมีรูปร่าง เพราะฉะนั้นแม้แต่คำเดียว เราก็ใช้สำหรับสองความหมายคือนามธรรมกับรูปธรรม

    แต่สำหรับหทยทสก เป็นรูปที่มีกลุ่ม ๑๐ รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ซึ่งจะปราศจากมหาภูตรูป ๔ และสี กลิ่น รส โอชาไม่ได้ ทสกก็คือ๑๐ กลุ่มของรูปที่มีรูปซึ่งเป็นที่ตั้งของจิตรวมอยู่ด้วยทั้งหมดเป็น ๑๐ รูป มี ๓ กลุ่ม อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือภาวทสกะ ต่อไปรูปนี้กลุ่มนี้จะทำให้มีอาการแสดงความเป็นหญิง หรือเป็นชาย เพราะฉะนั้นก็มี สองอย่าง คืออิตถีภาวรูป หรือว่าปุริสภาวรูป แต่ละคนจะมีเพียงหนึ่ง คือกลาปที่เกิด ถ้าเกิดเป็นหญิงปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิก และก็พร้อมกัมมชรูปคือ มีหทยรูป และก็มีภาวรูปอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็จะต้องเป็น ๑๐ เหมือนกันเพราะว่าขาด ๘ รูปไม่ได้ รวมภาวรูปอีกหนึ่ง ชีวิตินทริยรูปอีกหนึ่ง เพราะเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง

    อีกกลุ่มเป็นกายทสก เป็นกลุ่มของกายปสาทรูป ซึ่งเป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว ที่ตัวของเราทุกคน ตั้งแต่เกิดมาเลย กรรมทำให้กลุ่มของรูปนี้เกิดขึ้น และต่อมาภายหลัง อุตุ ธาตุไฟที่มีอยู่ในกลุ่มของรูปแต่ละกลุ่ม ก็จะทำให้มีรูปอื่น เกิดเติบโตขึ้นพร้อมกับกรรม เพราะฉะนั้นธาตุไฟซึ่งเกิดจากกรรมก็จะทำให้กลุ่มของรูปต่างกันออกไป ถ้าโตขึ้นมาก็เป็นรูปร่างหน้าตาที่ต่างกัน หรือว่าถ้าเป็นผลของกรรมที่ต่างกัน ก็จะทำให้เกิดเป็นสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ อะไรก็แล้ว เป็นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น

    แต่ให้ทราบว่าในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ไม่ได้มีแต่นามธรรมเกิด แต่มีรูปเกิด ๓ กลุ่ม คือหทยทสกะ๑ ภาวทสกะ๑ กายทสกะ๑ ได้แก่กายปสาทที่สามารถจะรับกระทบสิ่งที่สัมผัสกาย ปรากฏเป็นลักษณะที่เย็น หรือร้อนอ่อน หรือแข็งตึงหรือไหว ซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วทั้งภายใน และภายนอก สามารถที่จะกระทบ และทำให้มีการรู้ลักษณะที่เย็นบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ร้อนบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง เพราะฉะนั้นเราก็มาถึงจิตที่ตั้งแต่เกิด และก็มีรูปอะไรเกิดขึ้น แล้วจนกระทั่งเติบโตมาจนกระทั่งออกจากครรภ์ก็ได้

    ผู้ฟัง ในรูป ๓ กลุ่ม นั้น รวมถึงที่มีการทำโคลนนิ่งหรือไม่ ชีวิตที่เกิดจากการโคลนนิ่งนั้น ไม่ได้มาจากกรรมใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบขณะปฏิสนธิจิตของสัตว์นั้น ปฏิสนธิจิตของสัตว์นั้นต้องมีใช่ไหม ไม่ใช่ไม่มี ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหมกับปฏิสนธิจิต ต้องมี แล้วถ้าเป็นในภูมิที่มีรูปด้วยก็ต้องมีรูปซึ่งเกิดจากกรรม เพราะว่าจิตของสัตว์ที่เกิดเป็นผลของกรรม ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดทั้งสิ้น ต้องมีจิตปฏิสนธิพร้อมเจตสิก และจิตนั้นเป็นผลของกรรมที่ทำให้รูปเกิดด้วยเป็นกัมมชรูป

    ผู้ฟัง ก็สรุปว่าจิตที่เกิดกับสัตว์ที่โคลนนิ่งออกมาก็มาจากกรรมกัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เรียกโคลนนิ่ง หรือไม่เรียกอะไร ที่ใดก็ตามที่มีปฏิสนธิจิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นผลของกรรมหนึ่ง และถ้าเป็นในภูมิที่มีรูปด้วยก็ต้องมีรูปซึ่งเกิดจากกรรม เพราะว่าตามธรรมดา สมุฏฐานที่เกิดของรูป จะมี๔ คือรูปเกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอุตุความเย็นความร้อนก็มี และรูปที่เกิดจากอาหารก็มี

    แต่ว่าที่ใดก็ตามที่มีปฏิสนธิจิต ไม่ต้องพูดถึงด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิกต้องมีกัมมชรูป เพราะว่าจิตเจตสิกที่เกิดเป็นผลของกรรมที่ทำให้รูปนั้นเกิด ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ใครก็สร้างไม่ได้ ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดที่จะสร้างรูปที่เกิดจากกรรมได้ จะทำได้ก็แต่เฉพาะรูปที่เกิดจากอุตุ

    ผู้ฟัง เด็กที่เขาผ่าท้องให้เกิดนี้ก็หมายความว่ามาจากกรรมเหมือนกันว่าจะเกิดได้เมื่อไหร่ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก่อนจะผ่าก็ต้องมีจิตเกิดแล้วใช่ไหม ตั้งแต่ปฏิสนธิจิต จิตขณะแรกของชาติหนึ่ง คือจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน หมายความว่าทันทีที่สิ้นชีวิตลง จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับ ปฏิสนธิจิตของชาติต่อไปต้องเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย แล้วแต่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด และรูปทั้งหมด พร้อมกับปฏิสนธิจิตต้องเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน เช่นในเทวดานี้ ก็ไม่มีเพียง ๓ กลุ่ม แต่ต้องมีมากกว่านั้น เพราะว่าเกิดเป็นโอปปาติกะ เกิดทันทีครบทันที แต่ว่าในภูมิมนุษย์ก็มีเพียงแค่กัมมชรูป ๓ รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิต

    ผู้ฟัง ในกรณีที่เด็กคลอดตามปกติที่เกิดปกติใช่ไหม ก็ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดได้ตอนไหน แต่สมัยนี้มีการปฏิสนธิก็ยังใช้โคลนนิ่ง แล้วก็การเกิดของเด็กชีวิตหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง ก็ยังสามารถไปดูฤกษ์ดูดวงอะไรอย่างนี้ แล้วก็มาผ่าท้องให้เกิด ก็ต้องมาจากกรรมเหมือนกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงเกิด ต้องพูดถึงจิตขณะแรกเท่านั้น แล้วก็มีภวังค์คั่น จะอยู่ในครรภ์กี่เดือนก็ตามแต่ จะผ่าท้องเมื่อไหร่ก็ตามแต่ ถ้าพูดถึงปฏิสนธิจิตคือจิตขณะแรก ต้องเป็นผลของกรรมแน่นอน

    ผู้ฟัง ไม่พูดถึงตอนเกิดนี้ใช่ไหม หมายถึงตอนขณะปฏิสนธิเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ขณะแรกที่เกิดในชาตินี้ ซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้เลย

    ผู้ฟัง การโคลนนิ่งที่ทำให้ชีวิตสัตว์เกิดมานั้น ถ้าจะสาวหาเหตุ ไปจนถึงเหตุนี้ พอประมานได้ไหม อนุมานได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีจิตเกิด พูดได้อย่างนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม ขณะนั้น จิตที่เกิดเป็นวิบากจิตคือเป็นผลของกรรมหนึ่ง แล้วกรรมนั้นก็ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิก และก็กัมมชรูป

    ผู้ฟัง ก็จะมีคนสงสัย ว่าถ้าหากว่าการโคลนนิ่งแล้วทำให้เป็นมนุษย์เกิดขึ้นมาได้ก็หมายความว่า นักเรียนพยาบาล แพทย์ต่างๆ ที่ไปเอาหนูมาทดลองทำไปทดลองอยู่เรื่อยๆ เสร็จแล้วตัวเองก็จะกลับมาถูกเขาทดลอง ถ้าจะสาวหาเหตุ จากผลไปหาเหตุอย่างนี้มันเป็นพอเป็นไปได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เราไม่สามารถจะทราบได้เลย เกินวิสัยของเราที่จะทราบปฏิสนธิจิตของแต่ละบุคคลได้ว่าเกิดจากกรรมอะไร เมื่อไหร่ ชาติไหน

    อ.สุภีร์ ใกล้จะถึงคลอดแล้วตอนนี้ ที่เราจำได้ ก็คือจำวันคลอดได้ แต่ว่าวันที่เกิดคือปฏิสนธิจิตเกิด คงไม่มีใครทราบใช่ไหมสำหรับทุกท่านในที่นี้ ถ้าวันคลอดก็อาจจะถามพ่อแม่ หรือว่าปู่ย่าตายายก็อาจจะทราบได้ แต่วันเกิดจริงๆ ก็คือวันที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากจิตขณะแรกมาเกิดในภพภูมินี้ ก็คงจะไม่มีใครทราบได้เพราะว่าไม่อยู่ในวิสัยเช่นนั้น

    ก่อนที่จะคลอด ขอย้อนกลับไปคือเมื่อปฏิสนธิจิตเกิด ก็ด้วยผลของกรรมนั้นเองทำให้กัมมชรูปเกิดร่วมกันอีกด้วย ๓ กลุ่ม ก็คือ ๑ หทยทสกะ ๒ ภาวทสกะ ๓ กายทสกะ หลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมด้วยกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิในภพภูมินี้นั่นเอง ที่ทำให้เกิดกัมมชรูป ๓ กลุ่มนั้นก็ทำให้เกิดรูปอื่นๆ ด้วย ก็คือทำให้เกิดจักขุปสาทรูป เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กรรมนั้นเองก็ทำให้รูปกลุ่มนี้เกิด เรียกว่าจักขุทสกกลาป ต่อมาก็ทำให้เกิดโสตทสกกลาปก็คือรูปที่จะทำให้ได้ยินเสียงสามารถกระทบเสียงได้ ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมด้วยกรรมนั่นเอง และก็ทำให้เกิดฆานทสกกลาป ก็คือกลาปที่มี ๑๐ รูป แล้วก็มีฆานปสาทรูปอยู่ด้วย รูปนี้สามารถกระทบกับกลิ่นได้ ต่อมาก็มีชิวหาทสกเกิด ก็มีรูปเหล่านี้เกิดขึ้นสำหรับบุคคลที่ไม่พิการ สำหรับบุคคลใดที่พิการถ้าหูหนวกก็จะไม่มีโสตทสกกลาปเกิดขึ้น ถ้าบุคคลใดที่ตาบอดแต่กำเนิด กรรมนั้นเองก็ไม่ทำให้จักขุทสกกลาปเกิดขึ้น

    กัมมชรูปนี้ ในการเกิดครั้งแรกๆ ก็คือเกิดด้วยผลของกรรมเดียวกันนั่นเอง และต่อมาด้วยกรรม ก็เป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิดดับสืบต่อกันไปทุกอนุขณะของจิต จนกระทั่งถึงก่อนที่จะจุติจิต เพราะว่ากัมมชรูป จะดับพร้อมกับจุติจิต สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้พร้อมกัน เพราะว่ากัมมชรูปนี้เป็นรูปที่มีชีวิต เพราะเหตุว่ามีชีวิตินทรยรูปเกิดร่วมด้วย

    จักขุปสาทรูปนี้ก็เป็นกัมมชรูป โสตปสาทรูปก็เป็นกัมมชรูป ฆนปสาทรูปก็เป็นกัมมชรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป แล้วก็ภาวรูปมีทั้งปุริสภาวรูป และก็อิตถีภาวรูป ซึ่งในแต่ละบุคคลก็จะมีได้เพียงภาวะเดียว บุคคลนั้นมีการที่ทำให้เกิดปุริสภาวรูป ภาวะรูปที่เป็นเพศชาย หรือว่าอิตถีภาวรูป ภาวะรูปที่ให้ทำให้เป็นเพศหญิง หทยรูปเป็นกัมมชรูป อีกรูปหนึ่งที่ต้องมีอยู่ในกัมมชรูปด้วย ก็คือชีวิตินทริยรูป ซึ่งรูปกลาปหนึ่งๆ เกิดเป็นกลุ่มๆ อย่างน้อย ๘ รูป ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส และโอชา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    20 ส.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ