สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 025


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๒๕

    วันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฏาคม ๒๕๔๕


    อ.สุภีร์ รูปกลาปหนึ่งๆ เกิด เป็นกลุ่มๆ มีรูปอย่างน้อย ๘ รูป คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส และโอชา ซึ่งเมื่อเป็นกลาปที่เกิดจากกรรม ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา เหล่านั้นก็เกิดจากกรรมด้วย รูปที่เกิดจากกรรม เกิดดับสืบต่อกันมา อุตุชรูปทำให้เกิดรูปอื่นขยายแตกไปมากมายเป็นรูปพรรณสัณฐานต่างๆ เป็นแขน เป็นขา เป็นคอ เป็นศีรษะ อะไรต่างๆ

    การรู้อารมณ์ ในทางต่างๆ มีอยู่ตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์แล้ว ทุกท่านก็คงจะสังเกต ว่า ขณะนี้เราก็มีการกระทบแข็ง กระทบเย็น กระทบอ่อน สำหรับเด็กที่อยู่ในครรภ์ก็เช่นเดียวกัน เพราะว่ามีกายปสาทรูปมาพร้อมตั้งแต่ปฏิสนธิจิตแล้ว และกายปสาทรูปก็เกิดดับสืบต่อกันมาทุกอนุขณะของจิตเลย

    ฉะนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัย มีของแข็งมากระทบ มีของร้อนมากระทบ ก็ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ได้ คงเห็นเด็กๆ ที่เขาอยู่ในท้องเขาก็อาจจะยันท้องมารดาบ้าง ดิ้นบ้าง เพราะเหตุว่าบางทีก็แม่อาจจะดื่มน้ำร้อนเข้าไป หรือรับประทานอาหารแสลงเข้าไปอย่างนี้เป็นต้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ได้

    ฉะนั้นการรู้อารมณ์ในทางต่างๆ ก็รู้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็ออกจากครรภ์ ทุกวันนี้เราก็สมมติกันว่าเป็นวันเกิด แต่จริงๆ แล้วพูดให้ถูกก็คือเป็นวันที่คลอดจากครรภ์นั่นเอง วันเกิดนี้คงไม่มีใครทราบ แต่ว่าก็คงจะพอประมาณได้ อาจจะบวกไปสัก ๙ เดือน ๑๐ เดือน ก็คงอยู่ประมาณนั้นเอง แต่ว่าจะให้ทราบจริงๆ ก็คงทราบไม่ได้

    อ. ประเชิญ ขณะแรกของชีวิต ก็มีชื่อรูปต่างๆ หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคย กัมมชรูป กายทสกะ หทยทสกะ เป็นชื่อที่หลายท่านว่าแปลกหู จริงๆ เป็นเรื่องของชีวิตของเราทุกท่าน ที่ดำเนินมาตั้งแต่การเกิดขึ้นในโลกนี้ครั้งแรก และมีจิตที่ทำหน้าที่เกิดขึ้น แล้วมีเจตสิกที่ประกอบร่วม มีรูปที่เกิดรวมกันตรงนั้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ครั้งแรกตอนเกิด ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เป็นอนัตตาจริงๆ คือไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา ไม่สามารถที่จะมีใครเลือกได้เลย เป็นจิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ก็ค่อยๆ โตขึ้น ตามลำดับ มีส่วนประกอบที่เกิดขึ้นตามกาล ตามอายุของสัตว์ ที่เกิดในภพภูมิ ที่เป็นภพภูมิมนุษย์ ถ้าเป็นเทวดาก็เกิดพร้อมทุกอย่างขึ้นทันที ไม่ต้องค่อยๆ โตเหมือนมนุษย์เรา

    เพราะฉะนั้นนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดขึ้น ที่เราสำคัญยึดถือว่าเป็นเราเป็นคนอื่น เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ ซึ่งก็จะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เรียนรู้ แต่ละศัพท์ต่างๆ ที่พระพุทธองค์ท่านทรงแสดงไว้ เพื่อจะให้เข้าใจว่าทั้งหมด ที่เรา ยึดถือสำคัญผิด ไม่มีเราเลย เป็นเพียงนามธรรมรูปธรรม ซึ่งก็จะมีชื่อเป็นภาษาบาลีต่างๆ นานา เราก็ค่อยๆ ที่จะคุ้นขึ้น ซึ่งก็จะมีมาตั้งแต่ครั้งแรก มีจิต และเจตสิก และรูป ๓ กลุ่ม ๓ กลุ่มนั้นก็ประกอบด้วยความเป็นหญิงเป็นชาย ครั้งแรกก็มีแล้ว ขณะที่ไม่สามารถที่จะมองด้วยตาเห็น หรือว่ากล้องทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้เลย ก็มีความเป็นหญิงเป็นชาย มีหทยรูปที่เป็นที่เกิดของจิต ก็มีชีวิตรูปที่รักษากัมมชรูปนั้นไว้ ก็เกิดมาตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

    หลังจากนั้นมา ตามอายุของสัตว์ก็จะมีส่วนประกอบที่จะทำให้รับผลของกรรม ไม่ว่าจะเป็นปสาทรูป ทางตาก็เป็นจักขุปสาท ส่วนประกอบที่จะทำให้เห็นรูปได้ทางตา เรียกว่าจักขุปสาท ส่วนทางหูเป็นโสตปสาทเป็นรูปที่เกิดทางหู ที่สามารถที่จะรับรู้เสียงได้ ส่วนทางจมูกก็เป็นฆานปสาท ทางกายก็เป็นกายสาท เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ที่ประกอบรวมกันเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นรูปร่าง แต่เมื่อแยกย่อยแล้ว แยกย่อยจนเรียกว่าถอยไปตั้งแต่ครั้งแรก ตั้งแต่มีเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้นมาๆ ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนในรูปนามนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ ทุกคน ไม่พ้นกรรม ไม่มีใครสามารถที่จะพ้นกรรมได้เลย แต่ไม่รู้ว่าขณะไหนเท่านั้นเอง ตอนเกิดก็เพราะกรรม และเมื่อมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายโดยกรรมทำให้เกิดขึ้น เพื่ออะไร เพื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้ม รส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นี้เป็นชีวิตประจำวัน มีใครบ้างที่วันนี้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีเลย เพราะเหตุว่ากรรมก็มีรูปเหล่านี้ เพื่อให้เกิดจิตที่เป็นผลของกรรม คือมีตาสำหรับเห็นขณะนี้ ซึ่งเราก็เลือกไม่ได้ ทุกคนอยากจะเห็นสิ่งที่ดีมากๆ เลย เพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทอง อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็แล้วแต่ว่ากรรม จะทำให้เห็นอะไร อยากได้กลิ่นหอม อยากได้เสียงเพราะ แต่ก็แล้วแต่กรรม

    เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าไม่พ้นกรรมคือทุกวันนี้ และตั้งแต่ตื่น ขณะนี้เรายังไม่ได้หลับ แต่คืนนี้ต้องหลับ ไม่หลับได้ไหม เราอยากหลับ หรือว่าต้องหลับ บางครั้งเราอยากหลับก็ไม่หลับ ต้องหลับก็ไม่ได้ บางครั้งอยากจะตื่นก็หลับไปแล้ว ก็ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่การตื่นหรือการหลับก็เป็นผลของกรรม เพราะว่าขณะตื่นเราเห็น รับผลของกรรมแล้วทางตา ได้ยินรับผลของกรรมแล้วทางหู ถ้ากรรมยังทำให้ต้องเห็น คือยังไม่ได้หลับ อาจจะมีรถชนกัน อาจมีฟ้าผ่า อาจมีอะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้น ไฟไหม้ แต่ถ้าหลับตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการที่เราจะรับผลของกรรมทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือรับผลโดยการหลับ ก็เป็นเรื่องซึ่งแต่ละคนก็ไม่สามารถที่จะเลือกได้เลยจริงๆ

    เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ว่าเราจะหนีไม่พ้นกรรม ไปที่ไหนก็คือมีตาไปด้วย มีหูไปด้วย มีจมูก มีลิ้น มีกายไปด้วย ซึ่งจะต้องรับผลของกรรมไปตลอด แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว ทุกคนเห็นเหมือนกัน แต่การสะสมตั้งแต่ปฏิสนธิตั้งแต่เกิดจิตขณะแรกต่างกัน เพราะว่าไม่ได้สะสมเพียงเฉพาะในชาตินี้ ถ้าเราไปเห็นเด็กที่แรกเกิด เหมือนๆ กันหมดเลยใช่ไหม จะรู้ไหมว่าข้างหน้าวิถีชีวิต วิถีจิตของเขาจะต่างกันไปสุดขีดอย่างไรก็ได้ เป็นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีการเกิดขึ้น ที่จะไม่มีการรับผลของกรรม เป็นไปไม่ได้ แต่แม้ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็ตาม เมื่อเห็นแล้ว จิตต่างคนก็ต่างเป็นไปตามการสะสม เราจะแลกจิตของเรากับจิตของคนอื่นไม่ได้เลย แต่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจคนที่เขาเกิดความโลภ หรือความโกรธ หรือการกระทำทุจริตได้ ว่าเขาสะสมอกุศลธรรม อกุศลกรรมต่างๆ หรืออกุศลเจตสิกต่างๆ ไว้มาก ทำให้ทันทีที่เห็น หลังจากที่เห็นดับไปแล้ว จิตที่เป็นกุศลจะเกิด หรือจิตที่เป็นอกุศลจะเกิดตามการสะสม เพราะฉะนั้นนอกจากการรับผลของกรรมแล้วก็ยังมีกิเลส ซึ่งเพราะมีกิเลสจึงเกิด คนที่ดับกิเลสหมดแล้ว เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายหลังจากที่จุติจิตดับ ใช้คำว่าปรินิพพาน หมายความว่า ดับโดยรอบเป็นสมุจเฉทมรณะ ไม่มีการเกิดอีกเลยแต่ว่าการที่จิตขณะหนึ่ง เกิดแล้วก็ดับไปแล้ว ขณะต่อไปเกิดแล้วดับไป เป็นขณิกมรณะ ชั่วขณะๆ แล้วก็จะเป็น สมมติมรณะ เวลาที่เราใช้คำว่าตาย คือ การสิ้นสุดสภาพของบุคคลนี้ในชาติหนึ่ง เราก็ใช้คำว่าตาย นั่นคือสมมติมรณะ เพราะว่าไม่ได้ตายจริงๆ เกิดทันที กรรมหนึ่งไม่ทราบว่าจะเป็นกรรมไหนไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ทุกคนที่ทำกรรมในชาตินี้แล้วจะจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่ากรรมใดที่ทำในชาตินี้ หรือกรรมก่อนๆ ซึ่งสามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ถ้ารู้อย่างนี้ ก็คงจะทำให้ทุกคน ทำกรรมดีเพิ่มขึ้น เพราะว่าเราก็มองเห็นชีวิตที่หลากหลายที่เป็นผลของกรรมที่ลำบากต่างๆ ตั้งแต่มนุษย์ที่ทุกข์ยากลำบากด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยการขาดอาหาร จนกระทั่งถึงสัตว์ต่างๆ ก็ยังมีความทุกข์ต่างๆ มากมาย เพราะว่ามีกายที่จะไม่มีทุกข์ ไม่ได้ เมื่อมีตาก็ต้องมีโรคตา มีหูต้องมีโรคหู มีจมูกต้องมีโรคจมูก มีลิ้นต้องมีโรคลิ้น มีกายก็ต้องมีโรคกาย เพราะฉะนั้นกายที่ทุกคนรักมาก เป็นที่เกิดที่ตั้งที่จะนำมาซึ่งทุกข์คือโรคภัยต่างๆ

    เพราะฉะนั้นชีวิตก็น่าศึกษา เพราะเหตุว่าจะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ ส่วนหนึ่ง คือรับผลของกรรม อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นอกุศล หรือกุศล แล้วแต่การสะสมซึ่งจะเป็นเหตุให้กระทำกรรมใหม่ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลข้างหน้าต่อไป ซึ่งตรงกับวัฏฏะ ๓ คือ กิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดกรรมวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดวิบากวัฏฏ์ แต่ถ้าเพียงย่อๆ อย่างนี้ เราก็ไม่สามารถจะรู้ว่ารับกรรมเมื่อไร ต่อเมื่อเรียนเรื่องจิต แล้วก็รู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ ขณะหนึ่งๆ จะต้องเป็น ๑ ใน ๔ ชาติ ไม่ใช่ชาติจีน ชาติไทย ชาติอะไรเลย แต่เป็นชาติของจิต คือ เกิดเป็นกุศลเป็นชาติหนึ่ง เกิดเป็นอกุศลชาติหนึ่ง เกิดเป็นวิบากคือเป็นผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรมชาติหนึ่ง และก็เกิดเป็นกิริยาจิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นจิตของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่วิบากจิต

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาพระธรรม ก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักแม้แต่อกุศลจิตที่เกิดแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งคนอื่นยังไม่ทันรู้เลยใช่ไหม แต่ผู้รู้คือตัวเอง ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นจิตประเภทใด แล้วถ้ายังมีการพูด หรือการทำ ก็รู้เลยคำพูดอย่างนี้ เกิดเพราะจิตประเภทใด คำพูดอย่างนั้นเกิดเพราะกุศลจิต หรืออกุศลจิต ก็เป็นเรื่องซึ่งเป็นชีวิตในแต่ละวันของแต่ละคน ซึ่งไม่สามารถที่จะพ้นจากธาตุซึ่งเป็นนามธรรม และรูปธรรมได้ เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงอนัตตาหรือธาตุ ทุกคนก็ไม่เคยยึดถือธาตุหนึ่ง ธาตุใดว่าเป็นเราเลย อย่างไฟที่ร้อนกองไฟนั้นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งร้อนไม่มีเจ้าของ ไม่มีของใคร จิตก็เช่นเดียวกันเป็นนามธาตุ ความต่างของธาตุที่เป็นนามธรรมจะต่างกับรูปธาตุ เพราะว่ารูปธาตุทางวิทยาศาสตร์ก็จะใช้ความสามารถจากเรื่องราวความทรงจำการเกิดขึ้นของจิต และเจตสิก และทำให้เกิดวิชาการสาขาต่างๆ แต่เขาไม่สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของจิตเจตสิกรูป ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้นอย่างมากที่ศาสตร์อื่นจะสอนจะทำไม่ว่าสาขาแพทย์ หรือว่าอะไรก็ตามแต่ก็เป็นแต่เพียงเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ซึ่งเกิดดับเร็วมาก ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ทุกวัน ก็เพราะเหตุว่ามีจิตเจตสิก และเป็นประเภทต่างๆ นั่นเอง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาก็จะทำให้เราเห็นได้ว่าไม่พ้นจากจิตเจตสิกรูป จึงใช้คำว่าปรมัตถธรรม นอกจากใช้คำว่าธรรม ซึ่งหมายความถึงอนัตตาไม่มีใครเป็นเจ้าของ ถ้าพูดถึงธรรมไม่ได้ชื่อสุจินต์ ไม่ได้ชื่อสุภีร์ ไม่ได้ชื่อประเชิญใช่ไหม แต่ก็มีชื่อตามกิจการงานหน้าที่ของธรรมนั้นๆ ถ้าเป็นกุศลก็เป็นชาติกุศล ไม่ใช่ชาติจีนไทย ไม่ว่าเกิดที่ไหนกับใคร โลภะความติดข้อง บนสวรรค์มีไหม เมื่อครู่นี้ก็สนุกกันมากใช่ไหม เทพธิดาหาเล่นกันเพลินๆ ไม่มีอะไรจะทำ ไม่มีทุกข์ยากแต่ความต้องการไม่พ้นเลย ต่อให้จะเกิดที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นในภูมิที่ยังมีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ วันหนึ่งๆ ก็จะแสวงหาแต่ความเพลิดเพลินจากสิ่งนั้น ยิ่งเป็นเทวดาก็ยิ่งมีเวลามาก ไม่ต้องไปกวาดบ้านถูบ้านทำอะไรเลย ใช่ไหม เวลาที่จะเพลิดเพลินได้มากมีคำกล่าวว่า สวนนันทวัน เป็นที่เพลิดเพลินจนกระทั่งลืมทุกอย่างได้ ภาษาไทยก็เอาสวนสวรรค์มาตั้งชื่อหมดเลยทุกสวน หมายความว่าเป็นที่ที่รื่นรมย์ แต่ว่าถึงอย่างนั้นนะ จุติจิตจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้

    ข้อสำคัญที่สุดคือว่าให้เรารู้จักตัวเราเองเพิ่มขึ้น เรื่องของวิบากเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ก่อนนี้อาจจะทุกข์โทมนัสว่าทำไมสิ่งนี้เกิดกับเรา เช่นที่บางคนชอบพูดทำไมต้องเป็นเรา ครั้งหนึ่ง ก็พูดกันบ่อยๆ เพราะอะไรเกิดขึ้น ก็ทำไมต้องเป็นเรา แต่ทางธรรมตอบตรงคือเพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นไม่ได้ กรรมที่ได้ทำมาแล้วทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในลักษณะอาการที่วิจิตรมาก การให้ผลของกรรม ถ้าจะสำรวจดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวต่างๆ จะเห็นวิถีของกรรม และการให้ผลของกรรมซึ่งคนเราบางคนก็นึกไม่ถึง มีท่านหนึ่งบอกว่าท่านเคยติดอยู่ในลิฟต์ ท่านก็เคยมาฟังธรรม ติดลิฟท์หลายชั่วโมงก็เป็นเรื่องซึ่งยากที่ใครจะเป็นอย่างนั้นบ่อยๆ ได้ใช่ไหม ก็เป็นเรื่องที่จะมองเห็นจริงๆ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ก่อนนี้เคยอาจจะเสียใจโทมนัส หรือคิดว่า เพราะคนนั้นคนนี้ทำให้ แต่ความจริงกรรมของเราเอง แล้วก็แลกเปลี่ยนกันไม่ได้ด้วยจะไปขอร้องให้รับผลแทนคนอื่นก็ไม่ได้ เช่นมารดาที่เห็นลูกป่วยไข้ ก็อยากจะป่วยไข้แทน ก็ไม่มีทาง หรือว่าลูกเห็นมารดาบิดาป่วยไข้ก็อยากจะป่วยไข้เสียแทน ก็เป็นไปไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะว่าแม้แต่รูปก็เกิดจากกรรมที่จะทำให้รับผลของกรรมต่างๆ

    ผู้ฟัง บุคคลจะเป็นคนที่ประเภทใดนั้นขึ้นกับปฏิสนธิจิต สำหรับบุคคลที่ปฏิสนธิจิตด้วยกุศล ทำแต่ความดีมา แล้วต่อมาได้แปรเปลี่ยนเป็นบุคคลในประเภทตรงข้าม และโดยนัยตรงข้ามคนที่เกิดมาด้วยจิตที่ไม่ดี แต่ตอนหลังว่ากลับกลายเป็นคนดี เช่นนี้เกี่ยวกับการสะสมด้วยหรือไม่

    อ.สุภีร์ แต่ละท่านก็คงไม่ได้สะสมมาเพียงสิ่งเดียว หลายๆ ท่านมาฟัง การบรรยายธรรมสนทนาธรรมในครั้งนี้ ก็คงจะเคยสะสมความสนใจในเรื่องของธรรมอยู่บ้าง พอได้ยินว่ามีการฟังพระธรรมมีการสนทนาธรรมจึงสนใจ แต่บางคนพอบอกว่ามีการสนทนาธรรมมีการฟังธรรม อาจจะหนีไปเลยก็ได้ อาจจะไม่สนใจเลย อาจจะไม่มองมาด้วยซ้ำก็ได้ ฉะนั้นแต่ละคนก็สะสมมาต่างๆ กัน แต่ถึงทุกท่านที่มาฟังธรรมในที่นี้ สะสมความสนใจในการที่จะพิจารณาความจริงของธรรมว่าเป็นเช่นไร แต่ก็สะสมความโลภมาด้วยไหม ความต้องการอะไรต่างๆ ก็มีมากมาย ความโกรธสะสมมาไหม เมื่อมีเหตุให้ความโกรธเกิด ความโกรธที่เคยสะสมมาก็เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นแต่ละท่านๆ สะสมสิ่งต่างๆ มาไม่ใช่เพียงสิ่งเดียว การที่ทุกท่านจะทราบว่าตัวเองสะสมอะไรมา ก็ต่อเมื่อมีสภาพธรรมหรือสิ่งนั้นเกิดขึ้นรุนแรงแค่ไหน เมื่อเราเห็นสิ่งที่ไม่พอใจเกิดความโกรธเกิดขึ้น รู้แล้วใช่ไหมว่าถ้าสะสมอะไรมา ก็เช่นเดียวกัน การสะสมมาของแต่ละบุคคล สะสมมาหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ทั้งดี และไม่ดี เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งที่สะสมไว้ที่ไม่ดีเกิด สิ่งนั้นก็เกิด ห้ามไม่ได้ใช่ไหม เพราะว่าสภาพธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา เป็นเรื่องของธรรม เป็นเรื่องของจิตเจตสิก เป็นเรื่องของรูป เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้สิ่งที่สะสมไว้ที่ดีเกิด สิ่งเหล่านั้นก็เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

    ก็เหมือนเราทั่วไปในชีวิตประจำวันบางวันก็รู้สึกจะเป็นกุศลดีใช่ไหม เห็นเพื่อนๆ ที่ทำงาน หรือผู้คนรอบข้างก็รู้สึกเป็นมิตรดีมากๆ เลย แต่บางวันเห็นใครก็รู้สึกว่าจะขวางหูขวางตาไปหมด เพราะเหตุว่าเราสะสมหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างมาทั้งที่เป็นกุศล และเป็นอกุศล กุศลก็มีหลายๆ อย่าง มีทั้งการให้ทาน การรักษาศีล การฟังพระธรรม หรือการช่วยเหลือผู้อื่น การเมตตากรุณาผู้อื่น ก็ได้สะสมมาเช่นเดียวกัน ในทางของฝ่ายอกุศล ก็ได้สะสมมาไม่น้อยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ความโลภที่เรียกชื่อว่าโลภะ ความโกรธ ที่เรียกว่าโทสะ หรือความไม่รู้การยึดในสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ ที่ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคลนี้ว่าเป็นของเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ของเรา เป็นลูกของเรา เป็นบ้านของเรา ก็สะสมมาทั้งนั้น

    ฉะนั้น การที่จะเข้าใจว่า แต่ละท่านนี้สะสมอะไรมาบ้าง ก็คือเมื่อสิ่งนั้นเกิด ก็รู้ว่าได้สะสมสิ่งนี้มานานแล้ว อย่างเราเห็นขณะนี้ ก็เป็นเราที่เห็น รู้ไหมว่าสะสมอะไรมามาก จึงเป็นเราที่เห็น สะสมความไม่รู้ และการยึดว่าเป็นตัวตนที่เคยยึดไว้มานานเหลือเกิน เพราะเหตุว่าแม้แต่ในชาตินี้เองตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็ยึดเช่นนี้นั่นเอง ชาติก่อนๆ อีก ชาติที่ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ชาติที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือชาติที่ไปเกิดเป็นเทวดามัวแต่เพลิดเพลินอยู่อีก ฉะนั้นก็จะสะสมมามากมาย ฉะนั้นด้วยการสะสมมา เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่สิ่งนั้นจะเกิด สิ่งนั้นก็เกิดโดยความเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ก็จะเป็นภวังคจิต แล้วจิตที่เกิดต่อจากนั้น เป็นวิถีจิตก็คือโลภะ ติดโดยที่ยังไม่ทราบเลยว่าเป็นอะไร เป็นใครอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าเพราะว่าขณะที่จะตาย คือเรารู้สึกเองว่าเหมือนจะตาย เราก็ติดไม่อยากที่จะจาก หวงมากร่างนี้ อย่างอื่นก็ไม่สนใจแล้ว แต่ไม่อยากจะจากร่างนี้ไปเลย จะเป็นเพราะว่าตั้งแต่เราเกิดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ตายคือถึงแก่กรรมใช่ไหม หมายความว่า กรรมสิ้นสุดไม่ทำให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไปจึงทำให้จุติจิตเกิด เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตก็เป็นผลของกรรม และภวังคจิตก็เป็นผลของกรรมยังตายไม่ได้เพราะว่ากรรมยังไม่หมด แต่พอถึงวาระที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ กรรมก็จะทำให้จุติจิตเกิดยับยั้งไม่ได้อีกเหมือนกัน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    27 ส.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ