สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 004
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๔
วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างมีจริงเพียงชั่วขณะที่ปรากฏ เช่น เสียงมีจริงชั่วขณะที่เสียงปรากฏ แล้วขณะนี้เสียงที่ปรากฏเมื่อครู่นี้หายไปไหน ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ไม่กลับมาอีกเลยทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้นถ้า สามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับด้วย ขณะนั้นก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา และปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องเราจะทำ หรือยังมีตัวตน แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกว่าเป็นธรรมยิ่งขึ้น
ผู้ฟัง เช่นนี้เราต้องปรับตัวอะไรบ้างหรือไม่ในการที่จะบรรลุไปถึงขั้นโสดาบัน จะต้องตัดจิตตัวไหนบ้างหรือไม่
ท่านอาจารย์ เรื่องจะทำใช่ไหม มีเราที่จะทำ
ผู้ฟัง ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาจากการฟังตามลำดับ
ผู้ฟัง ฟังธรรมจากที่ไหน
ท่านอาจารย์ กำลังฟังเดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง ตรงนี้เราก็กำลังทำอยู่
ท่านอาจารย์ ปริยัติศาสนา คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบูรณ์พร้อมคือไม่ใช่คำสอนที่เลื่อนลอยซึ่งใครก็พิสูจน์ไม่ได้ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ทรงแสดงเรื่องของสิ่งที่มีจริงกำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาของเราสามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่กำลังฟังจิตเจตสิกรูปก็เกิดดับไปเรื่อยๆ แต่เรากำลังฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิกเรื่องรูป ในขณะที่กำลังเห็น เราฟัง เรื่องจิตที่เห็น เพราะว่าโดยมากหลายคนจะไม่รู้จักจิตโดยถ่องแท้รู้แต่เพียงว่ามีจิต คนที่สนใจเรื่องจิต ก็จะไปแสวงหาหนังสือหลายๆ เล่มจากนักปราชญ์ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตามแม้สมัยปัจจุบัน โครงการต่างๆ ได้ไหมเพื่อที่จะพยายามเข้าใจจิต แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้แจ้งจิตอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ และทรงแสดงให้บุคคลอื่นสามารถจะรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงอ่าน เพราะเหตุว่าการศึกษาเพียงขั้นฟัง เป็นปริยัติศาสนา แต่เราไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมเพียงโดยการฟัง เพราะขณะนี้หูได้ยิน และก็ทางตาก็มีจิตที่เห็น มีจิตที่ได้ยิน และก็มีเรื่องราวคิดนึก แต่ว่าไม่มีการรู้ลักษณะของแต่ละธรรมที่เป็นเห็นซึ่งเป็นนามธาตุไม่ใช่เรา เพียงเกิดขึ้น และดับไป เรียกว่านามธาตุที่สามารถจะได้ยินเพราะอาศัยหู นามธาตุชนิดนี้จึงเกิดขึ้น และก็ได้ยินเสียง ซึ่งเสียงไม่มีรูปร่างอย่างสี อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่จิตสามารถจะรู้สิ่งซึ่งแม้ไม่มีรูปร่าง แต่ว่าจิตรู้ได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรเลยซึ่งจิตไม่รู้ อย่างเวลาที่เรารับประทานผลไม้บางอย่างเช่นที่มีรสต่างๆ อย่างกล้วย ก็มีเปลือกแล้วก็มีรสของกล้วย ใครจะคิดแค่ว่าจิตสามารถที่จะลิ้มรสของกล้วย หรือรสของทุกๆ อย่างได้ เกลือน้ำตาลกาแฟชาทั้งหมด เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่กระทบลิ้น รสจะปรากฎได้ไหม รสปรากฏไม่ได้ เพราะจิตไม่ได้เกิดขึ้นลิ้มรส เพราะฉะนั้นขณะใดที่รสปรากฏ ย้อนไปนึก เข้าใจได้ทันทีว่าขณะนั้นต้องมีนามธาตุ หรือสภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นจึงสามารถที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้
เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่จิตเกิดต้องรู้แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ด้วยความไม่รู้ก็มีความทรงจำจากขณะแรกๆ ทำให้สามารถที่จะรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเรื่องจะทำ หรือจะตัด เพราะว่าเป็นไปไม่ได้เลย เป็นหน้าที่ของปัญญาที่จะค่อยๆ อบรมเจริญขึ้น
ผู้ฟัง ที่เรากำลังฟังอยู่เป็นธรรมใช่ไหมคะ ที่อาจารย์พูดไว้ว่าธรรมแบ่งออกเป็น ๒ อย่างก็คือนามธรรมกับรูปธรรม ถ้าสมมติว่าในรูปลักษณะที่ว่า ธรรม ถ้าแบ่งเป็นบัญญัติธรรม กับปรมัตถธรรม จะต่างกับนามธรรมกับรูปธรรมอย่างไรคะ
ท่านอาจารย์ ขณะนี้เรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องชื่อต่างๆ เราพูดถึงสิ่งที่มีจริง ว่าสิ่งที่มีจริงในชีวิตคืออะไร พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องเป็นปรมัตถ์ธรรม
ผู้ฟัง ถ้าสมมติเรารู้เรื่องสิ่งที่มีจริงแล้วเราสามารถที่จะหลุดพ้นได้ไหม ถ้าสมมติเราไม่เข้าสู่กับปรมัตถ์ธรรมคือทางธรรม ซึ่งจะถามอาจารย์เกี่ยวกับว่าทางโลกปัจจุบันที่เราอยู่กับทางธรรมต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ธรรมแล้วก็จะรู้แจ้งว่าเป็นอริยสัจธรรมได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ทราบค่ะ
ท่านอาจารย์ เราได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม อริยสัจธรรม ธรรมสัจจะ สิ่งที่มีจริงของพระอริยะบุคคลที่ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว เพราะฉะนั้นเราเพียงพูดชื่อที่ท่านเหล่านั้นได้ประจักษ์แจ้ง แต่ว่าสภาพธรรมนั้นยังไม่ปรากฏกับบุคคลใดก็ยังไม่แจ่มแจ้งกับบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เรารู้ว่าขณะนี้มีจิตเจตสิกรูปก็จริง แต่ถ้าไม่มีคำสำหรับเรียกเราสามารถที่จะรู้ความต่างของจิตกับเจตสิกหรือไม่ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แต่จิตไม่โกรธ จิตไม่ดีใจ จิตไม่จำ จิตไม่เมตตา เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เป็นเจตสิกประเภทต่างๆ ซึ่งจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้น ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ชนิด หรือ ๗ ประเภท เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเวลาที่เราจำเป็นจะต้องใช้คำเพื่อที่จะแสดงความต่าง หรือว่าชื่อต่างๆ ก็เพราะเหตุว่าขณะนั้น มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้จึงสามารถคิดคำ ถ้าไม่มีจิตที่คิดคำ หรือเรื่องราวต่างๆ คำ หรือเรื่องราวต่างๆ นั้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นปรมัตถธรรม มีลักษณะจริงๆ เกิดดับจริงๆ แต่ต้องอาศัยคำซึ่งเป็นบัญญัติเรียกสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้หมายรู้ว่าหมายความถึงสิ่งใด เช่นถ้าพูดถึงจิต ไม่ได้หมายความถึงเจตสิก ไม่ได้หมายความถึงรูป และคำต่างๆ การนึกคิดต่างๆ นี่เป็นบัญญัติ เป็นอารมณ์ของจิต ถ้าไม่มีจิต ก็จะไม่มีบัญญัติ คุณสุภีร์จะให้ความหมายของบัญญัติในภาษาบาลีนิดหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
อ.สุภีร์ คำว่าบัญญัติมาจากภาษาบาลี ว่าปัญญัตติ "ญัตติ" แปลว่าให้รู้ "ปะ" บทหน้าก็หมายความว่าโดยประการนั้นๆ ปัญญัตติก็คือการให้รู้โดยประการนั้นๆ หรือว่าสิ่งที่ให้รู้โดยประการนั้นๆ คือรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จริงๆ แล้วการที่จะมีบัญญัติต่างๆ ได้ก็คือต้องมาจากสิ่งที่มีจริงก็คือจิตเจตสิกรูปนั่นเอง ทุกท่านมองมาแล้ว มองมาเห็นเป็นแก้วใช่ไหม ยังไม่ต้องใช้คำอะไรเลยเป็นปัญญัตติคือให้รู้ว่าเป็นแก้ว จริงๆ เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ ถ้าเราไม่ได้มองเห็นจะไม่เห็นสิ่งนี้เลย สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือมองเห็น เห็นแล้วก็คิดสิ่งที่เห็น ฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ก็คือจิตที่เห็น แล้วก็จิตที่คิดเรื่องสิ่งที่เห็น แต่ว่าปัญญัตติ เกิดจากการคิดทางใจ สามารถรู้ได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหมายรู้กันว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือการเห็น เห็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ต่างๆ แล้วก็คิดเรื่องสิ่งที่เห็น แล้วก็หมายรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นั่นแหละเป็นปัญญัตติ ให้รู้โดยประการนั้นๆ ทุกท่านมองมาก็คงจะเห็นเป็นไมโครโฟน เป็นคนนั้น คนนี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นปัญญัตติก็คือให้รู้โดยประการนั้นๆ ตามที่จิตนึก แล้วก็แล้วแต่ว่าภาษาในภาษาไทยจะใช้คำนี้ ภาษาอังกฤษจะใช้อีกคำหนึ่ง ภาษามาเลเซีย ภาษาเขมร ภาษาลาวจะใช้คำอะไรก็ตามแต่ ก็เป็นการคุยกันเพื่อให้รู้ แต่ถึงไม่ใช่คำ ก็เป็นการหมายรู้ไปแล้ว ก็คือเป็นการคิดนึกทางใจถึงเรื่องราวต่างๆ นั่นเอง เรียกว่าปัญญัตติ ให้รู้ว่าเป็นอะไรให้รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งของอะไร เป็นสัตว์ชนิดใด นี่เป็นความหมายของปัญญัตติ ซึ่งบัญญัติ จะมีได้ก็ต้องมี จิตเจตสิกรูปของจริง สิ่งที่มีจริงๆ ที่เราได้คุยกันมาแล้ว อย่างแก้ว ก็เป็นรูป เพราะว่าแก้วไม่มีนามธรรมเกิดร่วมด้วย ไม่มีชีวิต ก็มีเพียงรูปธรรมเท่านั้นเอง เวลารูปธรรมมาปรากฏกับจิตเห็นของเรา เราก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็น กลายเป็นแก้ว เป็นอะไรไป เป็นการคิดในทางใจที่เป็นบัญญัติ ซึ่งถ้าไม่มีจิตที่คิดก็ไม่มีบัญญัติ
ท่านอาจารย์ ขอเพิ่มเติมนิดหน่อย ความจำนี่มีไหมคะ ต้องมีแน่นอนใช่ไหม ทุกคนจำได้ ลักษณะที่จำเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นนะคะ มีจริงๆ นะคะ เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม เป็นนามธรรมนะคะ เป็นจิตหรือเจตสิก เป็นเจตสิก นี่ค่ะคือหมายความว่าจิตเขาจะไม่จำ จะไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น จิต เป็นใหญ่ในการเห็นแจ้งอารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏสิ่งที่จิตกำลังรู้ ไม่ว่าจะทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างเวลาที่ได้ยินเสียง สามารถที่จะจำได้ทันทีใช่ไหม เสียงโทรศัพท์มือถือหรือว่าเสียงอะไร หรือว่าเพียงรับโทรศัพท์ด้วย จำเสียงคนพูดได้ทันที เพราะฉะนั้นลักษณะที่จำเป็นเจตสิก เจตสิกจะไม่เกิดกับจิตได้ไหม ไม่ได้ จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกได้ไหม ไม่ได้ เพราะว่าจิตกับเจตสิกเป็นนามธรรมซึ่งต้องเกิดร่วมกัน เพราะฉะนั้นความจำเป็นเจตสิก ความรู้สึก ดีใจ เสียใจ เฉยๆ ะ มีจริงๆ ไหม มี เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นเป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า เป็นอภิธรรมหรือเปล่า เป็น ถ้ารู้จักธรรมแล้วก็จะมีคำขยายเพิ่มเติม เช่น ธรรมก็ต้องเป็นปรมัตถธรรม ถ้าใช้คำว่าธรรมไม่ได้เรียกเป็นชื่อคนโน้นคนนี้เลยสักคนเดียวใช่ไหม แต่ใช้คำว่าธรรม แสดงความเป็นใหญ่ของสภาพธรรมนั้นซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
เพราะฉะนั้นการที่ธรรมมีลักษณะอย่างนั้นซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ใช้คำว่าปรมัตถธรรมเป็นบัญญัติใช่ไหม คำว่าปรมัตถธรรม แต่มีสภาพธรรมจริงๆ ลักษณะของสภาพธรรมนั้นแหละเป็นปรมัตถธรรมเพราะใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อีกชื่อหนึ่ง อีกคำหนึ่ง คร่าวๆ ไม่ละเอียดนะคะ ก็คืออธิธรรม เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่าธรรม ปรมัตถธรรม อภิธรรม ก็คือความหมายเดียวกัน ถ้ามีคนบอกว่ารู้จักธรรมแต่ไม่รู้จักปรมัตถธรรม ถูกต้องไหมคะ ไม่ถูก เพราะถ้าเข้าใจธรรม รู้จักธรรมก็ต้องรู้ว่าธรรมเป็นปรมัตถธรรมแล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย เชิญคุณสุธี
อ.สุภีร์ โดยความหมาย ปรมัตถธรรม มาจากคำว่าปรมะ แปลว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือว่าไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ปรมะ บวกกับอรรถ อรรถ ก็คือลักษณะของเขา อย่างเช่นการเห็น เป็นลักษณะอย่างหนึ่ง ใช่ไหม สิ่งที่เห็นก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่ง ก็คือเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ทางตา เสียงก็มีลักษณะ หนึ่ง คือสามารถได้ยินได้ทางหู ทางตาไม่สามารถได้ยินได้ ฉะนั้นเสียงก็มีอีกลักษณะ หนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาได้ก็มีอีกลักษณะหนึ่ง แข็งก็มีอีกลักษณะหนึ่งก็คือสามารถปรากฏได้ทางกาย อย่างนี้เรียกว่าลักษณะ ปรมัตถธรรม ก็มาจากคำว่าปรมะบวกอรรถบวกธรรม ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ฉะนั้นเมื่อรวมศัพย์ทั้งหมดแล้วปรมัตถธรรมก็คือสภาพธรรมที่มีจริงที่มีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่าจะใช้ชื่อต่างๆ อย่างการเห็น ภาษาไทยเรียกว่าการเห็น ภาษาบาลีเรียกว่าจักขุวิญญาณ ก็ได้ทราบเพิ่มมาอีก หนึ่ง ก็คือภาษาบาลีเรียกว่าจักขุวิญญาณ ภาษาอังกฤษอาจจะเรียกเป็นอีกชื่อหนึ่ง หรือว่าภาษาอื่นอาจจะเรียกชื่ออื่น แต่ก็คือการเห็นนั่นเอง นี้เป็นความหมายของปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
ส่วนคำว่าอธิธรรม คำว่า อภิ แปลว่าละเอียด จริงอยู่ว่าธรรมสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน คือจิตเจตสิกรูป แต่อภิธรรม ก็คือกล่าวเรื่องจิตเจตสิกรูปโดยละเอียดยิ่งขึ้นไป ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าทุกๆ อย่างที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันที่ปรากฏหรือว่าจะปรากฏอีกต่อไปข้างหน้าก็เป็นธรรมเท่านั้น คำว่าอภิธรรมก็คือธรรมที่ละเอียด แสดงโดยละเอียดไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลไปแทรกอยู่ในนั้น อย่างพูดถึงการเห็นก็จะมีชื่ออย่าง หนึ่งเรียกให้ละเอียดลงไป ถ้าเป็นความโกรธก็จะมีชื่ออย่างหนึ่งเรียกลงไปให้รู้ว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นการแสดงธรรมอีกนัยหนึ่ง ทุกท่านอาจจะคุ้นเคยกับคำว่าพระอภิธรรมปิฏก ก็คือปิฏกๆ หนึ่ง ในส่วนของพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงสภาพธรรม หรือสิ่งที่มีอยู่จริงโดยละเอียดเลย เพราะว่าการแสดงโดยพระสูตรแสดงโดยว่ามีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบ้าง มีนางวิสาขามหาอุบาสิกาบ้าง บุคคลนั้นบุคคลนี้บ้าง ท่านพระอานนท์บ้าง ท่านพระสารีบุตรบ้าง ก็กล่าวสภาพธรรมที่มีจริงนั่นแหละแต่ยังไม่ละเอียด แต่พระอภิธรรมกล่าวธรรมที่มีจริงโดยละเอียดเลยไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง ฉะนั้นความหมายของปรมัตถธรรม กับอภิธรรมความแตกต่างก็อย่างที่ผมได้กล่าวไป แต่จริงๆ แล้วก็คือสภาพธรรมที่มีจริงนั่นเอง
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณประเชิญพูดถึงเรื่องบัญญัติด้วยค่ะ
อ.ประเชิญ สำหรับบัญญัติ อย่างที่คุณสุภีร์ได้กล่าวถึงศัพท์ และความหมายไปแล้ว สิ่งที่สมมติขึ้นที่จิตคิดขึ้น โดยอาศัยปรมัตถธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม หรือของคณะของแต่ละที่ ซึ่งก็จะใช้แต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน แต่ว่าความจริงที่ ไม่ต้องใช้บัญญัติเลยที่เป็นปรมัตถธรรม หรือว่าอภิธรรม หรือว่าธรรม ก็เป็นสิ่งที่มีเหมือนกันหมด คือ จะใช้ศัพท์ต่างกันบัญญัติต่างกันแต่ความจริงเหมือนกัน อย่างเช่นลักษณะที่ร้อน ภาษาไทยไทยอย่างหนึ่ง ใช่ไหมครับ ภาษาอังกฤษใช้อย่างหนึ่ง ภาษาจีนใช้อย่าง หนึ่ง แต่ว่าความจริงที่ทุกคนรู้ได้นะครับ ที่จิตรู้ได้ที่เป็นสภาพที่ร้อนปรากฏทางกาย นี่คือปรมัตถธรรม แต่ว่าศัพท์ที่บัญญัติ ที่ให้รู้ เป็นที่ให้รู้กัน คือบัญญัติ เพราะฉะนั้นเราก็ได้เรียนรู้เรื่องบัญญัติมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้วใช่ไหม ไปจนถึงปริญญาโทเอกต่างๆ ก็เป็นเรียนรู้เรื่องของบัญญัติที่เป็นวิชาแขนงต่างๆ เป็นการรู้เรื่องราวของความจริง วิชาแขนงต่างๆ เป็นเรื่องราวของความจริง ไม่ได้รู้ตัวจริงๆ ของปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้นการที่เราจะค่อยๆ เรียนรู้เรื่องของปรมัตธรรมก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และผู้ที่รู้แล้วก็จะเป็นบุคคลที่ประเสริฐ ที่เรียกว่าอริย ซึ่งก็จะไปตรงกับปัญหาที่ท่านหนึ่งถามใช่ไหมครับที่ว่า การที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรในชีวิตประจำวันที่จะเป็นผู้ที่มีความสุขได้ ซึ่งผู้ที่มีความสุขที่สุด ก็คือ พระอรหันต์ใช่ไหมครับ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวแล้วว่าระอรหันต์ท่านเป็นผู้ที่ไม่ยึดถือไม่สำคัญในตัวเอง การดำรงชีวิตอยู่ของท่าน ท่านไม่มีความหวังไม่มีความต้องการ ไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงเหล่านี้เลย ที่นี่ค่อนข้างก็จะมีความสุข แต่ก่อนที่ท่านจะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็จะค่อยๆ ละกิเลสไปตามลำดับครั้ง ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี แต่ผู้ที่จะเป็นพระอริยะบุคคลเหล่านี้ได้ท่านก็ต้องรู้ความจริงก็คือปรมัตถธรรม หรืออภิธรรม หรือว่าธรรมนี่เอง ที่ระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เพราะว่าถ้าเรายังรู้เพียงบัญญัติก็ไม่ได้รู้ความจริงใช่ไหมครับ แต่ถ้ารู้ปรมัตถธรรมซึ่งมีอยู่จริง ที่เราสำคัญผิดทำให้เราสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี หวั่นไหวไปในวันๆ หนึ่ง ก็เพราะว่า เรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ เสียงที่มีความหมายต่างๆ กันทำให้เราหวั่นไหวไปเหล่านั้นก็ทำให้เรา เกิดความทุกข์ ทำให้เกิดการทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่าเรียนรู้น่าศึกษาน่าเข้าใจนี่ก็คือปรมัตถธรรม เพราะว่า จะมีแสดงเฉพาะยุคที่พระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่มีคำว่าปรมัตถธรรม แล้วก็ไม่มีการที่จะแสดงสภาวลักษณะของปรมัตธรรม สภาวลักษณะของอภิธรรม สภาวะลักษณะของธรรม เพราะฉะนั้น การที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว แล้วก็ได้ฟังธรรม ไม่ควรที่จะทิ้งโอกาสเหล่านี้ไป ควรที่จะค่อยๆ เรียนรู้ในความจริงที่มีจริงในชีวิตประจำวัน จะทำให้เราได้รู้ความจริง แล้วก็จะทำให้เราถึงความเป็นพระอริยะบุคคล คือเป็นผู้ที่ประเสริฐในอนาคตได้ถ้าเรารู้จริงๆ
ท่านอาจารย์ ก็ขอทบทวนเพิ่มเติมว่า ขณะนี้คะมีรูปธรรมหรือไม่ มีนะคะ ก็เป็นรูปขันธ์ คือจะใช้เข้าใจขันธ์ ๕ ในวันนี้ ถ้าเข้าใจคำว่ารูปหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วไม่ใช่สภาพรู้ รูปทุกชนิดเป็นรูปขันธ์ คำว่าขันธ์ หมายความว่ากอง หรือส่วน หรือประเภท เพราะว่าลักษณะของรูปจะเป็นนามธรรมไม่ได้เลย รูปในอดีต ก็เป็นรูปธรรมคือไม่ใช่สภาพรู้ รูปในขณะนี้ก็ไม่ใช่นามธรรม เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพรู้ รูปในอนาคตก็เป็นรูป เพราะฉะนั้นสภาพของรูปธรรมไม่ว่าจะเกิดแล้วดับไป หรือว่าจะเกิดขึ้นข้างหน้า หรือขณะที่กำลังเป็นรูปธรรมขณะนี้ ก็เป็นส่วนของรูป จึงเป็นรูปขันธ์ ขันธ์ทั้งหมดมี ๕ รูปขันธ์ได้แก่รูปทุกชนิดทุกประเภท สำคัญไหมคะ สำคัญมาก ที่จะต้องรู้ว่าเป็นเพียงรูป แต่ความจริงแล้วเราก็ทุกคนติดในรูป สุข ทุกข์ เพราะรูป แสวงหารูปตั้งแต่เกิดมาไม่รู้เลยว่ามีความพอใจในรูปมากน้อยแค่ไหน ในรูปทางตาต้องสวย ทุกอย่างเลยไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน ทีไหนก็ตาม ในสวน หรือที่ไหนทั้งหมดก็คือต้องให้เป็นสิ่งที่น่าพอใจ นี่แสดงให้เห็นถึงความติดข้องในสิ่งที่เป็นเพียงรูปซึ่งสามารถจะปรากฏสำหรับผู้ที่มีจักขุปสาท คือผู้ที่เห็นได้เท่านั้นเอง แต่เมื่อเห็นแล้ว ความติดมากมายสักแค่ไหน การแสวงหารูปของทุกคนต้องมี แล้วแต่ว่าเราจะมีความติดในรูปนั้นมากน้อยแค่ไหน แม้แต่รถยนต์ ชอบรูปอะไร ไฟชนิดไหน สีอะไร ทุกอย่างทั้งหมดในชีวิต รูปขันธ์เป็นสิ่งที่ติดข้อง แล้วก็ยากที่จะดับได้ ผู้ที่จะละความยินดีติดข้องในรูปในเสียงในกลิ่นในรส ต้องรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 001
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 002
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 003
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 004
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 005
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 006
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 007
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 008
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 009
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 010
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 011
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 012
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 013
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 014
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 015
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 016
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 017
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 018
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 019
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 020
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 021
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 022
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 023
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 024
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 025
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 026
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 027
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 028
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 029
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 030
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 031
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 032
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 033
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 034
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 035
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 036
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 037
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 038
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 039
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 040
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 041
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 042
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 043
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 044
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 045
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 046
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 047
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 048
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 049
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 050
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 051
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 052
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 053
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 054
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 055
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 056
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 057
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 058
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 059
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 060