สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 042


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๔๒

    วันจันทร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ เราทุกคนอยากจะมีกุศลจิต ใช่ไหม แต่ว่าเวลาที่เห็นแล้ว ทำไมเป็นอกุศล ถ้าเราสะสมอกุศลมามากมาก เราจะพยายามสักเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อโวฏฐัพพนะจิตดับไปต้องเป็นไปตามการสะสมว่าขณะนั้นจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตประเภทใด ขณะนั้นไม่ใช่วิบาก ไม่ใช่กิริยา แต่เริ่มเป็นเหตุใหม่ที่สะสมสืบต่อไปที่จะทำให้เป็นกรรมซึ่งจะให้เกิดวิบากต่อไป เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ส่วนหนึ่งของชีวิตก็คือวิบากซึ่งเป็นผลของกรรมเก่า และกุศล และอกุศลซึ่งเป็นเหตุคือกรรมใหม่ เมื่อได้กระทำกรรมสำเร็จลงไปที่เป็นกุศลกรรม อกุศลกรรมที่จะให้ผลต่อไปข้างหน้าไม่หยุด เช่น ขณะนี้ที่เป็นกุศลนี้ตามการสะสมที่ได้ฟัง และสามารถที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน หรือการฟังครั้งที่ ๑ ก็ไม่เหมือนการฟังอีก ๒ ปี ๓ ปี ใช่ไหม ก็มีการสะสมเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นหลังจากที่โวฏฐัพพนะดับไปแล้วก็เป็นกุศลหรืออกุศลสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ ที่จะทำให้เกิดกุศลจิต และอกุศลจิตเลย สำหรับพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต

    ผู้ฟัง ได้ยินจากที่กล่าวกันว่ากิเลส กรรม วิบาก เหตุใดไม่กล่าวว่ากุศล กรรม วิบากบ้าง

    อ.กฤษณา ประเด็นนี้หมายถึงว่า การที่จะกระทำกรรมแล้วก็จะมีวิบากเกิดขึ้นเพราะว่ากรรมเป็นเหตุ วิบากก็เป็นผลของกรรม จะต้องมีกิเลส ซึ่งกิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสที่เป็นกิเลสตัวใหญ่คือ อวิชชา คือโมหะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นมลทินอย่างยิ่ง เมื่อมีโมหะก็เป็นเหตุ เรียกว่าเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งมี ๓ อย่าง ที่เป็นอภิสังขารคือปรุงแต่งอย่างยิ่ง คือ อปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร สำหรับอปุญญาภิสังขารก็เป็นเจตนาเจตสิกที่ประกอบกับอกุศลจิต เมื่อเกิดขึ้นก็จะกระทำอกุศลกรรม ส่วนปุญญาภิสังขารเป็นเจตนาเจตสิกที่ประกอบกับกุศลจิตที่เป็นไปเกี่ยวกับรูป เสียง กลิ่นรส สัมผัส หรือเกี่ยวกับรูปวจรกุศลด้วย ก็จะกระทำกุศลกรรม เพราะฉะนั้นกิเลส กรรม วิบาก ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน เมื่อกิเลสคือโมหะเป็นกิเลสตัวใหญ่ ก็ให้กระทำกรรมซึ่งเป็นการปรุงแต่งอย่างยิ่งไม่ว่าจะกระทำบุญหรือกระทำบาป เมื่อกระทำกรรมซึ่งเป็นเหตุแล้วเมื่อมีเหตุ ผลต้องมี เพราะฉะนั้นวิบากนี้คือผลของเหตุคือกรรมที่กระทำ นี้ก็เป็นการวนเวียนกันในสังสารวัฎซึ่งก็เรียกว่าเป็นกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ เป็นเรื่องของวัฏฏสงสารนั่นเอง

    ผู้ฟัง หนึ่งขณะจิตนี้เราไม่สามารถที่จะรู้กุศลหรืออกุศล และเร็วมาก แล้วจะต้องไปถึงกี่ขณะจิตโดยคร่าวๆ

    ท่านอาจารย์ เวลานี้มีเห็น รู้ปัญจทวาราวัชชนะกิจซึ่งเกิดก่อนไม่ได้ ใช่ไหม หลังจากที่เห็นดับไปแล้วจะรู้สัมปฏิฉันนะ สันติรนะ โวฏฐัพพนะก็ไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นทีละ หนึ่งขณะเท่านั้น แต่ว่ากุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดซ้ำกัน ๗ ขณะ ที่ใช้คำว่าชวนะนั้นก็คือว่าไม่มีกิจอื่นอีกแล้วที่จะต้องทำ เห็นแล้ว รับแล้ว รู้แล้ว และพิจารณาแล้วก็คือเป็นกุศลหรืออกุศลในสิ่งที่ปรากฏ แต่ ๗ ขณะนี้ก็สั้นอีก เพราะฉะนั้นเราคงจะไม่ต้องไปนับว่ากี่วาระที่รูปเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็จิตก็เกิดขึ้นรู้รูปแล้วก็ดับ และก็รูปเกิดอีก และกระทบอีก และก็เกิดอีกแล้วก็ดับ

    ผู้ฟัง หนึ่งขณะ หนึ่งวิถีจิตก็ยังไม่รู้กุศลหรืออกุศล เป็นพันๆ หรือเป็นหมื่นๆ วิถีหรือเป็นเท่าไร

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่นับ ถ้านับขณะนั้นก็ไม่รู้เพราะกำลังนึกถึงคำ

    ผู้ฟัง อีกประการหนึ่งที่กล่าวว่า หนึ่งอนุขณะจิตยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะไปรู้ได้อย่างไร หนึ่งวิถียังไม่รู้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใครรู้

    ผู้ฟัง ก็รู้คล้อยตามเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ต้องมีผู้รู้ ผู้ทรงแสดงซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะแสดงได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาพระไตรปิฎก การฟังพระธรรมให้ทราบว่าเป็นธรรมจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่บุคคลอื่น ทุกคนที่กล่าวตามเป็นผู้ที่ฟัง พิจารณาแล้วก็แสดงตาม แม้ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เอตทัคคะหรือท่านพระสารีบุตร ท่านพระอานนท์ทุกท่านกล่าวว่าท่านกล่าวตามเพราะเหตุว่าเป็นสาวก

    ผู้ฟัง หนึ่งวิถีจิตนี้ในหนึ่งแถวเลย ๑๗ ขณะจิตนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจก่อนที่จะรู้ต้องเข้าใจจากการฟังก่อน เช่น ขณะเห็น ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้จึงสามารถเห็น ในขณะที่รูปไม่สามารถจะเห็น ไม่สามารถจะรู้ ไม่สามารถจะคิด ไม่สามารถจะจำอะไรเลย เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ที่เราได้ฟังธรรมแล้วเราก็สามารถที่จะเข้าใจว่าลักษณะนี้ที่กำลังปรากฏ เป็นลักษณะของรูปธรรมหรือว่าเป็นลักษณะของนามธรรม ธรรมก็ไม่อยู่ไกลเลย ทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ในขณะที่เห็นสามารถที่จะรู้ว่ามีธาตุรู้จึงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่ธาตุรู้หรือสภาพที่เห็น ก็เริ่มเข้าใจว่าขณะนั้นไม่มีเรา แต่มีนามธรรมหรือจะใช้คำว่านามธาตุก็ได้ซึ่งเป็นสภาพรู้เกิดขึ้นแล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่ละขณะซึ่งไม่ใช่ขณะเดียวกัน แต่ก่อนที่จะเห็น หรือจะชอบ ไม่ชอบ จิตจะต้องเกิดดับสืบต่อตามวิถีของจิต เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะว่าการตรัสรู้แล้วก็คือเมื่อทรงแสดงสิ่งที่ได้ตรัสรู้ตามความเป็นจริงสิ่งนั้นไม่เป็นสอง คือจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมใดที่ตรัสแล้วไม่เป็นสองคือต้องเป็นตรงตามนั้น เพราะว่าไม่ใช่คิด ไม่ใช่ไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้นจริงๆ

    ผู้ฟัง ในหนึ่งวิถีถ้าเป็นอติมหันตารมณ์ ก็พอจะรู้ แต่ถ้าเป็นอารมณ์ธรรมดาหรือปริตารมณ์ก็จะไม่ค่อยรู้

    อ. สุภีร์ อารมณ์ทั้ง ๔ เมื่อแยกก็จะเป็น อติปริตตารมณ์เล็กน้อยอย่างยิ่ง ปริตตารมณ์อารมณ์เล็กน้อย มหันตารมณ์อารมณ์ที่มีกำลังใหญ่ อติมหันตารมณ์ อารมณ์ที่มีกำลังมาก ตามปกติแล้วในวิถีจิตวิถีหนึ่ง ทางปัญจทวารจะมี ๗ วิถีติดต่อกัน ชวกิจซึ่งเป็นชวนวิถี เป็นวิถีลำดับที่ ๖ ซึ่งจำแนกวิถีลำดับที่ ๑ คืออาวัชนะวิถี วิถีลำดับที่ ๒ คือปัญจวิญญาณวิถี มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส วิถีลำดับที่ ๓ ก็คือสัมปฏิฉันนวิถี วิถีลำดับที่ ๔ คือสันติรนวิถี วิถีลำดับที่ ๕ คือโวฏฐัพพนวิถี และวิถีลำดับที่ ๖ ก็คือชวนวิถี ซึ่งกระทำชวนกิจเป็นกิจที่ ๑๒ กิจของจิตมี ๑๔ กิจ กิจสุดท้ายก็คือจุติกิจซึ่งเป็นกิจที่ ๑๔ กิจที่ ๑๓ คือ ตทาลัมพนะกิจ บางครั้งก็ใช้คำว่าตทารัมณะก็ได้ จะใช้คำว่าตทาลัมพนะก็ได้ เพราะเหตุว่าในภาษาบาลีคำว่าอารัมมณะก็ดี อาลัมพนะก็ดี ความหมายก็คือสิ่งที่จิต และเจตสิกรู้ มีความหมายเท่ากันเลย ใช้คำว่าตทาลัมพนะก็ได้ ใช้คำว่าตทารัมณะก็ได้ นี้เป็นกิจของจิตลำดับที่ ๑๓ ส่วนลำดับที่ ๑๔ ก็คือจุติกิจ กิจที่ชื่อว่าตทาลัมพนะ คำว่าอาลัมพนะ หรืออารัมมณะ นี้ก็คือการรู้อารมณ์ คำว่า "ตะ" ข้างหน้าก็คือ "นั้น" ถ้าเป็นทางจักขุทวาร รู้รูปารมณ์ คือรูปารมณ์นั้นยังไม่ดับก็รู้อารมณ์นั้นต่อ ฉะนั้นจึงชื่อว่าตทาลัมพนะก็คือรู้อารมณ์นั้นต่อ ถ้าเป็นทางจักขุทวารก็คือรู้รูปารมณ์นั้นต่อ ถ้าเป็นทางโสตทวารก็รู้เสียงนั้นต่อ ถ้าเป็นฆานทวารก็รู้กลิ่นนั้นต่อ เพราะว่ารูปยังไม่ดับไป สภาวรูป คือรูปที่มีลักษณะเป็นของตนมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ถ้านับอายุของรูปจนกระทั่งถึงตอนที่เป็นชวน ๗ ขณะ เริ่มตั้งแต่ อตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ อายุของรูปผ่านไป ๓ ขณะแล้ว ต่อไปอาวัชชนะ ๔ ปัญจวิญญาณ ๕ สัมปฏิฉันนะ ๖ สันติรณะ ๗ โวฏฐัพพนะ ๘ ชวนะอีก ๗ ขณะ รวมเป็น ๑๕ รูปยังไม่ดับ ยังเหลืออีก ๒ ขณะ ฉะนั้น สำหรับบุคคลที่ยังติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแล้วนั้น ก็รู้อารมณ์นั้นต่อเรียกว่า ตทารัมมณะกิจ หรือตทาลัมพนะกิจ

    ท่านอาจารย์ เป็นที่ชื่อที่ใหม่ ซึ่งวิธีจำนี้เราอาจจะยังไม่ต้องจำทั้ง ๑๔ กิจก็ได้ แต่ว่าถ้าเราสามารถที่จะรู้ว่าจิตนั้นเป็นชาติอะไร และทำกิจอะไร อาจจะค่อยๆ จำ เช่น กุศลจิต ทำปฏิสนธิกิจหรือไม่ ไม่ ทำภวังคกิจหรือไม่ ไม่ ทำอาวัชชนะกิจหรือไม่ ไม่ แล้วทำกิจอะไร ชวนะ แต่ว่าเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้ทำอาวัชชนะกิจด้วยใช่ไหม ทำกิจเห็นหรือไม่ ทำกิจได้ยินหรือไม่ เราก็ทราบได้ว่าไม่ใช่กิจเหล่านั้นทั้งหมด แต่ว่าเมื่อกุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิด ตอนนี้ก็จำว่าทำชวนกิจ หมายความว่าเกิดดับซ้ำกัน ๗ ขณะ มากกว่าขณะอื่นจึงปรากฏให้รู้ได้ เช่นขณะนี้ ไม่ว่าเราจะกล่าวถึงกิจ ๑๔ กิจ แล้วปฏิสนธิกิจไม่มี จุติกิจไม่มี ก็ตามแต่ แต่ที่สามารถจะรู้ได้คือภวังค์ ขณะนี้โลกนี้ไม่ปรากฏเลย หลังจากนั้นกิจอื่นที่รู้ได้คือกิจเห็นทัสสนกิจขณะนี้มี กิจได้ยิน กิจได้กลิ่นมี กิจลิ้มรสมี กิจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสมี ก็ได้หลายกิจแล้วที่เรารู้ ใช่ไหม ๕ กิจที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย และก็ภวังค์อีกหนึ่งเป็น ๖ แล้วก็กุศล และอกุศลเป็นชวนะเป็น ๗ อีก ๗ กิจนั้นเป็นชื่อต่างๆ ซึ่งค่อยๆ จำไปก็ได้ แต่ว่าถ้าจะรวมปฏิสนธิกับจุติอีกก็ได้อีก คือคนที่นับเก่งๆ ก็พอที่จะค่อยๆ รู้ว่ายังจำกิจอะไรไม่ได้ กิจที่เหลือที่ยังจำไม่ได้มีน้อย ภวังคกิจ ๑ ที่จำได้ และอีก ๕ กิจเป็น ๖ ชวนะอีก ๑ เป็น ๗ จุติกับปฏิสนธิเป็น ๙ ส่วนที่เหลือคือคำที่เกิดก่อนจิตเห็นบ้าง และเกิดตามหลังบ้าง แล้วจะเกิดหลังชวนะบ้าง ค่อยๆ จำไป แต่จำกิจใหญ่ๆ ไว้ว่าขณะที่เห็นขณะนี้เป็นกิจอย่างหนึ่ง ส่วนชอบหรือไม่ชอบ คือจิตที่ทำชวนกิจ ซึ่งโดยนัยของพระสูตรท่านก็ไม่ได้แสดงเรื่องอาวัชชชนะกิจ ไม่ได้แสดงเรื่องโวฏฐัพนะกิจ ไม่ได้แสดงเรื่องสัมปฏิฉันนะกิจ สันติรณกิจ หรือตทาลัมพนะกิจเลย ท่านแสดงกิจที่ทุกคนสามารถจะรู้ได้ สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็จำกิจเพียงเท่านี้ก่อน ๕ กิจ แล้วก็ชวนะกิจเป็น ๖ ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ เป็น ๙ และก่อนที่จะมีจิตเห็นจิตได้ยิน ก็จำไว้ แล้วก็หลังจากเห็นได้ยินแล้วมีกี่กิจก็ค่อยๆ จำไป แต่จะไม่จำหมดทันทีก็ได้ แต่จำส่วนที่เราสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าถ้าสอบถามดู ก็ตอบได้ทุกคน จิตเห็นทำปฏิสนธิกิจหรือไม่ ไม่ใช่ ก็ตอบได้ ถ้าถามว่าทำสัมปฏิฉันนกิจหรือไม่ ก็ตอบได้ ทำกิจสันติรนะหรือไม่ ก็ไม่ใช่ ทำกิจโวฏฐัพพนะหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะว่ากุศล อกุศลทำชวนะกิจ ๗ ขณะ เป็นปกติ ก็จำเพียงกิจพวกนี้ก่อนก็ได้

    ผู้ฟัง โวฏฐัพพนะทำโวฏฐัพนะกิจ บางท่านก็บอกว่าอนุโลมเป็นโยนิโสมนสิการ ได้หรือไม่ ในวิถีนี้จะเป็นกุศลก็ดี จะเป็นอกุศลก็ดี ทำหน้าที่คล้ายโยนิโสมนสิการได้ไหม

    อ. สุภีร์ กุศล อกุศลจะเกิดตามอำนาจการสะสมที่ได้สะสมมาก่อนๆ อย่างที่พระสูตรแสดงว่า เพราะว่าเคยทำอย่างนั้นมาในชาติก่อนๆ แล้วชาตินี้ก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม ฉะนั้นหลายท่านในที่นี้ ถ้าได้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อาจจะคิดไปได้ว่าแต่ก่อนเคยทำอย่างนี้มาก่อน หรือว่าพูดคำใดคำหนึ่งขึ้นมาก็อาจจะคิดไปได้ว่าเคยพูดอย่างนี้มาก่อนเพราะว่าเป็นการสั่งสมมา ฉะนั้น จิตที่เกิดขึ้นทำโวฎฐัพพนกิจ เป็นกิจที่ทำก่อนที่กุศลหรืออกุศลจะเกิดเท่านั้น เป็นกิริยาจิต ไม่ได้มีกำลังอำนาจอะไรก็คล้ายๆ กับอาวัชชนะกิจก่อนที่วิบากจิตจะเกิดเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสก็มีกิริยาจิตมาก่อน หลังจากที่เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นวิบากจิตแล้ว สัมปฎิฉันนแล้ว สันติรนะแล้ว เหล่านี้เป็นวิบากจิตหมดเลย ก่อนที่จะเป็นจิตอีกชาติหนึ่ง ก็มีกิริยาจิตคั่นก่อน เป็นจิตนิยามเท่านั้นเอง กุศลจิตหรืออกุศลจิตที่เกิดขึ้นทำชวนกิจเกิดด้วยอำนาจการสะสมที่นานแล้ว ฉะนั้นในชวนนี้ ท่านจึงบอกว่าสั่งสมสันดานด้วยอำนาจชวนวิถี คำว่าสันดานหมายถึงว่าการเกิดดับสืบต่อกัน จิตดวงเก่าดับไป ดวงใหม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เรียกว่า สันดานหรือสันตานะในภาษาบาลี เรียกว่าการเกิดดับสืบต่อกัน ถ้าเป็นวิบากจิต จริงอยู่ว่ามีสันตานะคือมีการเกิดแล้วก็ดับไปดวงใหม่ก็เกิดต่อ แต่ว่าวิบากจิตไม่มีการสั่งสมสันดาน ไม่มีการสั่งสมสิ่งใหม่ๆ ขึ้น แต่สิ่งเก่าๆ ที่สั่งสมไว้แล้วก็สืบต่อไปยังจิตดวงต่อไป แต่ว่าไม่ได้มีการสั่งสมกุศล อกุศลเพิ่มเติม แต่ในชวนนี้มีการสั่งสมสันดานด้วย อย่างจิตเห็นเมื่อเห็นแล้วก็ดับไปใช่ไหม เป็นปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้สั่งสมสันดาน จะสั่งสมสันดานในชวนวิถีเท่านั้น

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นโวฏฐัพพนะจิตไม่ได้ทำหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งคือโยนิโสมนสิการ ก็จะรู้ว่ากุศลในวิถีจิตนี้ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ตัวโยนิโสมนัสสิการตัวไหนเป็นตัวพิจารณา

    อ. สุภีร์ การสั่งสมมานี้แน่นอนที่สุด เพราะเหตุว่าโวฏฐัพพนะจิตที่เกิดขึ้นทำโวฏฐัพพนะกิจนี้เป็นกิริยาจิตที่เกิดขึ้นขณะเดียว ไม่มีกำลังอำนาจอะไร เพราะฉะนั้นกุศลจิต อกุศลจิตจะเกิดขึ้นตามอำนาจการสั่งสมที่มีมานานแล้ว เมื่อใดก็ตามที่กุศลจิตเกิดขณะนั้นเป็นเพราะโยนิโสมนสิการก็คือการสั่งสมมานานที่จะทำให้กุศลจิตเกิด ขณะใดก็ตามที่อกุศลจิตเกิดเพราะว่าอโยนิโสมนสิการก็คือการสั่งสมมาที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด

    ผู้ฟัง จริงอยู่ บางครั้งในวิถีจิตหนึ่งนั้นไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล แต่ถ้าเกิดซ้อนกัน แต่เป็นหมื่นเป็นล้านวิถีก็จะรู้ แล้วก็ถ้าสั่งสมมาแล้วก็ปรับความคิดหรืออะไรอย่างนี้ก็ไม่สามารถถ้าเป็นอัธยาศัยเฉยๆ ก็ไม่สามารถที่จะปรับได้ใช่ไหม

    อ. สภีร์ การสะสม สะสมได้ใช่ไหม เช่น การฟังพระธรรม ฟังวันแรกกับฟังวันที่สองก็คงไม่เหมือนกัน ฟังปีแรกกับปีที่สอง อาจจะทำเหมือนเดิมแต่ว่าความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น นี่ก็จากการสะสม

    ผู้ฟัง ตัวโยนิโสมนสิการจริงๆ คือตัวไหน หมายถึงเจตสิกตัวไหน โยนิโสมนสิการ

    อ. สุภีร์ ไม่ต้องหา เพราะว่าถ้ากุศลจิตเกิดก็เพราะโยนิโสมนสิการ ถ้าอกุศลจิตเกิดเพราะอโยนิโสมนสิการ

    ผู้ฟัง เพราะภาษาไทยโวฏฐัพพนะแปลว่าตัดสินอารมณ์ ตัดสินอย่างไร อารมณ์ก็คืออารมณ์ที่เป็นกุศลหรืออารมณ์ที่ไม่เป็นกุศล อย่างนี้เลยเกิดความสงสัยถึงภาษาไทยที่แปลมา

    อ. สุภีร์ กิริยาจิตนี้ไม่ได้มีหน้าที่ไปตัดสินหรือว่าไปทำอะไรอย่างนั้น กิริยาจิตสามารถรู้ได้ทั้งอารมณ์ที่ดี และไม่ดี แต่ถ้าเป็นวิบากจิตถ้าเป็นกุศลวิบากก็รู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่ดี ถ้าเป็นอกุศลวิบากก็รู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่ไม่ดี แต่กิริยาจิตรู้ได้ทั้ง ๒ อารมณ์ ก็คือเป็นจิตที่เกิดขึ้นตามอำนาจของจิตนิยามที่ต้องเกิดคั่นก่อนที่จะเป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง อย่างวิบากจิตเคยรับมาแล้วใช่ไหม ก่อนที่จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ต้องมีกิริยาจิตกระทำหน้าที่ก่อนไม่ใช่ว่ากระโดดไปเลย หรือว่าเคยเป็นภวังค์มาแล้วก่อนที่จะได้รับวิบากซึ่งเป็นการเห็นได้ยินก็กระโดดข้ามมาเลยนั้นไม่ได้ ต้องมีจิตที่เป็นกิริยาจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่การงานก่อน

    ท่านอาจารย์ นี้เป็นเหตุที่เราต้องศึกษาเรื่องกิจของจิต ให้รู้ความละเอียดจริงๆ ว่าขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นวิบาก ขณะใดเป็นกิริยา แล้วก็จิตทั้งหมดที่เป็นกุศล ทำกิจอะไร กิริยาทำกิจอะไร วิบากทำกิจอะไร จิตแต่ละประเภทจะทำกิจที่ไม่ใช่กิจของตนไม่ได้ อย่างวิบากจะไปทำกิจของกุศล และกุศลไม่ได้ เพราะเหตุว่าวิบากเป็นผลเกิดขึ้นเพราะกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่สะสมสืบต่อ ถึงกาละที่สมควรที่วิบากชนิดใดจะเกิดทางไหน วิบากชนิดนั้นก็เกิดทางนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    10 ธ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ