สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 053


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๕๓

    วันจันทร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๕


    อ.สุภีร์ คำว่า “วิปัสสนา”ก็คือการเห็นแจ้งตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีแต่เพียงจิต เจตสิก รูป ที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาอะไร เป็นอนัตตาทั้งหมด อันนี้เป็นการอบรมเพื่อเข้าใจความจริง เช่นนี้เรียกว่า กุศลขั้นวิปัสสนา ส่วนถ้าเป็นความสงบใจขั้นอื่นๆ ก็เป็นสมถะ

    ถ้ามีการให้อะไรใคร มีการอนุโมทนาบุญกับบุคคลเหล่าอื่นอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นกุศลขั้นทาน กุศลขั้นทานก็เป็นการให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งกับบุคคลอื่น หรือว่าการอนุโมทนาบุญกับบุคคลอื่น การให้ส่วนบุญ ให้อภัยอย่างนี้ เป็นกุศลขั้นทาน ถ้ามีการงดเว้นการพูดที่ไม่ดี แล้วก็งดเว้นสิ่งอื่นๆ ที่เป็นการกระทำผิดต่างๆ ที่ออกมาทางกายทางวาจา อย่างนี้ก็เป็นกุศลขั้นศีล

    ผู้ฟัง การที่จะล่วงเป็นอกุศลกรรมบถ ต้องมีทั้ง ๕เหตุ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาเราเดินไปแล้วเหยียบมดตาย เราไม่ได้มีเจตนา ก็ไม่เป็นกรรมที่ไม่ดีใช่ไหม

    อ.สุภีร์ แต่เวลาเดือดร้อนภายหลังก็เป็นโทสมูลจิต แต่โทสมูลจิตนั้นไม่ได้เป็นกรรมที่จะให้ผลอะไร เพราะเหตุว่าบางครั้งบางท่านก็เดินๆ ไป ไม่ได้ตั้งใจอะไรเลย เหยียบมดตาย หรือเหยียบแมลงสาบตาย พอเหยียบตายแล้วก็มาเดือดร้อนใจภายหลังว่าอย่างนี้เราฆ่าสัตว์หรือไม่ ก็เมื่อไม่มีเจตนาที่จะฆ่า นี้ไม่ได้เป็นกรรมที่จะให้ผลเลย ซึ่งถ้าเรามาเดือดร้อนใจภายหลังก็เป็นโทสมูลจิตที่เกิดขึ้นในภายหลังนั่นเอง แต่สำหรับการทำสัตว์ให้ตายอะไรอย่างนั้น ก็เป็นเหตุอื่นๆ มีหลายๆ อย่าง ว่าสัตว์ตัวนั้นถึงคราวจะต้องตาย ถึงเราไม่เหยียบ เขาก็อาจจะโดนไม้อะไรทับตายก็ได้ ที่จะเป็นกรรมที่จะให้ผล ก็คืออยู่ที่เจตนาซึ่งเป็นตัวกรรมที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน

    ผู้ฟัง ดิฉันมีความรู้สึกว่า เมื่อใช้คำว่าเขาไม่มีเจตนา คำว่าเจตนาจะไปในลักษณะของการไม่ดี เรียนถามว่าเจตนา จะมีความหมายเป็นในฝ่ายที่ไม่ดีอยู่ตลอด หรือไม่ เรามักจะพูดกันว่า เธอมีเจตนาไม่ดี

    อ.สุภีร์ เจตนาเป็นเจตสิกประเภทหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกประเภท ที่ได้กล่าวโดยย่อไปว่า เจตสิกมี ๕๒ ประเภท แยกประเภทได้ ๓ ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ๑. อัญญสมานาเจตสิกมี ๑๓ ประเภท ๒. อกุศลเจตสิกมี ๑๔ ประเภท และ ๓. โสภณเจตสิกมี ๒๕ ประเภท รวมเป็นเจตสิก ๕๒ ประเภท

    คำว่า “อัญญสมานาเจตสิก” หมายถึงเจตสิกที่เสมอกันกับจิตที่เจตสิกเกิดร่วมด้วย “อัญญ” คือสิ่งอื่นที่เจตสิกเกิดร่วมด้วย สิ่งอื่นที่เจตสิกเกิดร่วมด้วยก็คือจิตนั่นเอง “สมานา” คือเสมอกัน อัญญมานาเจตสิก ก็คือเป็นเจตสิกที่เสมอกันกับจิตที่จะเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    เจตนาเจตสิกเป็นหนึ่งในอัญญสมานาเจตสิก ถ้าเจตนานั้นเกิดกับกุศล เจตนานั้นก็เป็นกุศลด้วย ถ้าเจตนานั้นเกิดกับอกุศล เจตนาก็เป็นอกุศลด้วย

    เราทราบมาแล้วว่าชาติของจิตมี ๔ ชาติ ชาติของเจตสิกก็มี ๔ ชาติเช่นเดียวกัน ก็คือเจตสิกที่เป็นประเภทของอัญญาสมานาเจตสิกนี้ เกิดกับจิตชาติชนิดใดก็เป็นชาติเดียวกับจิตนั้นนั่นเอง

    สำหรับเจตนาเจตสิกที่ผู้ถามได้ถาม ก็คือเป็นความตั้งใจ หรือจงใจที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าตั้งใจจงใจที่จะกระทำกุศลก็เป็นเจตนาที่เกิดกับกุศลจิต ก็เป็นกุศลเจตนา ถ้าเจตนาเกิดกับอกุศลตั้งใจที่จะทำอกุศลก็เป็นอกุศลเจตนา หรือแม้แต่เป็นผลของกุศลหรืออกุศลก็เป็นเจตนาที่เป็นชาติวิบาก ถ้าเกิดกับกิริยาก็เป็นเจตนาที่เป็นชาติกิริยา

    ผู้ฟัง เจตนาเจตสิกที่เกิดในการกระทำกรรม ถ้าเป็นอกุศลส่งผลให้ไปเกิดในอบายคือให้ผลในปฏิสนธิกาล แต่ถ้าเราเดินเหยียบมดแต่เราไม่มีเจตนา ในปวัตติกาลจะส่งผลให้เราได้สัมผัสที่ไม่ดีทางกาย หรือไม่

    อ.สุภีร์ ไม่มีเลย เพราะว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่า เจตนาที่จะเดิน เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ตอนนั้นเจตนาที่จะเดิน ไม่ได้เจตนาที่จะฆ่ามดหรือฆ่าอะไร เช่นบางท่านเจตนาขับรถไป แล้วก็เดินลงจากรถเห็นสัตว์อะไรสักตัวติดอยู่ตามล้อรถ อาจจะเกิดเป็นทุกข์ใจก็ได้ ตอนนั้นมีเจตนาที่จะขับรถ ไม่ได้มีเจตนาที่จะเหยียบอะไร อย่างนั้นก็ไม่ได้ผลอะไรเลย ความเดือดร้อนใจภายหลังที่เกิดขึ้นก็เป็นโทสมูลจิตที่เกิดขึ้น เป็นโทมนัสเวทนาที่มีความรู้สึกไม่ชอบใจ

    ผู้ฟัง ความแตกต่างระหว่างผลในปวัตติกาล กับ ผลในปฏิสนธิกาล มีการส่งผล อย่างไร แยกแยะอย่างไร

    อ.กฤษณา ปฏิสนธิกาล หมายถึงกาลของการปฏิสนธิ คือการเกิดขึ้นเป็นขณะแรกของภพนี้ชาตินี้ ส่วนปวัตติกาล คือกาลซึ่งต่อจากปฏิสนธิกาล คือหลังปฏิสนธิกาลเรื่อยมาจนถึงจุติจิตเกิด จุติจิตเกิดก็เป็นจุติกาลอีกขณะ

    เพราะฉะนั้นในช่วงระหว่างปฏิสนธิกาลกับจุติกาลจะเป็นปวัตติกาล การส่งผลของกรรมนั้นก็ส่งผลทั้งในปฏิสนธิกาล และในปวัตติกาล ในปฏิสนธิกาลนั้นผลของกรรมก็จะทำให้มาปฏิสนธิเป็นสัตว์บุคคลในภพภูมิต่างๆ ตามความแตกต่างกันของกรรมที่กระทำ ส่วนในปวัตติกาลนั้นกรรมก็ให้ผลเป็นอกุศลวิบากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นอกุศลวิบากจิตบ้าง เป็นกุศลวิบากจิตบ้างแล้วแต่ว่าจะเป็นผลของอกุศลกรรม หรือเป็นผลของกุศลกรรม

    ซึ่งในการกระทำกรรมนั้นก็มีกรรมที่ได้กระทำทั้งในชาตินี้ก็มี กรรมที่ทำแล้วในชาติที่แล้วก็มี ก่อนชาติที่แล้วก็มี ซึ่งกรรมที่ทำในขณะต่างๆ และชาติต่างๆ ก็จะให้ผล ถ้าไม่มีโอกาสให้ผลก็จะเรียกว่าเป็นอโหสิกรรมไป แต่ถ้ามีโอกาสให้ผลก็จะให้ผลนำเกิดเป็นบุคคลในภพภูมิไหนก็แล้วแต่ หลังจากนั้นก็จะให้ผลหลังจากที่ได้ปฏิสนธิแล้ว ก็ให้ผลอีก

    อ.ประเชิญ ในปฏิสนธิกาล การให้ผลของกรรมก็จะเป็นไปได้ทั้งที่มีเหตุประกอบด้วย และไม่มีเหตุประกอบด้วย แต่ถ้าเป็นปวัตติกาล จะได้รับผลเพียงที่ไม่มีเหตุประกอบด้วยเท่านั้นเอง คือได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้ถูกต้องสัมผัส อย่างนี้เป็นผลของกรรมที่เป็นไปในปวัตติกาล แต่ถ้าเป็นในปฏิสนธิกาลก็จะทำให้เกิดเป็นบุคคลในอบายภูมิถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ถ้าผลของกุศลกรรมก็เกิดในสุคติภูมิซึ่งก็จะมีได้ทั้งที่เป็นมีเหตุประกอบด้วย และก็ไม่มีเหตุประกอบด้วย มีแล้วทั้ง ๒ อย่าง

    ผู้ฟัง เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดกับตัวเองคือเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้ไปทำงานใช้ทุนที่วิทยาลัยเทคนิคจังหวัดตาก ตอนค่ำขับรถจากวิทยาลัยกลับมาบ้านพักที่อยู่ในเมือง ขณะขับมาบังเอิญมีวัวตัวหนึ่งหนีออกมาจากโรงฆ่าสัตว์วิ่งสวนทางมา ขณะที่ขับรถก็หลบเลี่ยงไปอยู่กลางถนน แล้ววัวตัวนั้นวิ่งมาชนรถจนกระทั่งตาย เกิดความไม่สบายใจเพราะว่าได้ฆ่าสัตว์ใหญ่ คิดไม่สบายใจจนกระทั่งมาเรียนธรรมก็เลยค่อยสบายใจขึ้น แต่กรรมสนองคือเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ขณะก็นั่งรถกับเพื่อนจากกรุงเทพฯจะกลับไปเที่ยวงานฉลองพระเจ้าตากที่จังหวัดตาก ก็เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน คนนั่งในรถมา ๓ คน คนนั่งหลังเสียชีวิต กระผมนั่งข้างหน้าเคียงกับคนขับ คนขับก็ไม่เป็นไร ส่วนกระผมนั่งหน้าทางซ้ายมือก็กระเด็นสลบไปครึ่งเดือน หลังจากฟื้นขึ้นมา สมองใช้ไม่ได้เป็นปี คือ ลืมทุกอย่างหมด ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอยู่นาน คิดว่าอย่างนี้คงจะเป็นผลของกรรมที่กะโหลกแตกแต่ไม่ตาย คงเป็นกรรมที่เอารถไปขวางทางวัว วัวชนรถ จนกระทั่งวัวคอหักตาย

    อ.ประเชิญ คิดเองใช่ไหม

    ผู้ฟัง คิดว่าเป็นอย่างนั้น

    อ.ประเชิญ อย่างที่ได้กล่าวแล้ว ในเรื่องของกรรม ที่จะเป็นกรรมได้ต้องมีเจตนาใช่ไหม แต่ผู้ถามไม่มีเจตนาจะชนวัว แล้วจะเป็นกรรมได้อย่างไร แล้วจะมีกรรมสนองได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ได้มีเจตนา ก็จะเป็นกฏัตตากรรรม ใช่ไหม คือกรรมที่ส่งผลมาโดยเราไม่ได้คิด กรรมบางอย่างที่เคยทำอย่างนั้น กรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เจตนาแต่ว่าจะส่งผลคือให้เรามีวิบากบ้าง

    อ.ประเชิญ ก็ต้องเข้าใจกฏัตตากรรรมด้วย ซึ่งในกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรรมหนักที่เป็นครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม กฏัตตากรรรมก็ดี ก็ต้องหมายถึงเจตนาที่ทำให้ถึงกรรมบถ คือเป็นกรรมแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีเจตนา เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้ามีการกระทำใดๆ ก็ตาม และไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นกรรม

    ผู้ฟัง เวลาเราเดินไปไหน เหยียบมดตายหรือว่าเหยียบแมลงสาบตาย ไม่มีกฏัตตากรรรมมาสนองบ้างหรืออย่างไร

    อ.ประเชิญ ไม่เป็นกรรมแล้วจะมีผลของกรรมได้อย่างไร

    ผู้ฟัง สมมติว่าเราเหยียบแมลงสาบตาย แล้วเหยียบมดตาย ถึงแม้ว่าจะไม่มีเจตนา แต่ว่าอีก๔ อย่างที่มีเจตนา คือ สัตว์มีชีวิต ไม่มีจิตฆ่า ไม่พยายามฆ่า ก็ไม่มี แต่ว่าสัตว์เสียชีวิต ไม่รู้ว่าน่าจะมีอะไรตอบแทนบ้าง

    อ.ประเชิญ ไม่เป็นกรรม อย่างที่ได้กล่าวตั้งแต่ต้น

    อ.สุภีร์ เจตนาฆ่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเหตุว่าเจตนานั่นแหละเป็นกรรม ถ้าเจตนานั้นกระทำไปแล้ว และมีองค์อื่นๆ เพิ่มเติมด้วย ก็มีผลมากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าด้วยเจตนานั้นก็ทำให้เขาเพียงลำบาก หรือบาดเจ็บเท่านั้น ก็ให้ผลน้อยๆ ถ้าถึงกับทำให้ตายครบองค์อื่นไปด้วยก็ให้ผลมาก แต่เจตนาฆ่าเป็นองค์สำคัญ ถ้าไม่มีเจตนาฆ่า องค์อื่นๆ ไม่คิดเลย เพราะว่าไม่ได้เป็นกรรม และที่ได้ถามว่าไม่เป็นกฏัตตากรรรมบ้าง หรืออะไรอย่างนี้

    จริงๆ แล้ว กฏัตตากรรรมก็เป็นกรรมนั่นเอง กรรมที่จะให้ปฏิสนธิต่อไปในอนาคต มีอยู่ ๔ อย่างด้วยกัน ก็คือ ๑. ครุกกรรม กรรมที่หนัก ๒. อาสันนกรรม กรรมที่ทำตอนใกล้จะตาย ๓. พหุลกรรม หรืออาจิณณกรรม กรรมที่กระทำบ่อยๆ เนืองๆ หรือสิ่งที่ทำบ่อยๆ นั่นเอง ๔. กฏัตตากรรรม ฉะนั้นทุกอย่างที่กล่าวมาทั้ง ๔ อย่าง ที่จะนำปฏิสนธินี้ ก็เรียงตามลำดับไป

    คำว่า “กฏัตตากรรรม”คือเป็นกรรมที่ครบองค์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นครุกกรรมก็คือเป็นกรรมที่หนักมาก ถ้าเป็นฝ่ายของอกุศลก็จะเป็นพวกอนันตริยกรรมอย่างนี้ อนันตริยกรรมนี้ให้ผลปฏิสนธิในภพหน้าแน่นอน มีการฆ่ามารดา ฆ่าบิดา อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ก็คือเป็นครุกรรม ถ้าจุติเกิดก็ปฏิสนธิด้วยกรรมนั้นทันทีด้วยผลของครุกรรม

    ถ้าไม่มีครุกรรม ก็จะมีอาสันนกรรมให้ผล คือกรรมที่ทำตอนใกล้จะตาย ถึงบุคคลบางคนจะกระทำความดีมามาก แต่ว่าตอนใกล้จะตายจิตเศร้าหมอง หรือกระทำอกุศลแล้วเดือดร้อนใจ ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิได้ เพราะว่าเป็นกรรมที่ทำตอนใกล้จะตาย ถ้ากรรมที่กระทำตอนใกล้จะตายนั้นให้ผลก็สามารถที่จะไปอบายภูมิได้ ถึงบุคคลนั้นจะเป็นคนดีขนาดไหนก็ตาม

    คนดีที่ดีจนไม่ไปอบายภูมิอีกเลยก็คือเป็นคนดีระดับขั้นพระโสดาบันขึ้นไป คนดีอื่นๆ นอกจากนั้นสามารถไปอบายภูมิได้ทั้งหมด

    บุคคลบางคนก็กระทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนใกล้จะตายได้ทำกุศล แล้วกุศลนั้นมีกำลัง กุศลนั้นให้ผลตอนใกล้จะตายก็เป็นอาสันนกรรมทำให้เขาเกิดในสุคติภูมิได้

    ถ้าไม่มีอาสันนกรรมก็จะเป็นอาจิณณกรรมที่จะให้ผล ก็คือกุศลที่กระทำบ่อยๆ เนืองๆ เช่นบางคนก็ให้ทานบ่อยๆ บางคนก็รักษาศีลบ่อยๆ บางคนก็ช่วยเหลือผู้อื่นบ่อยๆ การทำกุศลเหล่านี้ที่สะสมไว้ก็เป็นเหตุให้ปฏิสนธิด้วยกรรมนี้ได้

    หรือบางคนฆ่าสัตว์บ่อยๆ หรือพูดปดบ่อยๆ กรรมนี้ถ้ามีโอกาสให้ผลในปฏิสนธิได้

    ถ้ากรรมทั้ง ๓ เบื้องต้น คือครุกรรม อาสันนกรรม อาจิณกรรมไม่ให้ผล กฏัตตากรรรมก็จะให้ผล กฏัตตากรรรมก็คือกรรมที่ไม่มีกำลังเหมือนกรรม ๓ ข้างต้นนี้ เป็นกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่กระทำ อย่างเช่น การฆ่ามด ซึ่งจริงๆ ก็ล่วงกรรมบถไปแล้ว ซึ่งสามารถให้ผลได้ถ้าไม่มีกรรมอื่นมาให้ผล ฆ่ามดตายตัวหนึ่ง ครบองค์กรรมบถแล้ว สามารถให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้

    ผู้ฟัง ในกรณีฆ่ามดตาย อกุศลวิบากให้ผล แล้วหากว่าช่วยมดไม่ให้ตายจะเป็นอย่างไร

    อ.สุภีร์ ช่วยมดไม่ให้ตายก็เป็นกุศล

    ผู้ฟัง วันที่ขับรถไป แล้ววัววิ่งมาชนรถที่กำลังขับ แล้ววัวตาย จะมีผลอะไรหรือไม่

    อ.สุภีร์ ไม่มีเจตนาฆ่าไม่ใช่หรือ ก็เจตนาจะหลบวัวใช่ไหม ไม่ได้เป็นกรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้

    ผู้ฟัง แล้วที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ หัวกะโหลกแตก ไม่สืบเนื่องกันหรือ

    อ.สุภีร์ ไม่สืบเนื่องกัน เพราะว่าที่จะให้ผลได้ ต้องเป็นกรรม แล้วกรรมนั้นสั่งสมในจิตสันดานเป็นกัมมปัจจัย เมื่อได้กาลโอกาสที่เหมาะสม กรรมนั้นก็จะให้ผล กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะชาติไหนๆ ก็ตาม ก็สะสมมา เมื่อเวลาพร้อมที่จะให้ผล ก็ให้ผล ให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และก็ให้ปฏิสนธิด้วย แต่จะหลบวัว ไม่เกี่ยวกับกรรมนั้น แต่ว่าการที่รถชนอะไรต่างๆ นั้น ก็เป็นกรรมอย่างอื่นไป

    ผู้ฟัง สะสมมาตั้งแต่อดีตชาติ

    อ.สุภีร์ กรรมนี้มีมาก ขณะเห็นตอนนี้เป็นผลของกรรมอะไร จะรู้ได้ไหม ไม่รู้เลยใช่ไหมว่ามาจากกรรมอะไร ที่เราได้ศึกษาเรื่องกิจของจิต ๑๔ กิจ เป็นกิจของจิตที่เป็นชาติวิบากเกือบทั้งหมด จะลองนับก็ได้ว่าเป็นกิจของจิตชาติวิบากเท่าไหร่ ที่ไม่เป็นชาติวิบากก็มีเพียงอาวัชชนะที่เป็นกิริยาจิต โวฏฐัพพนะที่เป็นกิริยาจิต ในชวนะที่เป็นกุศล อกุศล กิริยา ซึ่งวิบากก็สามารถเกิดในชวนะได้ แต่เป็นวิบากที่เป็นโลกุตตระ

    ดังนั้นจิต ๑๑ กิจที่เกิดขึ้นทำกิจ เป็นผลของกรรม ยกเว้น อาวัชชนะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ นอกจากนั้นก็เป็นผลของกรรมทั้งหมด

    อ.กฤษณา เรื่องของกรรม และเรื่องของวิบากเป็นพุทธวิสัย เป็นเรื่องของอจินไตย ไม่พึงคิด เราไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเราได้รับผลกรรมนี้ คือเป็นอกุศลวิบากเพราะกรรมอะไรในอดีต สภาพธรรมที่เป็นวิบากคือวิบากจิต ซึ่งเป็นผลของอกุศลธรรมหรือกุศลธรรม

    เรื่องของเหตุ หรือเห-ตุ คำว่า “เหตุปัจจัย”ก็มีทั้งคำว่า “เหตุ” และก็คำว่า “ปัจจัย” ซึ่งอาจจะสงสัยว่าเหตุกับปัจจัยนั้นจะต่างกันอย่างไร เพราะว่าเมื่อไปงานศพก็ได้ยินพระสวดอีกว่า เหตุปัจจโย อารัมมณปัจจโย อธิปติปัจจโย เป็นต้น เริ่มต้นเหตุปัจจโย เป็นปัจจโย ถ้าฟังดีๆ ก็ต้องได้ยินคำลงท้ายครบ ๒๔ ปัจจโย ปัจจโยแรกคือเหตุปัจจโย ความหมายของเห-ตุ ได้กล่าวไปแล้ว เป็นสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกซึ่งเป็นเหตุ ๖ ชนิด ส่วนคำว่าปัจจัยนั้นก็หมายถึงสภาพธรรมที่เป็นธรรมที่ช่วยอุปการะเกื้อกูลให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น หรือดำรงอยู่ตามสมควรแก่ประเภทของปัจจัยนั้นๆ

    ซึ่งปัจจัยก็ไม่ได้มีปัจจัยเดียว ไม่ได้มีแต่เหตุปัจจัย ปัจจัยเดียว แต่มีหลายๆ ปัจจัย แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นเหตุ ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ในหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยใหญ่ๆ มี ๒๔ ปัจจัย สภาพธรรมที่เป็นเหตุนั้นแหละเป็นปัจจัยด้วย ช่วยอุปการะเกื้อกูลแก่ธรรมทั้งหลายที่ประกอบกับเหตุ

    เพราะฉะนั้นในคัมภีร์ปัฏฐาน ซึ่งเป็นคัมภีร์พระอภิธรรมคัมภีร์สุดท้าย ก็จะแสดงสภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจัยแก่กัน และกัน ซึ่งโดยปัจจัยใหญ่ๆ มี ๒๔ ปัจจัย ปัจจัยแรกที่ทรงแสดงก็คือเหตุปัจจัย ซึ่งก็ได้แก่สภาพธรรมที่เป็นเหตุ คือ เป็นเจตสิก ๖ ชนิดตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

    จิตที่มีเจตสิกที่เป็นเหตุประกอบร่วมด้วยเป็นสเหตุกจิต ส่วนจิตบางประเภทที่ไม่มีเจตสิกที่เป็นเหตุประกอบร่วมด้วยเป็นอเหตุกจิต เช่นในขณะที่ได้ยิน หรือในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่รู้กระทบสัมผัสทางกาย หรือในขณะที่จิตที่เรียกว่าสัมปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้น หรือสันตีรณจิตเกิดขึ้น หรือปัญจทวาราวัชชนจิตมโนทวาราวัชชนจิต เกิดขึ้น และก็จิตอีกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เพียงทำให้พระอรหันต์ท่านแย้มยิ้มเท่านั้น ซึ่งมีชื่อว่า หสิตุปปาทจิต จิตต่างๆ เหล่านี้เป็นจิตประเภทที่ไม่มีเหตุประกอบร่วมด้วย จึงชื่อว่าอเหตุุกจิต

    ซึ่งสภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ที่เป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นสเหตุกจิต หรืออเหตุกจิตก็ดี ก็เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์ คือรู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ ซึ่งลักษณะของจิตประการหนึ่งก็คือเป็นธรรมชาติที่รู้แจ้งอารมณ์ คือรู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ นั่นเอง

    ลักษณะของจิตอีกประการหนึ่ง คือธรรมชาติของจิตนั้นสั่งสมสันดานตนด้วยสามารถชวนวิถี หมายถึงในขณะที่เป็นชวนวิถีจิตในขณะนั้น ชวนจิตก็สั่งสมสันดาน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    6 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ