สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 054
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๕๔
วันจันทร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๕
อ.กฤษณา ซึ่งสภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ที่เป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นสเหตุกจิต หรืออเหตุกจิตก็ดี ก็เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์ คือรู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ ซึ่งลักษณะของจิตประการหนึ่งก็คือเป็นธรรมชาติที่รู้แจ้งอารมณ์ คือรู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ นั่นเอง แล้วก็ลักษณะของจิตอีกประการหนึ่งที่เราได้สนทนากันมาหลายครั้งแล้ว ก็คือธรรมชาติของจิตนั้นสั่งสมสันดานตนด้วยสามารถชวนวิถี หมายถึงในขณะที่เป็นชวนวิถีจิตในขณะนั้นชวนจิตก็สั่งสมสันดานด้วยความสามารถที่เป็นชวนวิถี ซึ่งจิตที่จะทำหน้าที่ชวนกิจคือชวนวิถีจิตนี้ก็เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือสำหรับพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต ขอเชิญคุณธีรพันธ์
ผู้ฟัง จะเรียนถามอาจารย์ทั้ง ๓ ท่าน ขณะที่พระอรหันต์ท่านยิ้มโดยที่ไม่มีเหตุที่เรียกว่าหสิตุปปาทจิต เป็นขณะอะไรบ้างสำหรับพระอรหันต์
อ.ประเชิญ ของเราเวลาจะยิ้มก็เพราะได้รูปที่ดี ได้ของดีๆ ก็ดีใจ ยิ้ม หรือว่าได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่นที่ดี หรือว่าถูกต้องสำหรับที่ดี ก็จะทำให้มีการดีใจ มีการยิ้มแย้ม แต่ผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้ว พระอรหันต์ ท่านก็จะไม่มีเหมือนกับพวกเรา คือ ท่านเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสดี ท่านไม่ยิ้ม แต่ว่าเวลาท่านจะยิ้ม ไม่ยิ้มเหมือนกับพวกเรา คือในพระสูตรท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ดี พระผู้มีพระภาคก็ดี จะยิ้มก็ด้วยมีเหตุคือ บางครั้งถ้าท่านเห็นเปรต เห็นสัตว์ที่เป็นสัตว์อบายภูมิ อย่างเช่นครั้งหนึ่งท่านได้ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ท่านก็เห็นเปรต มีรูปร่างใหญ่โต เป็นเปรตที่เป็นเปรตโครงกระดูกลอยอยู่ในอากาศ แล้วก็มีกามีแร้ง รุมจิกรุมทึ้งท่านก็แย้มขึ้น เหตุที่ท่านแย้มท่านก็คิดว่าพยานของพระภูมิภาค ได้แสดงเรื่องของกรรม และวิบากก็มีจริง และผู้ที่มีได้กระทำกรรมมา ก็ทำให้ได้รับวิบากที่มีวิจิตรต่างๆ กันส่วนหนึ่ง แล้วท่านก็ได้มีความคิดอีกว่าตัวท่านเป็นผู้ที่ได้ดับกิเลสทั้งหมดแล้ว ท่านก็จะไม่ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้นท่านก็ได้แย้ม เพราะเหตุว่าท่านไม่ต้องกลับมาเป็นผู้ที่เป็นเปรตคือได้อัตภาพที่น่ากลัว หรือว่าพระอรหันต์ ท่านเห็นพวกที่มีกิเลสทั้งหลายเช่นปุถุชน มีการยื้อแย่งในเรื่องของลาภสักการะก็ดี ในเรื่องของโลกธรรมทั้งหลาย ยื้อแย่งกันโดยไม่คิดถึงความน่าเกลียดอะไรทั้งหลาย บางครั้งถึงขั้นมีปากเสียงถึงขั้นที่จะต้องทำร้ายกัน นี่คือการกระทำของผู้ที่มีกิเลส พระอรหันต์ท่านก็ได้พบอย่างนั้นก็แย้ม แย้มเลยคิดว่าตัวท่านไม่เป็นอย่างนี้อีก ไม่ต้องกลับมาเป็นอย่างอีก
พระอรหันต์จะไม่มีการหัวเราะเสียงดัง หรือว่ามีการหัวเราะจนร่างกายโยกโคลงเลย ท่านมีเพียงแค่แย้มเล็กน้อยเท่านั้นเอง ผู้ที่มีกิเลสก็ยังแย้มก็ดี ยิ้มหน้าบาน และก็หัวเราะเสียงดังก็มี บางท่านก็ถึงขั้นตีท้อง กลิ้งไปก็มี คือขำมากๆ กลิ้งเลย เพราะว่าทนไม่ได้ นั่งไม่อยู่เลยเพราะว่าขำมากๆ พระอรหันต์ท่านไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้จะมีเรื่องตลกขบขันแค่ไหน ท่านไม่หัวเราะอย่างพวกเรา เพราะฉะนั้นภาวะของผู้ที่หมดกิเลสแล้วจึงต่างจากผู้ที่มีกิเลส คือสภาพจิตภายในก็ต่างกันอย่างนี้ คือเหตุที่จะทำให้มีการหัวเราะเสียงดัง อาการที่น่าเกลียดทั้งหลาย ท่านไม่มีอย่างนั้น เพราะว่าเหตุท่านไม่มี ผลอย่างนั้นท่านจึงไม่มี
อ.กฤษณา สำหรับที่คุณประเชิญได้กล่าวมานี้ก็แสดงว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ทั่วไปอย่างปุถุชนนี้ก็ยิ้ม หรือหัวเราะด้วยจิตที่มีเหตุ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นอกุศลจิตในเวลาที่ชอบใจอะไรก็ยิ้ม หรือหัวเราะด้วยโลภมูลจิต ซึ่งก็เป็นสเหตุกจิตที่มีโลภเหตุ มีโมหเหตุ เกิดร่วมด้วย แต่สำหรับพระอรหันต์นั้นท่านยิ้มด้วยจิตที่ไม่มีเหตุประกอบรวมด้วย จิตนั้นเรียกว่าหสิตุปปาทจิต ซึ่งเป็นอเหตุกจิต
เราก็สนทนากันในเรื่องของจิต เมื่อสักครู่นี้ก็ค้างถึงลักษณะของจิตที่รู้แจ้งอารมณ์ และอีกประการหนึ่ง ก็คือลักษณะของจิตนั้นเป็นธรรมชาติที่สั่งสมสันดานตนด้วยสามารถชวนวิถี คือ ขณะที่ชวนวิถีเกิดขึ้นก็จะทำชวนกิจ ในขณะที่เป็นชวนกิจนั่นเองก็จะสั่งสมสันดานของตน ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ หรือว่าจะเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์ก็ดี ก็ทำหน้าที่ชวนกิจ และสามารถที่จะสั่งสมสันดานได้ในขณะนั้น
แล้วประการที่ ๓ ลักษณะของจิตก็คือ ธรรมชาติของจิตนั้นกรรมกิเลสสั่งสมวิบาก ซึ่งเรื่องของกรรมเมื่อสักครู่นี้เราก็ได้สนทนากันไปแล้ว ขอเข้ามาสู่ประเด็นนี้เลย กรรมกิเลสสั่งสมวิบาก ในช่วงแรกนี้อยากจะขอให้คุณสุภีร์ได้พูดถึงกรรม ความหมายของกรรมก่อน ขอเชิญ
อ.สุภีร์ กรรม กรรมก็ได้กล่าวไปแล้วว่าเป็นเจตนาเจตสิกนั่นเอง เป็นตัวกรรม ซึ่งกรรมที่จะเป็นไปในวัฏฏะ ที่เป็นกิเลสกรรมสั่งสมวิบากอะไรอย่างนี้ ก็คือเป็นเจตนาที่เป็นไปในกุศล และอกุศลซึ่งเกิดในชวนจิต กระทำชวนกิจ ฉะนั้นกรรมที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม ทำกิจเดียวเท่านั้นใน ๑๔ กิจ ก็คือกระทำชวนกิจ ก็คือเป็นเจตนาที่เกิดในกุศล และอกุศลในชวนะนั่นเอง เป็นกรรม
กรรมนี้ก็มีหลายประเภท ซึ่งกรรมที่ทำให้วนเวียนอยู่ หรือว่าให้ได้รับผลต่างๆ เรียกว่าอภิสังขาร คำว่า “อภิสังขาร”นี้หมายถึงสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง หมายถึงกรรมนั่นเอง ปรุงแต่งอะไร ปรุงแต่งผลของตน เป็นกรรมใช่ไหม ปรุงแต่งให้เกิดวิบาก เช่นปฏิสนธิจิตให้เกิดจากจักขุวิญญาณซึ่งเป็นวิบากจิต ให้เกิดโสตวิญญาณซึ่งเป็นวิบากจิต ให้เกิดฆานวิญญาณซึ่งเป็นวิบากจิต ให้เกิดชิวหาวิญญาณ หรือว่ากายวิญญาณซึ่งเป็นวิบากจิต ที่เราทราบกันว่ามีกิเลส กรรม และวิบากอย่างนี้ ที่เป็นวัฏฏะ ๓ มีกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ แล้วก็วิปากวัฏฏ์ “วัฏฏะ”แปลว่าการวนเวียน “สังสาระ”ก็คือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต เจตสิก รูป ซึ่งจิต เจตสิก รูป ก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง ก็เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของขันธ์ ๕ หรือว่าจิต เจตสิก รูป ทางตาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ เห็นครั้งหนึ่งจิต เจตสิก รูป หรือว่าขันธ์ ๕ ก็ครบแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปใช่ไหม เป็นรูปขันธ์ ที่เกิดของจักขุวิญญาณเป็นจักขุปสาทรูปก็เป็นรูปขันธ์ จิตเห็นคือจักขุวิญญาณก็เป็นวิญญาณขันธ์ เวทนาเจตสิกก็ดี สัญญาเจตสิกก็ดี อันนี้เกิดกับจิตทุกประเภท และสัญญาเจตสิก เวทนาเจตสิกที่เกิดกับจากจักขุวิญญาณก็เป็นเวทนาขันธ์ และสัญญาขันธ์ และเจตสิกอื่นๆ ที่ประกอบร่วมด้วยอีกก็เป็นสังขารขันธ์
ฉะนั้นการเห็นครั้งหนึ่ง ก็ครบแล้ว วนเวียนไปแล้วเป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ ก็เป็นการวนเวียนสืบต่อกันของขันธ์ ๕ หรือว่าจิต เจตสิก รูปนั่นเอง ทางตาเห็นเรียบร้อย วนเวียนไปทางใจ คิดก็ครบเหมือนกัน ขันธ์ ๕ ครบ ได้ยินก็ครบอีก คิดเรื่องที่ได้ยินก็ครบอีก ก็วนเวียนอยู่ตรงนี้ เหมือนทุกๆ วันเลย ตอนนี้ก็เหมือนทุกๆ วันใช่ไหม วนเวียนอยู่ตรงนี้ อันนี้เรียกว่าสังสารวัฏฏ์ ซึ่งมีทั้งกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าบุคคลมีกิเลสอยู่จึงมีการกระทำกรรมคือกุศลกรรมบ้างอกุศลกรรมบ้าง ส่วนบุคคลผู้ไม่มีกิเลสเลย ในชวนจิตเป็นชาติกิริยา ก็คือพระอรหันต์จะมีกิริยาจิตเกิดขึ้นไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลเลย สำหรับบุคคลที่ยังมีกิเลสอยู่ ในชวนจิตที่กระทำชวนกิจก็เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งกุศลหรืออกุศลนี้เอง เรียกว่าอภิสังขารที่จะปรุงแต่งให้วิบากจิตเกิดขึ้น ก็เป็นการวนเวียนต่อไป ก็คือเพราะมีกิเลสแล้วทำกรรม กุศลกรรมบ้างอกุศลกรรมบ้าง ด้วยผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรมก็ให้เกิด ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส กระทบสัมผัส ให้นอนหลับ แล้วให้ตื่นใหม่แล้วให้เห็นใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วก็เห็นก็ยังไม่หมดกิเลส เห็นยังไม่หมดกิเลส ชวนะก็เป็นกุศล และอกุศลวนเวียนกันไป วนไปทางตาบ้าง วนไปทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง มีอยู่ ๖ โลก ให้วนเวียน ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิไหน ก็มีอยู่แค่นี้
อ.กฤษณา สำหรับเรื่องของกรรม คุณสุภีร์ก็ได้กรุณาอธิบายไปแล้ว กรรมหมายถึงการกระทำนั้นเอง เพราะว่าถ้าเป็นการกระทำชั่วหรือกระทำบาปเรียกว่าบาปกรรม หรืออกุศลกรรมนั้นเอง แต่ว่าถ้าเป็นการกระทำดีหรือกัลยาณกรรมก็เป็นกุศลกรรม ซึ่งสภาพธรรมที่เป็นกรรมจริงๆ อย่างที่คุณสุภีร์ ได้กล่าวไปแล้วก็คือเจตนาเจตสิกนั่นเอง ซึ่งก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะว่าเจตนาเจตสิกนั้นเป็นเจตสิกที่มีลักษณะที่จงใจตั้งใจขวนขวายกระทำกิจตามประเภทของเจตนานั้นๆ ซึ่งเจตนาเจตสิกนั้นก็เป็นเจตสิกที่เรียกว่าเป็นอัญญสมานาเจตสิกประเภทหนึ่ง ที่คุณสุภีร์ คุณประเชิญได้กล่าวไปในตอนแรกๆ แล้ว เป็นเจตสิกที่จะต้องเกิดกับจิตทุกดวง เมื่อจิตเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นเจตนาเจตสิกก็เกิดพร้อมกับจิตด้วย ทุกครั้งเลย
เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงว่าเจตนานั่นแหละคือกรรม ด้วยเหตุนี้ในขณะที่จิตเกิดขึ้นทุกครั้ง เจตนาคือกรรมก็เกิดขึ้นด้วย กรรมที่เกิดพร้อมกับจิตทุกดวงนี้เรียกว่า “สหชาตกัมมะ” เป็นกรรมที่ยังไม่สามารถที่จะให้ผลคือวิบากของตนเกิดขึ้นได้ ในขณะที่เจตนากรรมกำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น กรรมไม่สามารถที่จะทำให้วิบากของตนเกิดขึ้นพร้อมกับตนในขณะนั้นได้อันนั้นเป็นสหชาตกัมมะ แต่ว่ากรรมที่ได้กระทำแล้ว แล้วก็ดับไปแล้วสามารถที่จะให้ผลของตนเกิดขึ้นในขณะที่ต่างกัน หมายถึงว่าคนละขณะกับที่ในขณะที่กระทำกรรม แล้วก็ผลนั้นก็เกิดขึ้นขณะหลัง ไม่ใช่ขณะเดียวกันกระทำกรรม อย่างนี้เรียกว่า “นานักขณิกกัมมะ” หมายความว่ากรรมที่ทำไว้แล้วก็ดับไปแล้วนั้นเป็นคนละขณะกับวิบาก คือผลของตน พูดง่ายๆ ก็คือกรรมที่เป็นเหตุกับวิบากที่เป็นผลนั้นไม่ได้เกิดพร้อมกันในขณะเดียวกันแต่เกิดคนละขณะกันจึงเป็นนานักขณิกกัมมะ จะขอให้คุณสุภีร์ได้แยกศัพท์ อธิบายศัพท์ นานักขณิกกัมมะ
อ.สุภีร์ นานักขณิกกัมมะ ก็แยกศัพท์ออกมาเป็น “นานา”แปลว่า “แตกต่าง หรือว่าต่างๆ ” “ขณิกะ” ก็คือ “ขณะ” แล้วก็ “กัมมะ”ก็คือ “กรรม”คือเจตนาที่กระทำกุศลบ้างอกุศลบ้าง นานักขณิกกัมมะ คือกรรมที่กระทำแล้ว และให้ผลต่างขณะกัน ก็คือถ้าเป็นเจตนาที่เกิดพร้อมกันกับจิตเลย ก็เรียกว่าสหชาตกัมมะ “สห”แปลว่า “ร่วมกัน” “ชาตะ”แปลว่า “เกิด” ก็คือเกิดร่วมกัน เกิดร่วมกับจิตนั้น เรียกว่าสหชาตกรรม แต่ว่ากรรมนี้ ทำไปแล้วเป็นกรรมไปแล้วพร้อมที่จะให้ผล ให้ผลต่างขณะออกไป ในกาลต่อไปอีกปีข้างหน้าหรือว่าอีก ๒, ๓ ชาติข้างหน้า หรือว่าอีกแสนแสนชาติข้างหน้าก็ได้อันนี้ เรียกว่านานักขณิกกรรม
อ.กฤษณา ขอเชิญคุณสุกิจ
ผู้ฟัง ไหนๆ ก็มาถึงตรงจิต อยากจะให้อาจารย์สุภีร์ สรุปจิตว่า ขณะนี้เราปุถุชนจิตของเราในกามจิตจริงๆ แล้วบอกว่า ๕๔ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้มีถึง ๕๔ เลย เรารู้ไม่ถึง แต่กามจิต ๕๔ จริงๆ แล้วมีอยู่เท่าไหร่ ๕๔ ลองมาดูว่าเราจะมีสักเท่าไหร่
อ.สุภีร์ อันนี้ยังกล่าวเรื่องจิตยังไม่ครบ ก็คงจะยังไม่นับตอนนี้ แต่ว่าทุกท่านคงจะทราบแล้วว่าจิตมี ๘๙ ประเภท โดยย่อๆ มี ๘๙ ประเภท ซึ่งจิตมี ๔ ภูมิ ก็คือกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ ถ้าเป็นจิตขั้นกามาวจรภูมิ เป็นจิตที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือว่ามีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์นั่นเอง จะมีอยู่ ๕๔ ประเภท ส่วนรูปาวจรจิต เป็นจิตขั้นที่เป็นฌานที่เป็นรูปฌานมีรูปเป็นอารมณ์มีอยู่ ๑๕ ประเภท ส่วนอรูปาวจรจิตเป็นฌานจิตที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์มี ๑๒ ประเภท และโลกุตตรจิตซึ่งเป็นภูมิสุดท้ายมีพระนิพพานเป็นอารมณ์มี ๘ ประเภท ก็รวม ๕๔ บวก ๑๕ บวก ๑๒ แล้วก็บวกอีก ๘ ก็จะเป็น ๘๙ ประเภทพอดี ซึ่งในกามาวจรจิต ๕๔ ประเภทนี้ ก็จะต้องแยกลงไปในรายละเอียดอีกครั้ง
จริงอยู่ว่าทุกๆ ท่านในขณะนี้ เป็นจิตที่เป็นไปในกามาวจรภูมิ แต่ว่าก็มีไม่ครบครั้ง ๕๔ เพราะเหตุว่าไม่มีจิตที่เป็นของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ก็มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ ก็เป็นกามาวจรจิตนั้นเอง แต่ว่าเราไม่มีจิตที่เป็นอย่างนั้นเหมือนพระอรหันต์ จิตของพระอรหันต์ในกามาวจรจิตเป็นธาตุกิริยาก็มีหลายประเภท กิริยาที่มีอยู่ในปุถุชนเราทั่วไปมีกี่ประเภท มี ๒ ประเภท ก็คือ ปัญจทวาราวัชชนะกับมโนทวาราวัชชนะเท่านั้น ส่วนของพระอรหันต์ก็มีมากกว่านั้น ซึ่งตรงนี้ก็คงจะขอไปคราวต่อไป เพราะว่าถ้านับตอนนี้หลายๆ ท่านอาจจะงงๆ ไป
แต่ว่าเท่าที่ได้พูดมาก็จะมีเรื่องของจิตที่เป็นจักขุวิญญาณมี ๒ ประเภท โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ เหล่านี้เป็นกามาวจรจิตที่มีในชีวิตประจำวัน นี้ไป ๑๐ แล้ว แล้วที่เป็นชวนะ อกุศล ๑๒ โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ และโมหมูลจิตอีก ๒ อันนี้ก็รวมเข้าไปอีก ๑๒ ก็คืออกุศล ๑๒ ส่วนที่เป็นกุศลอีก ก็มีมหากุศล ๘ ที่ได้กล่าวไปแล้ว ที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ๔ ประเภท และประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา ๔ ประเภท ซึ่งในรายละเอียดเราก็ยังไม่ได้ลงไป แต่ว่าอันนี้ที่เคยกล่าวถึงแล้ว แต่ว่าจิตประเภทอื่นๆ ที่เป็นมหาวิบาก มหากิริยา เป็นต้น ยังไม่ได้กล่าวถึง ไว้กล่าวถึงแล้ว จะขอนับกันอีกครั้งหนึ่ง
อ.กฤษณา เราก็สนทนากันมาถึงเรื่องของธรรมชาติของจิต ที่ชื่อว่าจิตนั้นเพราะว่าเป็นธรรมชาติอันกรรมกิเลสสั่งสมวิบาก เรื่องของกรรมก็ได้สนทนากันไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว จะมีเรื่องของกิเลส ขอเชิญคุณประเชิญได้กรุณาให้ความหมายของกิเลส พอสมควรแก่เวลาด้วย
อ.ประเชิญ กิเลส ทางภาษาไทยเราก็ทราบว่าคนที่มีกิเลส ก็มีความรู้สึกในทางที่ไม่ดี ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจในภาษาไทยเรา ที่เราได้ทราบกันมา ซึ่งจริงๆ แล้วกิเลสก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม จะตรงกับข้ามกับสิ่งที่ดีงามที่เป็นโสภณะที่เป็นกุศล
กิเลสเป็นธรรมชาติที่เศร้าหมอง เมื่อเกิดกับจิตก็ทำให้จิตเศร้าหมอง กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสไม่ใช่รูป กิเลสไม่ใช่จิต กิเลสไม่ใช่นิพพาน กิเลสเป็นเจตสิก ซึ่งประกอบด้วย โลภะเป็นกิเลส โทสะเป็นกิเลส โมหะเป็นกิเลส อิสสา มัจฉริยะเหล่านี้เป็นกิเลส มานะความถือตัว ความเห็นผิด สิ่งเหล่านี้ไม่ดีทั้งนั้นเลย เมื่อเกิดกับจิตก็จะทำให้จิตเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ความเศร้าหมอง เป็นกิเลส และเป็นลักษณะของกิเลส ซึ่งก็หลายท่านคงไม่ปฏิเสธว่ายังมีกิเลสอยู่ ขณะใดที่ยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะในชีวิตประจำวัน นั่นคือกิเลสเกิดแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่เบียดเบียนใครเลยก็ตาม แต่ว่าความติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั่นคือโลภะ เป็นกิเลสประเภทหนึ่ง ขณะใดที่ขุ่นใจ ไม่พอใจ หรือถึงขั้นโกรธ หน้าดำหน้าแดง อย่างนี้ก็เป็นกิเลสอีกประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจเศร้าหมอง แต่ถ้ามีกำลังมากขึ้นๆ ก็ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ถึงขั้นที่จะด่าว่าคนอื่น หรือว่าถึงขั้นลงไม้ลงมือ อย่างนี้ก็เป็นอาการของกิเลสที่แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา มีเพียงเกิดขึ้นในจิตใจก็แย่แล้ว ทำให้จิตใจของบุคคลนั้นเศร้าหมอง แต่เมื่อล่วงออกมาแล้วก็ทำให้บุคคลอื่นที่อยู่รอบข้างก็ดี ที่เป็นสังคมกลุ่มนั้นก็ดี ก็เดือดร้อนด้วย เพราะฉะนั้นกิเลสจึงเป็นสิ่งที่ไม่ดี
อ.กฤษณา เพราะฉะนั้นกิเลสเท่าที่ทราบจากคุณประเชิญได้กรุณาพูดไป ก็เป็นสิ่งที่เศร้าหมอง ไม่บริสุทธิ์ สกปรก โดยธรรมชาติของกิเลสนั่นเอง และเมื่อกิเลสนั้นไปประกอบกับจิตใดก็ทำให้จิตนั้นเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่บริสุทธิ์ สกปรกด้วย ก็เป็นอกุศลจิต ซึ่งกิเลสใหญ่ๆ ที่เราได้สนทนากันซึ่งเป็นตัวเหตุด้วยก็คือ โลภเจตสิกเป็นโลภเหตุ และเป็นโลภะกิเลสด้วย โทสเจตสิกเป็นโทสเหตุ และเป็นโทสะกิเลสด้วย โมหเจตสิกเป็นโมหเหตุ และเป็นโมหะกิเลสด้วย แล้วตัวโมหะนี้เป็นกิเลสตัวใหญ่เป็นเหตุที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อมีกิเลสแล้วก็เป็นเหตุให้กระทำกรรม เมื่อกระทำกรรมก็เป็นเหตุให้เกิดวิบาก เพราะฉะนั้นธรรมชาติของจิต ชื่อว่าจิตเพราะกรรมกิเลสสั่งสมวิบากก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งเราก็คงจะได้สนทนากันในเรื่องนี้อีกในครั้งหน้า สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลา ขออนุโมทนาทุกท่าน
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 001
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 002
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 003
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 004
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 005
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 006
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 007
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 008
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 009
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 010
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 011
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 012
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 013
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 014
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 015
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 016
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 017
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 018
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 019
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 020
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 021
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 022
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 023
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 024
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 025
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 026
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 027
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 028
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 029
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 030
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 031
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 032
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 033
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 034
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 035
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 036
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 037
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 038
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 039
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 040
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 041
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 042
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 043
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 044
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 045
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 046
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 047
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 048
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 049
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 050
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 051
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 052
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 053
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 054
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 055
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 056
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 057
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 058
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 059
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 060