รวมสติปัฎฐาน ตอนที่ 023


    ตอนที่

    เพราะฉะนั้น ท่านที่วันหนึ่งๆ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ปรากฏ เคยระลึกจริงๆ บ้างหรือเปล่า ที่อ่อน ที่แข็ง ที่เย็น ที่ร้อน หรือว่าไม่รู้ ไปรู้รูปนั่ง รูปนอน รูปยืน รูปเดิน ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฏก ไม่ได้ทรงแสดงไว้ในสูตรไหนเลย แต่มีแต่สูตรที่เกี่ยวกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อ่อน แข็ง เย็น ร้อน เคร่งตึง ไหว ตามปกติ แล้วสิ่งเหล่านี้ เป็นเหตุให้เกิดผัสสะ เวทนา การยึดถือ การยึดมั่น ซึ่งถ้าไม่เจริญสติ จะไม่รู้แล้วก็จะไม่ละ แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริง สติเจริญขึ้น ก็สามารถจะพิจารณารู้ลักษณะของรูปและนามที่เนื่องกับกายได้

    ไม่ทราบว่าเจริญสติกันอย่างไร รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้บ้างไหม สิ่งที่กำลังปรากฏนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่าท่านมักจะเอื้อมไป ข้ามสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ปัญญาจริงๆ จึงไม่ได้เจริญเลย ไม่ได้เกิดเลย เพราะข้ามสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติ

    ในสูตรต่อไป คือ อจริสูตร ข้อความคล้ายกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราได้เที่ยวแสวงหาความแช่มชื่นแห่งปฐวีธาตุ ได้พบความแช่มชื่นแห่งปฐวีธาตุนั้นแล้ว เราได้เห็นความแช่มชื่นแห่งปฐวีธาตุเท่าที่มีอยู่ด้วยดีแล้วด้วยปัญญา เราได้พบโทษแห่งปฐวีธาตุนั้นแล้ว เราได้เห็นโทษแห่งปฐวีธาตุเท่าที่มีอยู่ด้วยดีแล้วด้วยปัญญา เราได้แสวงหาเครื่องสลัดออกแห่งปฐวีธาตุ ได้พบเครื่องสลัดออกแห่งปฐวีธาตุนั้นแล้ว เราได้เห็นเครื่องสลัดออกแห่งปฐวีธาตุเท่าที่มีอยู่ด้วยดีแล้วด้วยปัญญา

    สำหรับข้อความต่อไปเป็นเรื่องของธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม คือ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ โดยนัยเดียวกัน

    ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมที่กายมีโทษไหม หรือมีแต่ความแช่มชื่น ปวดศีรษะ ถ้าไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ปวดศีรษะได้ไหม ปวดท้องได้ไหม ปวดตาได้ไหม เป็นโรคต่างๆ ได้ไหม ก็ไม่ได้เลย แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมนี่เอง ก็ปรากฏความเป็นโทษต่างๆ ของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

    โทษของปฐวีธาตุเอง คือ ความไม่เที่ยง เห็นโทษต้องประจักษ์ความไม่ใช่ตัวตน ความเป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง ที่ไม่ควรจะพึงยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    ในสูตรต่อไป ข้อความคล้ายกัน

    โนเจทสูตร สังยุตตนิกาย นิทานวรรค (ข้อ ๔๐๘)

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความแช่มชื่นแห่งปฐวีธาตุไม่ได้มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายไม่พึงยินดีในปฐวีธาตุ ก็เพราะความแช่มชื่นแห่งปฐวีธาตุมีอยู่แล ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงยินดีในปฐวีธาตุ ถ้าว่าโทษแห่งปฐวีธาตุไม่ได้มีแล้วใซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงเบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ

    ถ้าว่าเครื่องสลัดออกแห่งปฐวีธาตุไม่ได้มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงสลัดตนออกจากปฐวีธาตุ ก็เพราะเครื่องสลัดออกจากปฐวีธาตุมีอยู่แล ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงสลัดตนออกจากปฐวีธาตุ

    ข้อความต่อไปเป็นอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ โดยนัยเดียวกัน

    นี่เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องธรรมดาทุกๆ วัน ที่ไม่เคยหน่าย ไม่เคยคลาย ไม่เคยเห็นโทษ ไม่เคยรู้ชัด เพราะว่าข้ามไป เห็นว่าเป็นสิ่งที่ปกติธรรมดาๆ เท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้ว การรู้ชัดต้องรู้ชัดในสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงจึงจะละคลายได้

    ใน ทุกขสูตร

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปฐวีธาตุนี้จักมีทุกข์โดยส่วนเดียว อันทุกข์ติดตามถึง อันทุกข์หยั่งลงถึง อันสุขไม่หยั่งลงถึงแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงยินดีในปฐวีธาตุ แต่เพราะปฐวีธาตุอันสุขติดตามถึง อันสุขหยั่งลงถึง อันทุกข์ไม่หยั่งลงถึง ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงยินดีในปฐวีธาตุนี้

    ข้อความต่อไปเป็นอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ โดยนัยเดียวกัน

    ควรที่จะระลึกรู้ลักษณะของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมไหม หลังจากที่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว หรือยังจะข้ามต่อไปอีก ไม่ให้รู้ต่อไปอีก เคยมีความสุขที่เกิดจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมบ้างไหม ของที่รักที่พอใจชอบใจมีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมบ้าง ต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่ว่าในสิ่งที่เป็นอาหาร ในสิ่งที่เป็นวัตถุข้าวของเครื่องใช้ ในทุกสิ่งทุกประการนั้น

    เพราะฉะนั้น ตลอดมาเคยพบแต่ความแช่มชื่น ความพอใจในปฐวีธาตุ ในอาโปธาตุ ในเตโชธาตุ ในวาโยธาตุ แต่ว่าเป็นที่ควรจะต้องรู้เพื่อละคลาย

    ข้อความต่อไปในสูตรเดียวกัน มีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปฐวีธาตุนี้จักมีสุขโดยส่วนเดียว อันสุขติดตามถึง อันสุขหยั่งลงถึง อันทุกข์ไม่หยั่งลงถึงแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงเบื่อหน่ายจากปฐวีธาตุ แต่เพราะปฐวีธาตุมีทุกข์อันทุกข์ติดตามถึง อันสุขไม่หยั่งลงถึง ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายจากปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ

    อภินันทนสูตร ข้อ ๔๑๒

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดย่อมชื่นชมปฐวีธาตุ ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมชื่นชมทุกข์ ผู้ใดย่อมชื่นชมทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่หลุดพ้นจากทุกข์

    ต่อไปเป็นธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดย่อมไม่ชื่นชมปฐวีธาตุ ผู้นั้นชื่อว่า ไม่ชื่นชมทุกข์ ผู้ใดไม่ชื่นชมทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นหลุดพ้นจากทุกข์

    ต่อไปเป็นข้อความเรื่องอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เคยแช่มชื่นพอใจเพราะธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมมามากเหลือเกิน วิธีที่จะไม่ชื่นชมในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต้องมีเป็นตามลำดับขั้นด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ชื่นชมทันทีเป็นพระอรหันต์ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่วิธีที่จะไม่ชื่นชมก็ต้องคลายตามลำดับ โดยการที่รู้ว่าเป็นรูป ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล วัตถุสิ่งของ เป็นแต่เพียงรูปๆ หนึ่งที่มาประชุมรวมกับรูปอื่นๆ หลายรูป แต่ละรูปก็เป็นแต่ละลักษณะ เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป

    อุปปาทสูตร ข้อ ๔๑๓ มีข้อความว่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความเกิด ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งปฐวีธาตุ นั่นเป็นความเกิดแห่งทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรา มรณะ

    ต่อไปก็เป็นข้อความเรื่องของอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ โดยนัยเดียวกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับ ความสงบ ความสูญสิ้นแห่งปฐวีธาตุ นั่นเป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นสงบแห่งโรค เป็นความสูญสิ้นแห่งชรา มรณะ

    ข้อความต่อไปเป็นอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ โดยนัยเดียวกัน

    ข้อนี้คงจะเห็นได้ที่ว่า ความปรากฏ ความเกิดแห่งปฐวีธาตุ เป็นความเกิดแห่งทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชรา มรณะ มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมแล้วไม่แก่ได้ไหม ไม่เจ็บได้ไหม ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

    ทันทีที่เกิด ก็ดับไป นั่นเป็นสิ่งที่ถ้ารู้ก็จะทำให้เห็นว่าเป็นโทษ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็ยังคงปรารถนาให้มีรูป ให้มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเกิดขึ้นอีก ชาติหน้าขอให้เป็นอย่างนั้น ชาติโน้นขอให้เป็นอย่างนี้ แต่ไม่ทราบถึงความจริงว่า เมื่อใดที่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเกิดขึ้นปรากฏ เมื่อนั้นก็เป็นที่ตั้งของทุกข์ เป็นที่ตั้งของโรค เป็นความปรากฏของชราและมรณะอยู่เรื่อยไป

    สมณพราหมณสูตร ที่ ๓

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์บางพวกย่อมไม่ทราบชัดซึ่งปฐวีธาตุ เหตุเกิดแห่งปฐวีธาตุ ความดับแห่งปฐวีธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งปฐวีธาตุ

    อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ก็โดยนัยเดียวกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมไม่ได้รับสมมติว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ ไม่ได้รับสมมติว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นย่อมไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ย่อมทราบชัดซึ่งปฐวีธาตุ เหตุเกิดแห่งปฐวีธาตุ ความดับแห่งปฐวีธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งปฐวีธาตุ

    อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ก็โดยนัยเดียวกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    สมณะ หรือพราหมณ์พวกนั้นย่อมได้รับสมมติว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ ได้รับสมมติว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ดังนี้

    ดูเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น สมณะกับพราหมณ์ แต่ความจริงไม่ใช่ เรื่องของท่านผู้ฟังเองที่กำลังจะเจริญสติปัฏฐาน หรือที่กำลังเจริญสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่า คำว่า “สมณะ” หมายความถึงความเป็นผู้สงบ หรือผู้สงบ หรือธรรมของผู้สงบ คำว่า “พราหมณ์” หมายความถึงผู้ประเสริฐ

    ท่านที่กำลังเจริญสติปัฏฐาน เป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์ เพราะความหมายที่ว่ากำลังเจริญข้อประพฤติปฏิบัติของผู้สงบ ผู้ดำเนินไปสู่ความสงบจากกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ประเสริฐคือผู้ที่ดำเนินไปสู่ความสงบจากราคะ โทสะ โมหะ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ย่อมไม่ทราบชัดซึ่งปฐวีธาตุ เหตุเกิดแห่งปฐวีธาตุ ความดับแห่งปฐวีธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งปฐวีธาตุ แล้วก็ธาตุอื่นๆ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ

    สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้นย่อมไม่ได้รับสมมติว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ไม่ได้รับสมมติว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นย่อมไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

    ไม่มีผู้ที่เจริญสติปัฏฐานแล้วไม่รู้ลักษณะของธาตุที่ปรากฏที่กาย สิ่งนั้นปรากฏแล้ว ก็เป็นผู้เจริญสติเพื่อให้ปัญญารู้ชัด ถ้าไม่รู้ชัดในสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วปัญญาจะรู้อะไร เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้ที่รู้ชัดในปฐวีธาตุแล้วหรือยัง ถ้าไม่รู้ซึ่งความเกิด ซึ่งความดับ ซึ่งข้อปฏิบัติให้รู้ชัดในความเกิด ความดับแล้ว จะไม่ใช่สมณะในหมู่สมณะ ไม่ใช่พราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ ไม่มีปัญญาที่รู้ชัดที่จะละคลายกิเลสได้

    ข้ามไม่ได้ อย่าไปหลงแสวงหาสิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏด้วยความเข้าใจผิด แต่ละเลยที่จะพิจารณาแล้วรู้ชัดสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่เป็นพระดำรัสโดยตรงจากพระไตรปิฏก

    ผู้ฟัง ข้อที่ว่า ให้รู้ความเกิดของปฐวีธาตุ และความดับของปฐวีธาตุ เหมือนกับให้รู้ความเกิดและความดับของรูป สงสัยว่า รูปนี้เป็นจิตตชรูป หรืออาหารชรูป หรืออุตุชรูป หรือกรรมชรูป ในตำราต่างๆ ก็ใช้คำว่า รูปเกิดดับเท่ากับ ๑๗ ขณะ หรือ ๕๑ ขณะเล็กของนาม

    ท่านอาจารย์ ปฐวีได้กล่าวไว้คราวก่อน หมายความถึงรูปที่มีลักษณะแค่นแข็ง ถ้าจะใช้คำว่า อ่อนบ้าง แข็งบ้างก็ได้ นั่นเป็นลักษณะของปฐวีธาตุ และสำหรับรูป มีทั้งหมด 28 รูป ก็ได้จัดแบ่งเป็นประเภท เป็นพวกว่า รูปใดเกิดขึ้นจากกรรม เกิดขึ้นจากจิต เกิดขึ้นจากอุตุ เกิดขึ้นจากอาหาร เพราะเหตุว่าสมุฏฐานนั้นมี ๔ สมุฏฐาน แต่ผู้เจริญสติ สติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูปก่อน จะรู้ไหมว่าขณะนั้นเป็นรูปที่เกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร ไม่รู้ เพราะว่า ปัญญาต้องเริ่มเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ขั้นแรกที่สุด ขอให้รู้ลักษณะของรูปแต่ละรูปที่กำลังปรากฏ ที่กล่าวว่าเกิด ก็เพราะเหตุว่า ทุกอย่างมีปัจจัยทำให้เกิดแล้วดับ ไม่ใช่ว่าตั้งอยู่ให้รู้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในขณะที่สติระลึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็หมายความว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วจึงได้ปรากฏ และเมื่อรู้ลักษณะนั้นมากขึ้นก็จะรู้ด้วยว่า ขณะนั้นสติกำลังระลึกรู้ลักษณะของรูปชนิดใด แล้วรูปชนิดนั้นก็ไม่ได้ตั้งยั่งยืน ปรากฏแล้วก็หมดไป จะให้สติไปตามรู้อยู่เรื่อยๆ ได้ไหม ไม่ใช่ของจริงใช่ไหมโดยลักษณะนั้น โดยลักษณะที่ให้จิตไปจดจ้องรู้อยู่ที่รูปเดียวตลอดเวลา นั่นไม่ใช่ลักษณะที่เป็นจริงของรูป ไม่ใช่ลักษณะที่เป็นจริงของนาม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับอยู่เรื่อยๆ จะสังเกตได้ว่า ผู้ที่เจริญสติ สติระลึกรู้ลักษณะของรูป ไม่ใช่มีตลอดเวลา และรูปนั้นก็ดับ สติก็ดับ แล้วสติก็ระลึกรู้ลักษณะของรูปอื่นหรือว่านามที่กำลังปรากฏในขณะนั้นก็ได้ ไม่ใช่ว่าให้สติไม่ดับ ให้รูปไม่ดับ ให้รู้ไปอยู่เรื่อยๆ จดจ้องอยู่อย่างนั้น นั่นไม่ใช่ความจริง นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง การรู้อย่างนั้นไม่ใช่รู้สิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไปสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นโดยการศึกษา ศึกษาจากพระปัญญาคุณที่ได้ทรงแสดงธรรมไว้ตามความเป็นจริงโดยละเอียด ซึ่งผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้เกิดปัญญารู้ชัดจะต้องเริ่มเป็นลำดับขั้น ด้วยปัญญาของตนเองเข้าถึงอยู่ ไม่ใช่เอาปัญญาของท่านผู้อื่นมากระทํา ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะไปรู้ว่า รูปหนึ่งดับไป เท่ากับขณะเล็กของจิต ๕๑ ขณะ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะของรูป ยังไม่ได้รู้ลักษณะของนาม ยังไม่ได้ละคลายความไม่รู้ความสงสัยในนามรูปทั้ง ๖ โลกซึ่งเกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จะตั้งกฎเกณฑ์เป็นอัตตาที่จะไปประจักษ์อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้

    สำหรับเรื่องของธาตุทั้ง ๔ มีปรากฏตลอดเวลาทั้งภายในทั้งภายนอก แต่การละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตนนั้นก็แสนยาก แล้วก็ไม่ใช่ยากแต่เฉพาะบุคคลในครั้งนี้ แม้บุคคลในครั้งพุทธกาลก็เช่นเดียวกัน สัตว์โลกในสมัยนี้ฉันใด ในครั้งพุทธกาลก็ฉันนั้น ไม่ต่างกัน คนในสมัยนี้มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีความเห็นผิดยึดถือนามรูปว่า เป็นตัวตนฉันใด คนในครั้งโน้นก็เหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ อุปการะให้ท่านที่กำลังเจริญสติได้มีความเห็นถูก แล้วละคลายการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน

    และถึงแม้ว่าสติจะระลึกรู้ลักษณะของนามของรูป ก็ไม่ใช่ว่าจะละคลายได้โดยง่าย ผู้ที่เป็นอุคฆฏิตัญญูนั้นมีน้อย ผู้ที่เป็นวิปัญจิตัญญูนั้นมีน้อย ส่วนผู้ที่เป็นเนยยบุคคลนั้นต้องเจริญสติปัฏฐานมาก ระลึกรู้นามรูปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะชิน จนกว่าจะคลาย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะละคลายได้โดยรวดเร็ว ถ้าผู้นั้นไม่ได้สะสมอินทรีย์มาแก่กล้า พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมแก่ท่านพระราหุลใน

    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มหาราหุโลวาทสูตร มีข้อความว่า

    ณ พระวิหารเชตวัน ซึ่งครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ท่านพระราหุลเป็นปัจฉาสมณะ ตามหลังพระผู้มีพระภาคไป และพระผู้มีพระภาคได้ทรงโอวาทท่านพระราหุล ทำให้ท่านกลับไป เพราะเห็นว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสโอวาทแก่ท่านแล้ว ท่านก็ควรที่จะเจริญสมณธรรม

    เมื่อท่านกลับจากที่นั้นแล้ว ท่านนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้เห็นท่านพระราหุลนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วบอกกับท่านพระราหุลว่า

    ดูกร ราหุล ท่านจงเจริญอานาปานสติเถิด ด้วยว่า อานาปานสติภาวนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระราหุลออกจากที่เร้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์

    เวลาที่อ่านพระสูตรตอนแรกๆ ก็อาจจะข้ามพยัญชนะ ไม่ค่อยได้คิดถึงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดบุคคลนั้นจึงได้กล่าวกับบุคคลนั้นว่าอย่างนั้น แต่ว่าถ้าท่านอ่านซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจจะเกิดความแจ่มแจ้งถึงเหตุถึงผลได้ และเข้าใจได้โดยตลอดว่า เพราะเหตุใดท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวกับท่านพระราหุลอย่างนั้น แต่เมื่อท่านพระราหุลออกจากที่เร้น ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วก็กราบทูลถามว่า

    อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์

    แสดงว่าท่านพระราหุล เจริญอานาปานสติภาวนาตลอดเวลาเหล่านั้น

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะของรูป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ท่านพระราหุลท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบทเจริญสติปัฏฐาน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 8
    1 เม.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ