แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 929
ครั้งที่ ๙๒๙
สาระสำคัญ
ขุท,พุทธวงศ์ - ความเพียร ความอดทน ที่จะอบรมเจริญปัญญาเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. แน่นอน จะเป็นคฤหัสถ์ก็ดี บรรพชิตก็ดี ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ย่อมไม่บรรลุอริยสัจธรรมแน่นอน แต่ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตเริ่มต้นบำเพ็ญบารมีพร้อมกัน บรรพชิตจะถึงก่อนไหม
สุ. แล้วแต่เหตุที่ได้สะสมมา อย่าคิดว่าเหตุเป็นในเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ที่จะเอาเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิตเป็นเครื่องตัดสินในชาตินี้ เหตุย่อมมีมานานแสนนานในอดีต เพราะการที่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้จริงๆ จะต้องอบรมเจริญปัญญาและบารมีอื่นๆ มามาก และในระหว่างที่กำลังอบรมเจริญบารมี บางครั้งเป็นเพศคฤหัสถ์ บางครั้งเป็นเพศบรรพชิต แล้วแต่กาล
แม้พระผู้มีพระภาคเอง เมื่อทรงได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกร ก็ต้องบำเพ็ญพระบารมีเป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ซึ่งในระหว่างนั้น บาง พระชาติก็ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงอุบัติ บางพระชาติก็ไม่ได้พบเลย เพราะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติในระหว่างนั้น และเวลาที่ได้รับพยากรณ์แล้ว ระหว่าง ๔ อสงไขยแสนกัป ก็ได้อบรมเจริญบารมี ได้ฟังธรรม ได้พบ ได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒๔ พระองค์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในระหว่างนั้น เป็นบรรพชิตก็มี เป็นคฤหัสถ์ก็มี
เพราะฉะนั้น ไม่ถือเอาปัจจุบันชาตินี้ชาติเดียวว่า เพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิตจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เร็วกว่ากัน แต่ต้องแล้วแต่การอบรมเจริญบารมีมาในอดีต เมื่ออบรมเจริญบารมีมาในอดีตแล้ว ถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะรู้แจ้งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทุกพระองค์ต้องทรงผนวชก่อน แต่สำหรับ พระปัจเจกพุทธเจ้า บางพระองค์ก็ได้สละราชสมบัติออกผนวชบ้าง บางพระองค์ก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมในเพศคฤหัสถ์นั้นเอง ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และสำหรับคฤหัสถ์ในชาติที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม บางท่านก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็น พระอรหันต์แล้ว จึงบวช บางท่านก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอนาคามีแล้วบางท่านก็บวช บางท่านก็ไม่บวช ส่วนผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระสกทาคามี และพระโสดาบัน มีเป็นอันมากที่ไม่ได้บวช
เรื่องของเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ เป็นการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งทำให้ พุทธบริษัทมีทั้งเพศคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นบรรพชิตจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เร็วกว่าผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ แล้วแต่การสะสม ซึ่งทำให้แต่ละชีวิตต่างกันไปไม่ซ้ำกันเลย ไม่ว่าจะมีบุคคลจำนวนเท่าไรในโลก ในสวรรค์ แต่ละขณะจิตนี้ก็มีการสะสมที่ต่างกัน ทำให้ชีวิตของแต่ละท่านต่างกัน ทำให้ชาติที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นบุคคลต่างกัน เพราะแม้แต่การที่จะได้บรรลุคุณธรรมเป็นถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ยังเป็นได้ในเพศคฤหัสถ์ และเมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว จึงได้ทรงผนวช เพราะว่าไม่สามารถดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์สำหรับผู้ที่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วเพราะฉะนั้น เหตุสำคัญที่สุด สำคัญกว่าอย่างอื่น
ถ้าใครอยากจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินี้ ดูเหมือนว่าจะต้องรีบบวช ใช่ไหม เพราะว่าอยากจะรู้แจ้ง เพราะถ้าเป็นคฤหัสถ์อยู่ จะไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่นั่นไม่ใช่เหตุ แล้วแต่การสะสมจริงๆ
ขอกล่าวถึงประวัติการบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระผู้มีพระภาคพระสมณโคดมพระองค์นี้ จากข้อความใน ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ จริยาปิฎก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเพียร ความอดทน ในการที่จะอบรมเจริญปัญญากว่าที่จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าสำหรับผู้ที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็สะสมบารมีน้อยกว่านั้น และผู้ที่ไม่ได้สะสมบารมีที่จะบรรลุถึงความเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็สะสมเหตุที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมน้อยกว่านั้น แต่การที่กล่าวถึงนี้จะแสดงให้เห็นว่า ในระหว่างที่บำเพ็ญบารมี แล้วแต่ว่าชาติไหนจะเป็นเพศบรรพชิต และชาติไหนจะเป็นเพศคฤหัสถ์
ใน ๔ อสงไขยแสนกัปที่ล่วงมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นสมัยการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระพุทธทีปังกร ซึ่งในครั้งนั้นพระพุทธทีปังกรเห็นนิมิต ๔ และออกบวช บำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมเป็นสุเมธดาบส เมื่อได้พบพระผู้มีพระภาคพระพุทธทีปังกรแล้ว ก็ไม่ได้บวชในสำนักของพระพุทธทีปังกร แต่ว่าดำรงเพศเป็นดาบส และบำเพ็ญบารมีต่อไป
ต่อจากสมัยของพระพุทธทีปังกร เป็นสมัยของพระพุทธโกณฑัญญะ ซึ่งพระองค์ได้เห็นนิมิต ๔ และได้ทรงผนวช บำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนามว่า วิชิตาวี ได้สละราชสมบัติออกบวช และได้ศึกษาพระธรรมวินัย
อย่าลืม สี่อสงไขยแสนกัปที่ได้เคยบวช ได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมวินัย แต่ว่าเพิ่งจะได้บรรลุความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี
ต่อจากสมัยของพระพุทธโกณฑัญญะ ถึงสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธมังคละ พระองค์ทรงผนวช บำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นสุรุจิพราหมณ์ ได้บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระพุทธมังคละ และได้ศึกษาพระธรรมวินัย
ต่อจากสมัยของพระพุทธมังคละ ถึงสมัยพระพุทธสุมนะ ซึ่งพระองค์ทรงผนวช และบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพระยานาคราชชื่อว่า อตุละ ได้บูชาพระพุทธสุมนะด้วยดนตรีทิพย์ และได้ถวายทานเป็นอันมาก
ต่อจากสมัยของพระพุทธสุมนะ เป็นสมัยของพระพุทธเรวตะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ หลังจากที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธทีปังกร
สมัยนั้น พระพุทธเรวตะเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า วิปุละ และได้สละราชสมบัติออกผนวช บำเพ็ญเพียร ๗ เดือน ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ ครั้งนั้นเป็นพราหมณ์ ชื่ออติเทพ ซึ่งเมื่อได้เฝ้าแล้ว ได้บำเพ็ญบารมีต่อไป
ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๖ ต่อจากพระพุทธเรวตะ คือ สมัยของ พระพุทธโสภิตะ สละราชสมบัติออกผนวช ๗ วัน ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพราหมณ์ ชื่อสุชาติ ได้ถวายทานและได้บำเพ็ญเพียร
จะเห็นได้ว่า แม้การตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มีเวลาต่างกันในการบำเพ็ญเพียร ตามควรแก่เหตุปัจจัยที่ได้ทรงบำเพ็ญ พระบารมีสะสมมา
ต่อจากสมัยของพระพุทธโสภิตะ ก็ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๗ ทรงพระนามว่า พุทธอโนมทัสสี พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า ยสวา ทรงเห็นนิมิต ๔ และได้ทรงผนวช บำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมเป็นยักษ์มีฤทธิ์มาก ได้เข้าเฝ้าและได้ถวายทานเป็นอันมาก
ต่อจากสมัยของพระพุทธอโนมทัสสี ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๘ คือ พระพุทธปทุมะ เมื่อได้เห็นนิมิต ก็ได้ออกผนวช บำเพ็ญเพียร ๘ เดือน เพราะผู้ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงผนวชก่อนตรัสรู้ทุกพระองค์ ซึ่งในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพระยาราชสีห์ ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค และได้บำรุงพระองค์อยู่ ๗ วัน
นี่เป็นเพียงพระชาติใหญ่ๆ ที่ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เฝ้าถึง ๒๔ พระองค์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม แต่ในระหว่างชาติเหล่านั้น ก็เป็นทั้งคฤหัสถ์บ้าง บรรพชิตบ้าง แต่ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ตลอดมา
ต่อจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธปทุม ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๙ ทรงพระนามว่า พระพุทธนารทะ ทรงผนวช บำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นชฎิล มีตบะแรง ได้อภิญญา เหาะเหินเดินอากาศได้ ได้มาเฝ้าถวายบังคมพระผู้มีพระภาคพระพุทธนารทะ และได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีต่อไป
ในระหว่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑ ถึงพระองค์ที่ ๙ นี้ กาลเวลาล่วงไป ๔ อสงไขย เหลืออีกแสนกัป มากหรือน้อย กัปหนึ่งๆ กว่าจะล่วงไป แต่ละภพ แต่ละชาติ กว่าจะถึงแต่ละกัป และอีกแสนกัปที่จะได้ตรัสรู้
ในอีกแสนกัปนั้น เป็นสมัยของพระพุทธปทุมุตตระ ซึ่งทรงผนวชและบำเพ็ญเพียร ๗ วัน ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นผู้ปกครองมหารัฐพระนามว่า ชฏิล ได้ถวายผ้าและภัตตาหาร และได้ทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป
กาลเวลาล่วงไปอีก ๓๐,๐๐๐ กัป เป็นสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธสุเมธะ ซึ่งพระองค์ทรงผนวชและบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม ทรงเป็นมานพ ชื่ออุตตระ ได้ถวายทรัพย์หมด ออกบวช บำเพ็ญบารมี ศึกษา พระธรรมวินัย
เพราะฉะนั้น ในแต่ละชาติที่ท่านกำลังบวช และศึกษาพระธรรมวินัย อาจจะอีก ๓ หมื่นกัป หรือว่าอาจจะอีกเท่าไรก็แล้วแต่ที่จะเป็นบารมีที่จะทำให้รู้แจ้ง อริยสัจธรรม เมื่อไม่ได้ตั้งปณิธานความตั้งใจที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องถึง ๔ อสงไขยแสนกัป หรือว่า ๘ อสงไขยแสนกัป หรือ ๑๖ อสงไขยแสนกัป แต่ให้ทราบว่า ระหว่างนี้เองไม่ใช่ขณะอื่น ปัจจุบันชาติ ขณะนี้ที่กำลังเป็นคฤหัสถ์บ้าง เป็นบรรพชิตบ้าง จะต้องอบรมเจริญบารมีจริงๆ ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องเป็นเวลาที่นาน และเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ในชาตินั้นที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม อาจจะเป็นคฤหัสถ์ หรืออาจจะเป็นบรรพชิตก็แล้วแต่ ซึ่งท่านเองจะไม่ทราบว่า ท่านจะเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือว่าเป็นพระสาวก แต่ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะต้องมีความปรารถนา มีความตั้งใจที่แน่วแน่ จึงจะได้รับพยากรณ์เมื่อเหตุสมควรแล้วจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่ถ้ายังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ยังไม่แน่นอนเลยว่า ความตั้งใจของท่านนั้นจะสมความปรารถนาหรือไม่
เพราะเดี๋ยวนี้อาจจะตั้งใจ อาจจะตั้งปณิธาน แต่ชาติหน้าก็มีโลภะ โทสะ โมหะ ความยินดีพอใจในโภคสมบัติ หรือเห็นว่า ไม่มีบารมีพอที่จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยเป็นสาวก ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ท่าน และถึงแม้ว่าท่านเพียงใคร่ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม และอบรมเจริญปัญญา แต่อาจจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นสาวกก็ได้ เช่น นายสุมนมาลาการ หรือท่านพระเทวทัต ท่านทั้งสองนั้นก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ใช่สาวก แล้วแต่เหตุปัจจัยจริงๆ
ถ. หลังจากได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระพุทธทีปังกรแล้ว หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์มาตรัสรู้ พระพุทธเจ้าของเราต้องพบทุกพระองค์ใช่ไหม
สุ. ใน ๒๔ พระองค์
ถ. ทำไมบางครั้งห่างไกลเหลือเกิน อย่างเช่น พระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ มาถึงพระพุทธเจ้าสุเมธะ พระพุทธเจ้าสุเมธะจากนี้ไป ๓๐,๐๐๐ กัป และพระพุทธเจ้าปทุมุตตระจากนี้ไป ๑๐๐,๐๐๐ แสนกัป หมายความว่า ๗๐,๐๐๐ กัป ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลยหรือ
สุ. แล้วแต่เหตุ เป็นสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าก็กัปหนึ่ง กัปหนึ่งยังไม่ทราบเลยว่าเมื่อไร ก็รู้เพียงแค่วันนี้ เมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ ๑๐๐ ปี ๒๐๐ ปี ๒,๐๐๐ ปี ๓,๐๐๐ ปี ก็ยังไม่ถึงสักกัปเดียว ใช่ไหม แต่ชีวิตที่ต้องวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น การที่ได้ฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใด และมีมนสิการ การพิจารณาด้วยดี มีการใส่ใจด้วยดี ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะสามารถจะทำให้บำเพ็ญบารมีได้ต่อๆ ไป จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่อย่าไปคิดเร่งตัวเองว่า ถ้าบวชแล้วจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเร็วกว่าคฤหัสถ์ ย่อมแล้วแต่เหตุ
สมัยต่อมา เป็นสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๒ พระนามว่า พุทธสุชาตะ ใน ๓๐,๐๐๐ กัปเหมือนกัน ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้จะได้ทรงตรัสรู้ พระพุทธสุชาตทรงผนวช และบำเพ็ญเพียร ๙ เดือน ได้ ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้ถวายราชสมบัติออกบวช บำเพ็ญบารมี
ในสมัยต่อมา เป็นสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า พุทธปิยทัสสี ทรงผนวชและบำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ เดือน ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นมานพ ชื่อกัสสปะ จบไตรเภท ได้บริจาคทรัพย์ ถวายอาราม และบำเพ็ญบารมีต่อไป
ใน ๑,๘๐๐ กัป ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เป็นสมัยของพระพุทธอัตถทัสสี ซึ่งได้ทรงผนวช และบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือน ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเป็นชฎิล มีตบะรุ่งเรือง ชื่อสุสีมะ ได้บูชาดอกไม้ และได้อธิษฐานวัตร บำเพ็ญบารมี
สมัยต่อมาเป็นสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๕ ทรง พระนามว่า พระพุทธธรรมทัสสี ทรงผนวช และบำเพ็ญเพียร ๗ วัน ได้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นท้าวปุรินททสักกเทวราช คือ เป็นพระอินทร์ ได้บูชา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธธรรมทัสสีด้วยของหอม ดอกไม้ และดนตรีทิพย์
ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๖ ทรงพระนามว่า พระพุทธสิทธัตถะ ทรงผนวช บำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นดาบส ชื่อมังคละ ได้ถวายผลหว้า ได้อธิษฐานบารมียิ่งขึ้น
สมัยต่อมาเป็นสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๗ ทรงพระนามว่า พระพุทธติสสะ ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ถอยไปจากนี้ ๙๒ กัป เป็นสมัยของพระพุทธติสสะ ซึ่งเมื่อทรงผนวช และได้ทรงบำเพ็ญเพียรครึ่งเดือน ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า สุชาตะ ได้ออกบวชเป็นฤๅษีก่อนที่พระพุทธติสสะจะทรงอุบัติ และได้ทรงบำเพ็ญบารมี
ต่อมาเป็นสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๘ ทรงพระนามว่า พระพุทธผุสสะ ซึ่งได้ทรงผนวช บำเพ็ญเพียร ๗ วัน ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนามว่า วิชิตาวี ได้บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระพุทธผุสสะ ได้เรียนศึกษาพระธรรมวินัย ประพฤติปฏิบัติธรรม บรรลุอภิญญา
แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๙๓ ตอนที่ ๙๒๑ – ๙๓๐
เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 901
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 902
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 903
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 904
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 905
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 906
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 907
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 908
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 909
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 910
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 911
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 912
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 913
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 914
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 915
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 916
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 917
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 918
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 919
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 920
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 921
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 922
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 923
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 924
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 925
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 926
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 927
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 928
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 929
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 930
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 931
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 932
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 933
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 934
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 935
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 936
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 937
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 938
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 939
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 940
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 941
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 942
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 943
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 944
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 945
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 946
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 947
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 948
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 949
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 950
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 951
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 952
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 953
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 954
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 955
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 956
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 957
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 958
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 959
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 960