แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1140


    ครั้งที่ ๑๑๔๐


    สาระสำคัญ

    โลกุตตรกุศลจิตเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้โลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันที

    เจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัยมี ๒ อย่าง


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน ต่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๕


    . เรื่องโลกุตตรจิต บุคคลที่เป็นมนุษย์บรรลุเป็นพระโสดาบัน เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น เวลานี้ท่านเป็นเทวบุตรแล้ว ท่านยังเป็นพระโสดาบันบุคคลหรือเปล่า

    สุ. จะให้ท่านกลับเป็นปุถุชนได้หรือ ความเป็นพระอริยบุคคลนี้ไม่เสื่อม

    . ท่านอาฬารดาบสกับอุทกดาบส ยังเป็นฌานลาภีบุคคลไหม

    สุ. เกิดในอรูปพรหมภูมิ

    . แต่ไม่เป็นฌานลาภีบุคคลแล้วใช่ไหม เป็นพรหมบุคคล

    สุ. แล้วแต่ท่าน ถ้าท่านเจริญฌานขณะใด ก็เป็นฌานลาภีในขณะนั้น

    . ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ เมื่อจุติจากชาตินี้และไปเกิดในพรหมโลก บุคคลนั้นเป็นพรหมบุคคล ยังมีฌานจิตด้วยไหม

    สุ. ยังสามารถเกิดฌานจิตได้ และต่อไปได้

    . ยังเป็นฌานลาภีบุคคลอยู่

    สุ. ในขณะที่เป็นฌานจิต ก็เป็นฌานลาภี

    . ผมคิดว่า ผู้ที่เป็นฌานลาภีบุคคลตายจากชาตินี้ไปเป็นพรหมแล้ว ก็คงไม่ใช่ฌานลาภีบุคล

    . เจริญฌานได้ไหม ถ้าเจริญฌานได้ก็เป็นฌานลาภี ถ้าไม่เจริญก็ไม่ใช่

    . ถ้าไม่เจริญ ก็ไม่ใช่ ใช่ไหม

    สุ. แน่นอน

    . แต่พระโสดาบันเมื่อตายแล้ว ไม่ได้เจริญวิปัสสนาต่อ ก็ยังเป็น พระโสดาบัน ใช่ไหม

    สุ. วิปัสสนาคืออะไร

    . พระโสดาบันบุคคลไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน

    สุ. ทำไมท่านจะหยุดเจริญสติปัฏฐาน

    . ยังไม่ได้เป็นพระสกทาคามีบุคคล ปกติฌานลาภีบุคคลตายจากชาตินี้แล้ว ถ้าไม่ได้เจริญฌานต่อ ก็ไม่ได้เป็นฌานลาภีบุคคล

    สุ. เป็นโลกียะ ไม่ใช่โลกุตตระ มีความต่างกัน

    . แต่พระอริยบุคคลตายจากชาตินี้ ไปเกิดเป็นเทวบุตร ก็ยังเป็น พระอริยะ

    สุ. แน่นอน ไม่เสื่อม

    . ความต่างกันของฌานลาภีบุคคลกับพระอริยบุคคลเมื่อจุติแล้ว คือ …

    สุ. ฌานลาภีเสื่อมได้ แต่ความเป็นพระอริยะไม่เสื่อม

    . ถ้าพูดถึงไม่เสื่อม หลังจากจุติแล้ว ก็ไม่เป็นฌานลาภีบุคคล

    . ไม่เป็นฌานลาภีบุคคลแล้ว นั่นคือเสื่อม เพราะฉะนั้น โลกียธรรม เสื่อมได้ แต่อริยธรรมไม่เสื่อม ถ้าเสื่อม จะเจริญสติปัฏฐานกันทำไม เป็นพระโสดาบัน พอจุติแล้วก็ไม่เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่น่าจะต้องเจริญสติปัฏฐานกันเลย เสียเวลาจริงๆ แต่เพราะว่าไม่เสื่อม จึงควรอบรมเจริญเพื่อที่จะได้บรรลุความเป็นพระอริยบุคคล เพราะเมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จะไม่มีการเสื่อมลงมาเป็นปุถุชนอีกเลย

    เพราะฉะนั้น สำหรับโลกุตตรกุศลจิตประเภทเดียวเท่านั้น ที่เป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย ที่ให้ผล คือ ทำให้โลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มี จิตอื่นเกิดคั่น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรือว่าชาติต่อไป ทันทีที่โสตาปัตติมรรคจิตดับไป โสตาปัตติผลจิตเกิดต่อมีนิพพานเป็นอารมณ์เช่นเดียวกับโสตาปัตติมรรคจิต

    ถ้าเป็นสกทาคามิมรรคจิตดับไป เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้สกทาคามิผลจิตเกิดสืบต่อทันที

    อนาคามิมรรคจิตและอรหัตตมรรคจิตก็โดยนัยเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น สำหรับโสตาปัตติมรรคจิต สกทาคามิมรรคจิต อนาคามิมรรคจิต อรหัตตมรรคจิต เป็นอกาลิโก คือ เป็นกุศลกรรมที่ให้ผลทันทีเมื่อกุศลกรรมนั้นดับไป

    โสตาปัตติมรรคจิตทำให้เกิดปฏิสนธิได้ไหม

    ไม่ได้ เพราะว่ามรรคจิตดับภพชาติ ไม่ใช่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิ พระโสดาบันบุคคลยังเกิดอีกเพราะว่ายังไม่ใช่พระอรหันต์ แต่การเกิดของพระโสดาบันนั้น ต้องเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใด แล้วแต่ว่าจะเป็นกามาวจรกุศลกรรม หรือเป็น รูปาวจรกุศลกรรม หรือเป็นอรูปาวจรกุศลกรรม แต่ไม่ใช่เพราะโสตาปัตติมรรคจิตทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด

    โสตาปัตติมรรคจิตทำให้เพียงโสตาปัตติผลจิตเกิดสืบต่อทันที และไม่มีการให้ผลอีกเลย นอกจากผู้ที่ได้ฌานโสตาปัตติผลจิตสามารถที่จะเกิดอีก เป็นผลสมาบัติ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฌาน เมื่อโสตาปัตติมรรคจิตดับไป เป็นปัจจัยให้โสตาปัตติผลจิตเกิดสืบต่อ ๒ หรือ ๓ ขณะ และไม่เกิดอีกเลย

    โสตาปัตติผลจิตยังมีโอกาสเกิดอีกได้ แต่โสตาปัตติมรรคจิตไม่มีโอกาสจะเกิดอีกเลย เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวดับกิเลสเป็นสมุจเฉทแล้ว จึงไม่ต้องดับกิเลสนั้นซ้ำอีก

    เพราะฉะนั้น โสตาปัตติมรรคจิตเกิด ๑ ขณะ สกทาคามิมรรคจิตเกิด ๑ ขณะ อนาคามิมรรคจิตเกิด ๑ ขณะ อรหัตตมรรคจิตเกิด ๑ ขณะ และไม่เกิดอีก

    ขอถามทบทวนเรื่องของปัจจัย

    สำหรับเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกัมมปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ สหชาตกัมมปัจจัย ๑ และนานักขณิกกกัมมปัจจัย ๑

    เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิต เป็นสหชาตกัมมปัจจัยหรือเปล่า

    มี ๒ อย่างเท่านั้นที่จะต้องจำตามลำดับ คือ กรรม ได้แก่ เจตนาเจตสิก และ ๒ อย่าง คือ สหชาตกัมมปัจจัย หมายความถึงเจตนาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับ ปัจจยุปบัน คือ จิตและเจตสิกอื่นๆ และนานักขณิกกัมมปัจจัย คือ เจตนาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตดับไปก่อน จึงเป็นปัจจัยให้ปัจจยุปบัน คือ วิบากจิตและเจตสิกเกิด ในภายหลัง เพราะฉะนั้น เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิต เป็นสหชาตกัมมปัจจัยหรือเปล่า

    เป็น

    เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแก่อะไร

    แก่โสตาปัตติมรรคจิต และเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเกิดกับโสตาปัตติมรรคจิต

    เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิต เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแก่รูปด้วยหรือเปล่า

    เป็น เพราะว่าเว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงเท่านั้น ที่ไม่เป็นสมุฏฐานให้ เกิดรูป เพราะฉะนั้น เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิต เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแก่ รูปได้

    เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแก่รูปอะไร

    แก่จิตตชรูป ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เท่านั้น

    ในภูมิซึ่งมีขันธ์ ๔ ในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีรูปสักรูปเดียว มีแต่นามขันธ์เท่านั้นเกิด อรูปพรหมไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย ไม่มีรูปใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การที่จะดับกิเลส จะดับได้อย่างไร ในเมื่อผู้ที่จะดับกิเลสได้ ก่อนกิเลสดับต้องมีความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นประจำกันทุกคน มีใครบ้างไหมที่ไม่มีความยินดีพอใจในรูปที่ปรากฏทางตา ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ และถ้ายังไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง จะดับความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้รู้ความจริงว่า รูปที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่ใช่ตัวตนใดๆ เลย ในรูปที่ปรากฏทางตา

    เสียง ก็โดยนัยเดียวกัน กลิ่น รส โผฎฐัพพะ โดยนัยเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะเว้น คือ ไม่รู้ความจริงของรูปซึ่งเกิดดับ ในขณะนี้ รูปทุกรูปกำลังเกิดดับ ไม่ว่าจะเป็นรูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น โผฏฐัพพะทางกาย คิดนึกทางใจ สภาพธรรมของสังขารธรรม เกิดและก็ดับไปอย่างรวดเร็วที่สุด ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของรูป จะสามารถบรรลุเป็น พระโสดาบันบุคคลดับกิเลสที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนได้เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทไม่เกิดอีกเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีโสตาปัตติมรรคจิต แต่ผู้ใดก็ตามซึ่งเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ บรรลุความเป็นพระโสดาบันบุคคล และบรรลุถึงอรูปฌาน ก่อนที่จะจุติ อรูปฌานหนึ่งอรูปฌานใดใน ๔ ขั้นเกิดขึ้น จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีรูปก็จริง แต่บุคคลนั้นเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว เพราะว่าดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท

    เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงสกทาคามิมรรคจิต อนาคามิมรรคจิต อรหัตตมรรคจิต เจตนาซึ่งเป็นสหชาตกัมมปัจจัยในสกทาคามิมรรคจิต ในอนาคามิมรรคจิต ในอรหัตตมรรคจิต เป็นปัจจัยแก่รูปหรือเปล่า

    คำตอบเปลี่ยนแล้ว คือ เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้

    เป็นปัจจัยแก่รูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ แต่ไม่เป็นปัจจัยแก่รูปในภูมิที่มีขันธ์ ๔ และสำหรับโสตาปัตติมรรคจิต เป็นไม่ได้ เพราะการที่ใครก็ตามจะดับกิเลสเป็นสมุจเฉทโดยไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของรูปธรรม เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้ายังไม่ประจักษ์ความเกิดดับของรูปธรรม ย่อมยึดถือรูปธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาโดยละเอียด คำถามก็แยกๆ ออกได้ และคำตอบก็ ต่างๆ กันไป

    เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิต เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยหรือเปล่า

    อย่าลืม กัมมปัจจัยมี ๒ อย่าง สหชาตกัมมปัจจัย ๑ ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต สำหรับกัมมปัจจัยอีกประเภทหนึ่ง คือ นานักขณิกกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตและอกุศลจิตเท่านั้น ซึ่งเมื่อกุศลจิตและอกุศลจิตนั้นดับไปแล้ว เจตนาซึ่งเป็นกัมมปัจจัยในกุศลจิตและอกุศลจิตนั้นเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย เพราะว่า ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ใช่เกิดพร้อมเหมือนอย่างขณะที่เป็น สหชาตกัมมปัจจัย

    เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิตเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยหรือเปล่า

    เป็น

    เพราะอะไร

    เพราะทำให้โสตาปัตติผลจิตเกิดในภายหลังที่โสตาปัตติมรรคจิตดับไปแล้ว

    เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิตเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้เกิดรูปไหม

    ไม่เป็น เพราะว่ากุศลจิตและอกุศลจิตที่เป็นกามาวจรจิต รูปาวจรจิต หรือ อรูปาวจรจิต คือ โลกียจิต เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้ผลเกิดขึ้นภายหลัง ผลของทาน ผลของศีล เป็นต้น ที่เป็นกามาวจรกุศล กุศลนั้นดับแล้วจะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากเกิดพร้อมกับเจตสิกและรูปซึ่งเป็นกัมมชรูป หรือว่ารูปฌานดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้รูปาวจรวิบากปฏิสนธิในรูปพรหมภูมิพร้อมกับกัมมชรูปซึ่งทำให้เป็นพรหมบุคคล

    แต่สำหรับโสตาปัตติมรรคจิต ดับแล้ว เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยที่ทำให้ โสตาปัตติผลจิตเกิด เป็นวิบาก แต่ไม่ได้ทำให้กัมมชรูปเกิด ยังไม่ได้เปลี่ยนความเป็นบุคคลอะไรเลย โสตาปัตติมรรคจิตไม่ได้เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิใดๆ เกิด เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิด

    บุคคลหนึ่งอบรมเจริญสติปัฏฐาน วิปัสสนาญาณเกิดเป็นลำดับขั้น โสตาปัตติมรรคจิตเกิด ยังเป็นบุคคลนั้นอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างกายอะไรเลย

    เจตนาในโสตาปัตติมรรคจิตเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ทำให้โสตาปัตติผลจิตเกิด แต่ไม่ได้ทำให้กัมมชรูปเกิด กัมมชรูปของคนซึ่งเป็นพระโสดาบันในขณะที่บรรลุมรรคผลในขณะนั้น มีกัมมชรูปซึ่งเกิดเพราะกุศลกรรมในอดีตซึ่งเป็นปัจจัยให้ ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นบุคคลนั้น และยังคงทำให้ความเป็นบุคคลนั้นดำรงอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะถึงจุติ แต่โสตาปัตติมรรคจิตไม่ได้เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้กัมมชรูปเกิด

    เจตนาเจตสิกในโสตาปัตติมรรคจิต เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแก่รูปหรือเปล่า

    เป็น

    แก่รูปอะไร

    แก่จิตตชรูป

    กรรมในปัจจุบันที่ดับไปแล้ว จะเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้รูปเกิดได้ไหม ในชาตินี้

    หลังจากปฏิสนธิจิตดับแล้ว ตั้งแต่ขณะที่ปฏิสนธิจิตดับ ปฐมภวังค์เกิด ตลอดไปจนกระทั่งถึงจุติจิต ชื่อว่าปวัตติกาล เพราะฉะนั้น ในชีวิตหนึ่ง ในชาติหนึ่ง แบ่งออกเป็น ๒ กาล คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะนั้นเป็นปฏิสนธิกาล และ เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตทุกดวงซึ่งเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งถึงจุติจิตเป็นปวัตติกาล

    เพราะฉะนั้น ถามว่า เจตนาเจตสิกที่เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ให้ผลในชาตินี้ได้ไหม

    ได้ เพราะการให้ผลของกรรม ให้ผลในปัจจุบันชาติก็มี ให้ผลในชาติหน้าก็มี ให้ผลในชาติอื่นๆ หลังจากชาติหน้าก็มี

    . กัมมชรูปเกิดนอกตัวก็ได้ ใช่ไหม

    สุ. เกิดที่ไหน นอกตัว

    . ผมเคยได้ยิน จำไม่ได้ว่าที่ไหน พระราชาที่มีบุญมากๆ ทรัพย์สินจะเกิด มีขุมทองขุมเงินเกิดในแผ่นดินรอบๆ

    สุ. นั่นเป็นอุตุชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมแต่ไม่ใช่กัมมชรูป

    . ที่ว่านานักขณิกกัมมปัจจัยให้ผลในปัจจุบันชาติได้ ขอให้ยกตัวอย่าง

    สุ. โรคที่เกิดเพราะกรรมมีไหม โรคบางโรคถึงจะรักษาก็ไม่หายถ้าโรคนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน ซึ่งตอนเกิดมายังไม่มีโรคนั้น แต่หลังจากนั้นแล้วจะมีโรคนั้นเกิดขึ้นก็ได้ เพราะว่าการให้ผลของกรรม อาจจะให้ผลในชาตินี้ก็ได้ ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้ กรรมนั้นจะให้ผลในชาติหน้าก็ได้ หรือถ้าไม่ให้ผลในชาติหน้า จะให้ผลในชาติหลังๆ ต่อจากชาตินั้นไปก็ได้ แล้วแต่ประเภทของกรรม



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๑๔ ตอนที่ ๑๑๓๑ – ๑๑๔๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 85
    28 ธ.ค. 2564