รวมสติปัฎฐาน ตอนที่ 075


    ตอนที่ ๗๕

    ถ้าไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ มีความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นที่จะไม่ทำให้รู้ลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง ก็เป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ที่ผูกไว้ในความเห็นผิดในข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด เพราะเหตุว่าไม่ตรงกับสภาพตามความเป็นจริง เช่น ทางตามีปรมัตถธรรม ๒ ชนิด คือ นามธรรมที่เห็น กับ รูปธรรมคือสีที่ปรากฏทางตา จะให้ระลึกแต่เฉพาะนามที่เห็นแล้วจะมีความรู้ในสีที่ปรากฏได้อย่างไร ไม่ได้แยกทวารทั้ง ๖ อายตนะทั้ง ๖ เลยว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้ก็เป็นของจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงประการหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่เป็นสภาพธรรมของจริงที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ทางกาย ไม่ใช่ทางหู

    เพราะฉะนั้น ความรู้ชัดจะทำให้สามารถกระจัดกระจายแยกนามและรูปที่เกาะกุมกันไว้เป็นสัตว์ เป็นบุคคลตัวตนได้ถูกต้อง ถ้าระลึกรู้ลักษณะของสีที่ปรากฏทางตา และระลึกรู้ลักษณะของเห็นที่กำลังปรากฏด้วย ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกที่จะให้เว้น

    สำหรับพยัญชนะที่อ้าง คือ ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ และ วิญญาตํ นั้น

    ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เหมกมาณวกปัญหานิทเทส มีข้อความเรื่อง ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ วิญฺญาตํ ดังนี้

    คำว่า ทิฏฺฐํ ความว่า ที่ได้เห็นด้วยจักษุคำว่า

    โสตํ ความว่า ที่ได้ยินด้วยหู

    คำว่า มุตฺตํ ความว่า ที่ทราบ คือ ที่สูดด้วยจมูก ลิ้มด้วยลิ้น ถูกต้องด้วยกาย

    คำว่า วิญฺญาตํ คือ ที่รู้ด้วยใจ

    ทั้งหมดนี้ทรงแสดงอารมณ์ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวาร

    สำหรับสีที่ปรากฏทางตาซึ่งเป็นอารมณ์ของการเห็นนั้นใช้คำว่า ทิฏฺฐํ ความว่า ที่ได้เห็นด้วยจักษุ หมายความถึงอารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุ ส่วนคำว่า โสตํ ก็ได้แก่เสียงที่รู้ได้ทางหู

    คำว่า โสตํ ความว่า ที่ได้ยินด้วยหู หมายความถึงอารมณ์ที่ได้ยินด้วยหู

    ส่วนคำว่า มุตฺตํ ความว่า ที่ทราบ คือ ที่สูดด้วยจมูก ลิ้มด้วยลิ้น ถูกต้องด้วยกาย คือ เป็นอารมณ์ทางจมูก คือ กลิ่น อารมณ์ที่รู้ได้ทางลิ้น คือ รส อารมณ์ที่รู้ทางกาย คือ โผฏฐัพพะ

    ส่วนคำว่า วิญฺญาตํนั้น คือ อารมณ์ที่รู้ด้วยใจ

    เพราะฉะนั้น เป็นอารมณ์ทั้ง ๖ ทวาร แต่ทรงจำแนกตามลักษณะหรือประเภทของอารมณ์นั้น เช่น ทางตาเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ เป็นทิฏฐํ เสียงก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางหู เป็นโสตํ ส่วนมุตฺตํนั้น คือ ที่สูดด้วยจมูก ที่ลิ้มด้วยลิ้น ที่กระทบสัมผัสด้วยกาย เพราะเหตุว่าอารมณ์ทั้ง ๓ อารมณ์นี้ เวลาที่กระทบปรากฏนั้น จะต้องกระทบสัมผัสถูกต้องสรีระจริงๆ สำหรับสีเป็นแต่เพียงที่ปรากฏทางตาให้เห็นเท่านั้น แล้วเสียงก็เป็นแต่เพียงอารมณ์ที่ปรากฏทางหูให้ได้ยิน แต่ว่ากลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเป็นมุตฺตํ เพราะเหตุว่าต้องกระทบ ต้องเข้ามาชิดติดกับอายตนะ คือ จมูก ลิ้น กายจริงๆ

    แต่ไม่ได้ทรงแสดงไว้ว่า ในการเจริญสติปัฏฐานนั้น ทางตาให้ระลึกรู้แต่เห็นไม่ให้รู้สี หรือว่าทางหูให้ระลึกรู้แต่ได้ยินไม่ให้ระลึกรู้เสียง หรือว่าทางจมูกไม่ได้ทรงแสดงไว้ว่า ให้รู้แต่กลิ่น ทางลิ้นก็ไม่มีพยัญชนะใดในพระไตรปิฎกที่ทรงแสดงไว้ว่า ให้รู้แต่รสไม่ให้รู้นามธรรมที่รู้รส ทางกายก็ไม่มีพยัญชนะใดที่ทรงแสดงไว้ว่า ให้รู้โผฏฐัพพะแต่ไม่ให้รู้นามธรรมที่รู้โผฏฐัพพะ

    ทิฏฺฐํ ก็ดี โสตํ ก็ดี มุตฺตํ ก็ดี วิญฺญาตํ ก็ดี เป็นการจำแนกอารมณ์ทั้ง ๖ ว่าอารมณ์ประเภทใดเป็นทิฏฺฐํ อารมณ์ประเภทใดเป็นโสตํ ประเภทใดเป็นมุตฺตํ ประเภทใดเป็นวิญฺญาตํ เทียบเคียงได้กับมหาสติปัฏฐาน อย่างจิตตานุปัสสนาประการต่อไปก็จะถึงจิตประเภทต่างๆ

    ผู้ฟัง สรุปได้ว่า ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ หรือวิญฺญาตํ เป็นการจำแนกอารมณ์ซึ่งเป็นรูปและเป็นนามเท่านั้นเอง ไม่ใช่จะต้องกำหนดว่า โสตํ ให้รู้ทางหูโดยเฉพาะ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พยัญชนะที่ว่า ทิฏฺฐํ โสตํ มุตฺตํ วิญฺญาตํนี้จะมีความหมายว่าเป็นตัวรู้ไปจะได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ดิฉันได้กราบเรียนถามพระคุณเจ้าที่มีความรู้ทางภาษาบาลี ท่านก็ กล่าวว่า ทิฏฺฐํ ได้แก่ รูปารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตา โสตํ ได้แก่ สัททารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยหู มุตฺตํ ได้แก่ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยกาย ได้กราบเรียบถามท่านย้ำแล้วย้ำอีกหลายครั้ง แต่พยัญชนะก็แสดงว่า หมายความถึงอารมณ์

    การที่จะละสีลัพพตปรามาสกายคันถะได้ ผู้นั้นจะต้องเจริญข้อประพฤติปฏิบัติที่ถูก และทิ้งข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดจึงจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ถ้ายังมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดหลงเหลืออยู่ไม่ทิ้งไป ก็หมดโอกาสที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้าขณะนี้สติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปที่กำลังปรากฏเลย จะมีข้อประพฤติปฏิบัติอื่นใดที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    ท่านที่มีความโกรธแรงกล้า สติอาจจะเกิดขึ้นระลึกนิดเดียว แต่เพราะโทสะมีกำลังแรง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปอีกถ้าสติไม่ระลึกรู้ในขณะนั้น แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ วันหนึ่งปัญญาของท่านก็จะต้องระลึกรู้ แล้วละสิ่งที่ท่านเคยระลึกตอนที่เริ่มเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง ซึ่งอารมณ์ก็ไม่ผิดแปลกไปจากขณะปกติธรรมดาที่สติเริ่มเกิดเลย แต่ปัญญารู้ชัดขึ้น แล้วก็ละได้

    ผู้ฟัง ให้เรารู้ว่า ... (ไม่ได้ยิน)

    ท่านอาจารย์ ให้รู้ถูก แล้วก็ให้รู้ชัด แล้วก็ให้รู้แจ้ง ไม่ใช่เพียงรู้ขั้นการศึกษา ขั้นการศึกษาฟังขณะนี้เข้าใจแล้วว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นความรู้ขั้นปริยัติ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของสังขารธรรมแต่ละชนิด

    ผู้ฟัง คำว่ารู้แจ้ง

    ท่านอาจารย์ รู้ถึงลักษณะ แล้วก็ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป อย่างเวลานี้ถ้าสติจะระลึกรู้ที่เย็น เย็นนั้นก็หมดไป แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของรูปนั้นจริงๆ และของนามที่รู้รูปนั้นเลย เพราะเหตุว่าสติยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปจนทั่ว จนละ จนคลาย แล้วถึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปได้

    ถ้าเพียงแต่ไปนั่งจ้องที่จะให้ประจักษ์ความดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยที่ปัญญาไม่ได้รู้ลักษณะของนามของรูปอื่นๆ จนทั่ว ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ประจักษ์การเกิดดับของนามและรูป

    มีธรรมปรากฏทุกวัน ทางตาก็มีของจริงที่ปรากฏ ทางหูก็มี ทางจมูกก็มี ทางลิ้นก็มี ทางกายก็มี ทางใจก็มี จะประจักษ์ได้ก็ต่อเมื่อรู้ทั่วในลักษณะของนามและรูปจนชิน และละคลาย ปัญญาคมกล้า ก็จะสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมของรูปธรรมได้จริงๆ เพราะฉะนั้น ท่านที่เจริญสติปัฏฐานจะต้องทราบลักษณะของสีลัพพตปรามาสกายคันถะด้วย

    สภาพธรรมไม่ได้เป็นของใครเลย สภาพธรรมเป็นความจริง อกุศลธรรมก็เป็นอกุศลธรรม กุศลธรรมก็เป็นกุศลธรรม ทิฏฐิก็มีความเห็นผิดเป็นลักษณะที่ทำให้เข้าใจข้อประพฤติปฏิบัติผิดไป อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่รู้ที่ทำให้ปิดกั้นไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิดซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็ศึกษาพิจารณาเหตุผลว่า การประพฤติอย่างไร การเจริญอย่างไรจึงจะทำให้ปัญญาเจริญแล้วก็รู้มากขึ้น รู้ทั่วขึ้น รู้ชัดขึ้น หรือติดข้องอยู่ในข้อประพฤติปฏิบัติอย่างไร ทำให้ไม่สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีปรากฏเป็นปกติตามความเป็นจริงได้

    อย่างท่านที่เข้าใจว่าจะต้องเข้าวิปัสสนา เป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะไหม สีลัพพตปรามาสกายคันถะ คือ ทิฏฐิ ความเห็นผิดในข้อประพฤติปฏิบัติ ความเห็นผิดก็ขยายกระจายออกไปถึงในการประพฤติปฏิบัติด้วย เพราะว่าไม่ทำให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมตามปกติ

    คันถะที่ ๔ คือ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ได้แก่ ความเห็นผิดทั้งหมดที่เว้นจากสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ท่านมีความเห็นถูกในข้อประพฤติปฏิบัติ แต่ยังไม่หมดความเห็นผิดจนกว่าจะเป็นพระโสดาบันบุคคล ผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว สามารถที่จะละกายคันถะได้ในข้อหรือในฐานะที่เป็นความเห็นผิด คือ สีลัพพตปรามาสกายคันถะก็ละได้ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะก็ละได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว จะไม่มีความเห็นผิดใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

    สีลัพพตปรามาสกายคันถะมีมากทีเดียว แม้ว่าท่านจะมีความเข้าใจถูกในข้อปฏิบัติแล้ว แต่กิเลสอกุศลธรรมที่ได้สะสมมาก็ยังมีกำลังพอที่จะชักพาท่านให้ไขว้เขวให้คลาดเคลื่อนไปทีละเล็กทีละน้อยได้

    ขอยกตัวอย่าง ท่านที่มีความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็มีความเข้าใจในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน แต่ในขณะที่ความโกรธกำลังมีกำลัง ก็พยายามที่จะให้ความโกรธนั้นหมดไป ต้องการที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้น ก็ระลึกถึงสมถะที่จะทำให้จิตสงบ ขณะนั้นไม่ใช่หนทางที่จะดับความโกรธเป็นสมุจเฉท เพราะว่าถ้าเป็นหนทางที่จะดับความโกรธเป็นสมุจเฉท ไม่ได้ไประลึกอย่างอื่น แต่ระลึกลักษณะของนามธรรมแล้วรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นทันที นี่คือเป็นการเจริญมรรคมีองค์ ๘ การเจริญมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย นอกจากสติระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าถ้าไปทำอย่างอื่นขึ้นก็เป็นความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน ยังมีเหลือ ยังมีแทรก ยังเจ้ากี้จัดการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แทนที่สติจะระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การที่สติจะมีกำลังแล้วก็จะระลึกลักษณะของนามและรูปบ่อยๆ เนืองๆ ก็เป็นเพราะเหตุว่า ท่านเจริญสติมากขึ้นนั่นเอง ถ้าไม่เจริญสติมากขึ้น ในขณะนั้นก็จิตก็ไปคิดเรื่องอื่นแล้ว คือไปคิดที่จะยับยั้งด้วยวิธีอื่น แทนที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนำมาทำแล้วรูปธรรมตามปกติธรรมดา แล้วรู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพราะเหตุว่าปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั้งปวงมากขึ้น

    ผู้ฟัง บางครั้งขณะที่เรากำลังระลึกรู้บ่อยๆ จะเบื่อ

    ท่านอาจารย์ เบื่อไม่อยากเจริญสติ หรือเบื่ออะไร

    ผู้ฟัง เบื่อในอารมณ์

    ท่านอาจารย์ เบื่อในอารมณ์ อารมณ์อะไรที่น่าเบื่อ สีที่กำลังปรากฏนี้น่าเบื่อหรือยัง เสียงที่กำลังได้ยินนี้น่าเบื่อหรือยัง กลิ่นที่กำลังปรากฏทุกวันเป็นปกติธรรมดาๆ น่าเบื่อหรือยัง รสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ร้อนต่างๆ นั้นน่าเบื่อหรือยัง เย็น ร้อน อ่อน แข็งที่กำลังกระทบสัมผัสน่าเบื่อหรือยัง

    เหตุต้องสมควรแก่ผล หรือว่าผลที่จะเกิดขึ้นต้องสมควรแก่เหตุ ดังนั้นเบื่ออะไร นึกเบื่อ อย่าเพิ่งรีบเบื่อ หรือว่าเบื่อจริงๆ ก็ต้องบอกให้ถูกว่าเบื่ออะไร

    ผู้ฟัง ถ้าเราเห็นสี เราพิจารณาตลอด ...

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ความรู้ชัดที่จะเป็นความเบื่อที่รู้จริง ความเบื่อที่แท้จริงเป็นญาณที่เกิดต่อกันไปเป็นขั้นๆ จนถึงขั้นที่เบื่อด้วยปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามและรูป

    แต่นี่เป็นการนึกเบื่อ คิดเบื่อ อย่าเพิ่งเบื่อเลย เพราะเบื่อนี่หมายความว่าต้องรู้ชัดในลักษณะของนามและรูป และความรู้ชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ขั้นการศึกษา ไม่ใช่ขั้นคิด แต่เป็นขั้นที่ประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรม ลักษณะที่เป็นรูปธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 9
    8 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ