แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1431
ครั้งที่ ๑๔๓๑
สาระสำคัญ
อถ.ทุก.อัสสกชาดก
ผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๘
ถ. ตอนที่ประชุมชาดก พระองค์ทรงประกาศสัจธรรม ผู้ที่ฟังชาดกก็ สำเร็จมรรคผล การสำเร็จมรรคผลของผู้ที่ฟังชาดกนี้ ท่านสำเร็จด้วยเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ตอนไหนไม่ทราบ
สุ. พระภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน แต่แม้กระนั้นก็ยังมีความทุกข์เกิดขึ้นได้ถ้ายังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เช่น พระภิกษุรูปนี้ ยังเป็นทุกข์อย่างใหญ่หลวง เมื่อคิดถึงผู้ที่เคยเป็นภรรยา
นี่เป็นชีวิตจริงๆ เพราะว่าท่านยังมีกิเลสอยู่ แต่เมื่อเป็นผู้ที่มีปกติอบรม เจริญสติปัฏฐาน และได้ฟังเรื่องในอดีตชาติ ซึ่งเคยเป็นทุกข์มาแล้วครั้งหนึ่งจากการที่เป็นพระเจ้าอัสสกะและมีความเศร้าโศกเมื่อคิดถึงพระนางอุพพรี ซึ่งพระนางอุพพรี ก็ไปเกิดเป็นหนอน และรักหนอนมากกว่าตนเองซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
แสดงให้เห็นว่า การเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพียงชั่วขณะสั้นๆ จริงๆ และเมื่อบุคคลนั้นตายแล้ว ก็จบจริงๆ จะไม่ย้อนกลับไปเป็นบุคคลนั้นอีก
ในขณะที่ฟังพระธรรมเทศนา ได้รู้ความเป็นมาในอดีตชาติ เห็นความไม่มีสาระ และระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เมื่อปัญญาสมบูรณ์ถึง ขั้นที่จะประจักษ์แจ้งอริยสัจธรรม โลกุตตรจิตก็เกิดได้ ในขณะไหนก็ได้
ถ. หมายความว่า พระภิกษุที่ฟังพระธรรมเทศนานั้น ท่านไม่ได้สงสัยว่า ทางตาอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม คือ ท่านไม่ได้สงสัยในสัจธรรม
สุ. ผู้ที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล ต้องเป็นพหูสูต คือ ฟังมาก ไม่ใช่เฉพาะชาติเดียวที่จะได้เป็นพระสาวก และต้องบำเพ็ญบารมีมา เพียงแต่ไม่เท่าการบำเพ็ญบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้บำเพ็ญบารมีมา และได้ฟังพระธรรม สิ่งที่ได้เคยอบรมเจริญมาแล้ว เช่น สติปัฏฐาน อย่างท่านพระสารีบุตรเป็นต้น เพียงได้ฟังพระธรรมสั้นๆ ที่ท่านพระอัสสชิกล่าว ก็สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ซึ่งใครก็ตามที่ได้ฟังคำเดียวกับที่ท่านพระอัสสชิกล่าวกับท่านพระสารีบุตร แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ก็เพราะว่าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาและสติปัฏฐานมาพอที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ฉะนั้น จึงต้องฟังอีกมาก และพิจารณาอีกมาก
ผู้ที่ได้อบรมมาแล้ว และได้บวช และเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน แต่เมื่อกิเลสมีกำลังเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น ซึ่งสติสามารถระลึกลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมในขณะนั้น ไม่มีความสงสัย
ถ. ในขณะที่ท่านฟัง หมายความว่าท่านต้องเจริญสติปัฏฐาน
สุ. เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้ฟังในขณะนี้กำลังฟัง สติระลึกได้ เป็นผู้ที่มีปกติที่สติจะเกิดขึ้นระลึกลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
ทุกคนที่เป็นพุทธบริษัทที่น้อมประพฤติปฏิบัติธรรม จะต้องเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ว่าในกาลไหนๆ แต่สำหรับพระภิกษุรูปนี้ เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นปกติในขณะที่กำลังฟัง ถ้าใครจะรู้แจ้ง อริยสัจธรรมในขณะนี้ก็ได้ ถ้าอบรมบารมีมาพร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เหมือนในครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน และทรงแสดงชาดกนี้ นี่คือชาดกที่ตรัสด้วยพระองค์เองที่พระวิหารเชตวันแก่พระภิกษุรูปนั้น
ถ. เจ้าสรกานิที่ชอบเสวยน้ำจัณฑ์ บรรลุเพราะว่าได้อบรมมาแล้วตั้งแต่ชาติก่อน ใช่ไหม
สุ. คนที่เจริญสติปัฏฐานและยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล มีการล่วงศีลได้ เพราะผู้ที่ไม่ล่วงศีล ๕ ได้เป็นสมุจเฉทจริงๆ ต้องเป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็จะล่วงศีลหนึ่งศีลใดใน ๕ ข้อนั้นได้ ตามกำลังของกิเลส แต่การเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน เป็นปัจจัยทำให้ก่อนสิ้นพระชนม์ เจ้าสรกานิได้เป็นพระโสดาบันบุคคล แต่ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานด้วย
ถ. มีเรื่องหนึ่งในพระสูตร แต่ชื่ออะไรจำไม่ได้ คือ ไม่เคยสร้างความดีเลย แต่ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จไป หันมาเห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดพุทธานุสสติ จึงไม่ตกอบาย มีไหม
สุ. ถ้ากุศลจิตเกิด เป็นกุศลกรรม และเวลาที่กุศลกรรมนั้นให้ผล ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ
ถ. ถ้าคนๆ หนึ่งเคยทำแต่ความดีมา แต่ก่อนตายเกิดอกุศลจิต ก็เสร็จกัน สุ. แน่นอน ประมาทไม่ได้เลย อยู่ที่ว่าใกล้จะจุตินั้น ...
ถ. สำคัญตรงนี้ล่ะ คือ ก่อนจะตายไม่ค่อยรู้สึกตัว จะบอกอะไรกันก็ไม่ได้ ไร้สาระมากเลยชีวิต
สุ. เวลาที่ขว้างท่อนไม้ขึ้นไปบนอากาศ ส่วนไหนจะตกลงมา นี่เป็นข้อความในพระสูตรสูตรหนึ่ง
ถ. ส่วนที่หนัก ส่วนที่ใหญ่ ที่หนักกว่า
สุ. แล้วแต่ส่วนไหนตก บางครั้งจะเป็นส่วนปลาย บางครั้งจะเป็นส่วนต้น บางครั้งจะเป็นส่วนกลาง ฉันใด กรรมที่ทุกคนทำมา เลือกไม่ได้ว่า จะให้กรรมนี้เป็นชนกกรรมทำให้ปฏิสนธิ
ถ. การที่เราทำบุญให้ทาน ใส่บาตร ก่อนเราจะตายเราไม่มีสติ ไปคิดเรื่องอะไรที่ไม่ดีขึ้น เราก็เสร็จ ใช่ไหม
สุ. ควรอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล จะไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกเลย แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็มีปัจจัยทำให้เกิดในอบายภูมิได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะทำกุศลมามากอย่างไรก็ตาม เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช ก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม พระนางมัลลิกา มเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็เกิดในนรก พระนางอุพพรีก็เกิดเป็นหนอน
ถ. หนอนตอนพระโพธิสัตว์เรียกมา พูดได้หรือ
สุ. น่าคิด ใช่ไหม เคยได้ยินเสียงหนอนไหม
ถ. ไม่เคย เห็นแต่มันคลานไปคลานมา
สุ. คงจะเล็กและเบามาก เพราะว่าปัจจัยที่จะให้เกิดเสียงก็ต้องแล้วแต่ ถ้าเป็นของแข็งมากๆ กระทบกันเสียงก็ดัง ถ้าซักผ้าและสะบัดเบาๆ คนที่อยู่ไกลยังเห็นกิริยาอาการของการซักผ้าและการสะบัดผ้า แต่ไม่ได้ยินเสียงของผ้าที่สะบัด เพราะฉะนั้น ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยว่าจะมีเสียงดังได้มากน้อยแค่ไหน
ถ. ผมคิดว่าพระโพธิสัตว์ท่านช่วย คือ ช่วยเป็นสื่อ
สุ. ข้อนี้น่าคิด และควรที่จะได้พิจารณาว่า มีทางที่จะเป็นไปได้ไหม เพราะว่าในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นพระดาบสที่ได้อภิญญา ๕ มีจักขุทิพย์ มีโสตทิพย์ และสามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ก็ย่อมจะเนรมิตเสียงได้
ธรรมดาของผู้ที่รู้จักกัน หรือว่าเห็นกัน คุ้นเคยกัน ก็ยังสามารถอ่านจิตใจของคนนั้นได้ และถ้าเคยได้ยินเขาพูดอะไรบ่อยๆ แม้ไม่พูดก็อาจจะคิดว่า เดี๋ยวเขาก็จะพูดคำนี้แน่ๆ ก็ได้ ใช่ไหม
ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียด และสะสมการเป็นผู้ที่มีสติระลึกลักษณะของ สภาพธรรม ย่อมสามารถสังเกตโดยละเอียด จากสิ่งที่เห็นทางตาก็สามารถล่วงรู้ไปถึงใจแม้ที่กำลังคิดของคนนั้น ปิดบังไม่ได้ คนฉลาดสามารถอ่านจิตใจของคนอื่นได้พอสมควร โดยที่ยังไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ หรือว่าไม่ใช่อภิญญา ไม่ใช่จักขุทิพย์ โสตทิพย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นจักขุทิพย์ หรือโสตทิพย์ รู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ ก็สามารถรู้ได้ว่า พระนางอุพพรีเกิดเป็นหนอน และการที่จะให้หนอนออกมาจาก ก้อนโคมัย ถ้าเป็นคนธรรมดาก็อาจจะเขี่ย มีวิธีใช่ไหม ก็เอาหนอนออกมาได้เหมือนกัน แต่ว่าโดยอธิษฐาน และผู้ที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ สามารถเนรมิตรูปได้ด้วย เพราะฉะนั้น ก็จะมีรูป อาจจะเป็นรูปธาตุไฟที่ร้อนหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้หนอนนั้นออกมา และเมื่อออกมาแล้ว ยังสามารถให้หนอนนั้นเข้าใจ หรือรู้สิ่งที่ พระดาบสหรือพระโพธิสัตว์นั้นพูดกับตนก็ได้ เพราะว่ามีโสตปสาท และถ้าจิตใจของหนอนเป็นอย่างไร พระโพธิสัตว์ก็ยังสามารถแปลสภาพของเสียงนั้นออกมาเป็นภาษาที่ พระเจ้าอัสสกะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น เทวดาจะพูดกับคนไทยได้ไหม
ถ. ผมคิดว่าคงจะได้ เพราะว่าเทวดามีฤทธิ์
สุ. ถ้ารู้จิต ใช่ไหม เรื่องของใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แม้ไม่พูด แต่ใจเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล มีโลภะ มีความคิด มีความต้องการอย่างไรที่ผู้อื่นสามารถจะล่วงรู้ได้ แม้ไม่ต้องใช้เสียง เมื่อคนอื่นเข้าใจสภาพของจิตคนนั้นแล้ว ก็สามารถเนรมิตเสียงซึ่งเหมือนกับใจของคนที่พูดได้
ถ. ทำไมสมัยพุทธกาล ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกาต่าง ๆ ฟังพระธรรมแล้ว บรรลุกันมากมาย ผมสงสัยว่า สมัยนี้คงมีแต่ปทปรมบุคคลกับเนยยบุคคล จะมี อุคฆฏิตัญญูและวิปัญจิตัญญูหรือเปล่า
สุ. ไม่มี
ถ. เพราะฉะนั้น เราก็แย่
สุ. แย่แล้วทำอย่างไร ข้อสำคัญที่สุด ถ้ารู้ภาวะของตัวเองว่าแย่แล้ว จะ ทำอย่างไร อย่าปล่อยให้แย่อยู่เฉยๆ
ถ. มีข่าวว่าภิกษุรูปนั้นเป็นอรหันต์ เป็นอริยบุคคล แต่ในภาพต่างๆ ในหนังสือธรรมต่างๆ ผมเห็นภิกษุรูปนั้นยังสูบบุหรี่ คาบบุหรี่ ผมสงสัยว่า ทำไม พระอริยบุคคลจึงเสพติด ที่จริงเราไม่สามารถรู้ได้ใช่ไหมว่า ใครเป็นอริยะ หรือไม่เป็น
สุ. เป็นการดีหรือเปล่าที่จะเชื่อโดยง่าย เวลามีใครบอกว่า คนนั้นเป็น พระอรหันต์ หรือว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์
ถ. แต่พูดกันมาก
สุ. ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ ทุกคนมีสิทธิที่จะพูดได้ เราก็มีสิทธิที่จะพิจารณา และรู้หรือยังว่าพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร
ถ. หมดกิเลส
สุ. และหนทางที่จะหมดกิเลสเป็นอย่างไร รู้ไหม
ถ. ไม่ทราบ
สุ. ถ้าไม่ทราบ ก็ตัดสินไม่ได้ จะตัดสินได้เมื่อเป็นผู้ที่รู้หนทางที่ทำให้หมดกิเลส
ถ. ในสมัยพุทธกาลเวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงชาดกจบลง มี ภิกษุบรรลุเป็นพระอริยบุคคลเสมอ สงสัยว่า ขณะที่ปัญญาในมรรคจิตเกิด เกิดพร้อมกับสติปัฏฐานหรือเปล่า
สุ. แน่นอน ต้องพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ
ถ. ปัญญาในโลกุตตรมรรคจิตเกิดพร้อมกับสติปัฏฐานที่ท่านขณะกำลังเจริญหรือเปล่า หรือว่าเกิดเพราะสติปัฏฐานที่เคยเจริญแล้วเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิด
แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๔๔ ตอนที่ ๑๔๓๑ – ๑๔๔๐
เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1381
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1382
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1383
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1384
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1385
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1386
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1387
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1388
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1389
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1390
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1391
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1392
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1393
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1394
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1395
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1396
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1397
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1398
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1399
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1400
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1401
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1402
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1403
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1404
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1405
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1406
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1407
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1408
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1409
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1410
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1411
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1412
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1413
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1414
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1415
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1416
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1417
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1418
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1419
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1420
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1421
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1422
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1423
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1424
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1425
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1426
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1427
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1428
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1429
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1430
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1431
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1432
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1433
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1434
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1435
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1436
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1437
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1438
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1439
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1440