แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1614


    ครั้งที่ ๑๖๑๔


    สาระสำคัญ

    อย่าทำอะไร จนกว่าจะเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น

    “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา”

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    ไม่เข้าใจข้อความในพระธรรม (ไม่ชื่อว่าพระศาสนายังดำรงอยู่)

    กำลังมีจิตอยู่ แต่ว่าจิตอยู่ที่ไหน


    สนทนาธรรมที่พุทธสมาคม จังหวัดแพร่

    วันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๓๐


    . ไม่ว่าจะสันติอโศก สวนโมกขพลาราม หรือหนองอ้อ จังหวัดเชียงใหม่ ทุกๆ สถานที่ ที่สำนักต่างๆ เกิดขึ้นมา เพื่อจะให้เราชาวพุทธเข้าใจในพระศาสนา อยากทราบว่าอาจารย์มีความเห็นอย่างไร

    สุ. ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม และเข้าใจในอรรถ แม้เพียงไม่มาก เช่น คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เท่านั้นเอง แค่นี้ ถ้าใครสามารถเข้าใจได้ถูกต้อง และศึกษามากเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใจในคำนี้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงเป็นความถูกต้อง แต่ไม่ใช่แยกเป็นสำนักต่างๆ และกล่าวว่า มีข้อปฏิบัติต่างๆ ข้อปฏิบัติอย่างใดจะถูกจะผิด ย่อมขึ้นอยู่กับการเข้าใจอรรถของพระธรรม

    . กฎของเถรสมาคมมีไหมว่า ชาวพุทธจะต้องอยู่ในสังกัดไหน

    สุ. ไม่มี เป็นอิสระ

    . อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน สงสัยว่า บุญที่เรากระทำหรืออุทิศไปให้ผู้อื่น จะช่วยเขาได้ไหม

    สุ. คำว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน หมายความว่า ในขณะนี้ทุกท่านที่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่ตัวตน ก็ยังคงยึดถือว่ามีตัวตนอยู่ ซึ่งไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถจะกระทำบุญกรรมแทนกันได้ แม้แต่เรื่องของการอบรม เจริญปัญญา ก็ต้องอบรมเจริญด้วยตนเอง

    . ที่ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่เมื่อเราแผ่บุญกุศลไปให้ ผู้ที่รับ ก็สบายเลย ไม่ต้องทำบุญ

    สุ. บุญอยู่ที่ไหน อย่าลืม อยู่ที่จิตของแต่ละคน เวลาที่เห็นคนอื่นทำกรรมดี รู้สึกอย่างไร

    . ดี

    สุ. ดีใจด้วยที่เขาทำกุศล หรือบางคนก็อาจจะไม่ชอบ ใช่ไหม อยู่ที่จิต ขณะใดที่พลอยยินดีตามกุศลของคนอื่น ขณะนั้นไม่ได้ริษยา ไม่ได้เห็นแก่ตัว ขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ขณะนั้นเป็นจิตที่ดีงาม

    ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้ใคร หมายความว่า ให้บุคคลอื่นรู้เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา กุศลจิตที่อนุโมทนาเป็นของใคร เป็นของผู้อนุโมทนา ใช่ไหม เพราะฉะนั้น การอนุโมทนาในกุศลของผู้อื่นนั่นเองเป็นกุศลของผู้นั้นที่จะทำให้เขาได้รับผลที่ดี ไม่ใช่ว่าเราหยิบยื่นกุศลของเราให้คนอื่น แต่การที่เราทำกุศลเป็นเหตุให้คนอื่นที่รู้อนุโมทนาด้วย ยินดีด้วย และขณะใดที่เขายินดีด้วย ขณะนั้นเป็นกุศลของเขา ไม่ใช่ของเรา ใครก็ตามที่อนุโมทนาในกุศลของคนอื่น การอนุโมทนาเป็นกุศลของ ผู้อนุโมทนา ซึ่งจะให้ผลกับบุคคลนั้น ก็ไม่ผิดหลัก

    . สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วถึง ๒,๕๓๐ ปี เมื่อก่อนๆ นี้เคยฟังพระเทศน์ พระท่านจะบอกศักราชก่อนที่จะเทศน์ และบอกว่า พระพุทธศาสนาจะมีอายุแค่ ๕,๐๐๐ พรรษา เป็นความจริงหรือไม่ และพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ มีอยู่แล้วกี่พระองค์ มีพระนามว่าอะไรบ้าง อยากจะเรียกถามอาจารย์เพื่อความรู้

    สุ. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต มากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ในขณะที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ก็ได้มีโอกาสเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒๔ พระองค์ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครไปจดจำชื่อ ซึ่งชื่อก็ซ้ำๆ กัน พระสิทธัตถะ พระกัสสปะ พระปทุมุตตระเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ท่านที่สนใจในชื่อจะค้นคว้าศึกษาได้จากพระไตรปิฎก

    และเรื่องของคำพยากรณ์ที่ว่า พระพุทธศาสนาจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ก็มีกล่าวไว้ในอรรถกถาของพระวินัยปิฎก คือ สมันตปาสาทิกา เมื่อครั้งที่พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทูลขอบรรพชา พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงไว้

    แต่ถ้าพิจารณาถึงเหตุการณ์ของโลกจะเห็นได้ว่า ในยุคนี้สมัยนี้ยังไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เพียงแค่ ๒,๕๐๐ กว่าปี มีผู้ใดที่ศึกษาพระพุทธศาสนามากหรือน้อย ในแต่ละแห่งในโลก ซึ่งก็พอจะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีหรือไม่

    สำหรับการที่ศาสนาจะอันตรธาน ก็จะค่อยๆ อันตรธานไป คือ พระไตรปิฎก ๓ ปิฎกนั้น ได้แก่ พระวินัยปิฎก ๑ พระสุตตันตปิฎก ๑ พระอภิธรรมปิฎก ๑ พระอภิธรรมปิฎกจะอันตรธานก่อน และคัมภีร์สุดท้ายซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดสุขุมมาก คือ คัมภีร์ปัฏฐาน ซึ่งแสดงเหตุปัจจัยของสภาพธรรมทั้งหลายจะอันตรธานก่อน และถอยไปๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพระสุตตันตปิฎก และพระวินัยปิฎก

    ผู้ที่เกิดในยุคนี้สมัยนี้ คือ ใน พ.ศ. ๒,๕๐๐ กว่าปี ซึ่งยังไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็คงพอจะพิจารณาเหตุการณ์ของพระพุทธศาสนาได้ว่า ในยุคนี้พระพุทธศาสนายังจะสามารถดำเนินต่อไปได้อีกนานไหม

    เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจะดำรงต่อไปได้ ต่อเมื่อมีผู้ศึกษาพระธรรม คำสอนของพระผู้มีพระภาค ถ้ามีพระไตรปิฎกและอรรถกถา แต่ไม่มีการศึกษา ไม่มีการเข้าใจข้อความในพระธรรมนั้นเลย ก็ไม่ชื่อว่าพระศาสนายังดำรงอยู่ ซึ่งพระศาสนาจะเสื่อมจากพระธรรมก่อน และจะค่อยๆ เสื่อมโดยพระวินัย จนกระทั่งถึงกาลสมัยที่ผู้ที่เป็นภิกษุจะมีแต่เพียงผ้ากาสายะทัดหูหรือห้อยหูหรือเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเครื่องหมายแสดงว่าเป็นบรรพชิตเท่านั้นเอง เพราะว่าความเป็นบรรพชิตไม่ใช่อยู่ที่ผ้ากาสายะ แต่อยู่ที่พระวินัยบัญญัติ

    . ขอเรียนถามอาจารย์ว่า

    ๑. แต่ก่อนมีแต่ผ้าบังสุกุล เดี๋ยวนี้มีผ้ามหาบังสุกุล ผ้าไตรบังสุกุล เพิ่มมา ได้อย่างไร

    ๒. ภิกษุเดี๋ยวนี้ขาดจากการอยู่ปริวาสกรรมกันมาก พุทธสมาคมจะปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้น

    ๓. มารในงานแห่นาค จะห้ามมาร มารคืออะไร

    สุ. สำหรับ ๒ ข้อแรก จะได้ความชัดเจนขึ้น ถ้ากราบเรียนถามพระคุณเจ้าผู้เป็นพระวินัยธร และสำหรับเรื่องมาร ภาษาไทยง่ายๆ คือ ผู้ที่ขัดขวางความเจริญ

    กิเลสของตนเองเป็นมารหรือเปล่า เพราะคำว่า มาร มีหลายอย่าง นอกจากจะเป็นคนอื่นที่ขัดขวางความเจริญแล้ว แม้แต่กิเลสของตนเองก็เป็นกิเลสมาร

    . ขอปรึกษาอาจารย์ แม่เฒ่าไปนั่งวิปัสสนา นั่งขัดสมาธิ สัมมาอรหัง และมีจิตออกจากจมูกไปขึ้นสมองแล้วลงไปในใจ เห็นหมดตับไต แล้วออกเดิน ... (ภาษาเหนือ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ) ... ขอถาม

    สุ. ถาม ใช่ไหม หมายความว่าไม่รู้ ไม่รู้จะเป็นปัญญาหรือเปล่า ไม่ว่า จะไปนั่งทำอะไรทั้งหมดแล้วไม่รู้ ควรจะทำต่อไปไหม เพราะว่าทำเท่าไรๆ ก็ไม่รู้ ขณะนี้อะไรไม่ใช่ตัวตนบ้าง

    . ไม่รู้ว่ามาจากไหน ที่ ...

    สุ. ไม่รู้ เป็นเรื่องของไม่รู้ ซึ่งไม่ควรทำแน่นอน ทำอะไรแล้วไม่รู้ อย่าทำ เพราะทำเท่าไรๆ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ขอเรียนถาม ในขณะนี้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ตัวตน ขณะนี้อะไรที่ไม่ใช่ตัวตน นี่คือความรู้ถ้ารู้ แต่ที่จะไปนั่ง และทำอะไรต่างๆ เห็นอะไรต่างๆ แล้วไม่รู้ อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ก็ยังคงไม่รู้ แต่ขณะนี้อะไรบ้างที่ไม่ใช่ตัวตน เดี๋ยวนี้เองที่จะต้องรู้

    . เดี๋ยวนี้อยากรู้ว่า จะทำต่อไปดีหรือเปล่า

    สุ. ถ้าทำแล้วไม่รู้ อย่าทำ ไม่มีประโยชน์เลย ทำไปๆ ก็ไม่รู้ ไม่มีประโยชน์

    . จะว่าไม่รู้ ก็รู้เหมือนกัน เพราะได้เห็นพ่อ เห็นแม่

    สุ. และรู้อะไร ก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเอง ขณะนี้เอง กำลังเห็นขณะนี้ ตรงตามที่ทรงแสดง แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันต์ ที่ทรงประจักษ์แจ้งว่าขณะนี้ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ไปเห็นอย่างอื่น ต้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้ ซึ่งขอเรียนให้ทราบว่า ต้องศึกษาตั้งแต่ขั้นต้นจริงๆ ต้องฟังตามลำดับตั้งแต่ขั้นต้น เหมือนกับการเรียนทุกวิชา แต่เป็นสภาพธรรมที่พร้อมจะให้พิสูจน์ เพราะกำลังปรากฏ เป็นของจริง เรียนเรื่องตัวเองขณะนี้ และสามารถเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ได้

    นี่คือการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่ให้ไปเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งแม้กำลังนั่งอยู่ก็เข้าใจว่าเดินออกไป แต่ตามความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ถ้าเป็นสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์อย่างในขณะนี้ กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ ใช่ไหม จึงจะถูก จะใช้คำว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นปัญญาแล้ว แม้แต่ขณะนี้ปัญญาก็เกิดได้ เพราะว่าปัญญาต้องรู้ของจริง และขณะนี้ ก็เป็นของจริง เมื่อเป็นปัญญาจึงจะรู้ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ไม่รู้

    ขณะนี้ให้ทราบว่าเป็นของจริง ซึ่งปัญญารู้ได้ แต่เมื่อไม่ใช่ปัญญาก็ไม่รู้ ขณะนี้เห็นหรือเปล่า วิปัสสนาคืออะไร ทำไมไปนั่ง

    วิปัสสนา คือ ปัญญา ไม่จำเป็นต้องนั่ง ยืนปัญญาก็รู้ได้ นอนปัญญาก็รู้ได้ เดินปัญญาก็รู้ได้ เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ใช่นั่ง ไม่ควรใช้คำว่า วิปัสสนา ถ้าไม่รู้ของจริงที่กำลังปรากฏ

    ก่อนอื่นต้องทราบว่า ของจริงที่จะรู้คืออะไร ถ้ายังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นของจริงที่จะต้องรู้ วิปัสสนาไม่ได้เลย ใช้คำว่า วิปัสสนา ก็ไม่ถูก เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น เดี๋ยวนี้ของจริงคืออะไรที่จะต้องรู้ ถ้ายังไม่รู้ อย่าทำวิปัสสนา

    . อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องอภิธรรม เรื่องจิต เรื่องอารมณ์ เรื่องเจตสิก อารมณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาสู่จิต เข้ามาทางไหน เรื่องรูป และนิพพานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นยอดอภิธรรม

    สุ. ขณะนี้ทุกคนทราบว่ามีจิต ถ้าไม่มีจิตอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนยอมรับว่าเข้าใจคำนี้ เมื่อกล่าวถึงคำว่า จิต หรือคำว่า ใจ ทุกคนยอมรับว่ามี แต่ยังไม่รู้จริงๆ ว่าอยู่ที่ไหน กำลังมีจิตอยู่ แต่จิตอยู่ที่ไหน และจิตคืออะไร กำลังเห็น เป็นจิตหรือเปล่า พูดว่าจิต เข้าใจเรื่องจิต ทุกคนมีจิต แต่ถ้าถามว่าขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นจิตหรือเปล่าจะตอบว่าอย่างไร เป็นหรือไม่เป็น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องชื่อ แต่เป็นเรื่องของจริง กำลังเห็นจริงๆ เดี๋ยวนี้ เป็นจิตหรือเปล่า พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ซึ่งต้องศึกษาโดยพิจารณา โดยคิดถึงเหตุผล เมื่อรู้ว่าทุกคนมีจิต ก็ควรจะรู้จักจิต ให้ละเอียดขึ้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นจิตหรือเปล่า

    ถ้าพิจารณาแล้ว ที่ใช้คำว่า จิต คือ สภาพรู้ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็น ธาตุอย่างหนึ่ง เป็นธรรมของจริงอย่างหนึ่งที่ไม่มีรูปร่างลักษณะเลย เป็นแต่เพียงอาการรู้ หรือลักษณะรู้ ซึ่งเป็นเหตุทำให้สิ่งที่มีใจครองกับสิ่งที่ไม่มีใจครองต่างกัน อย่างต้นไม้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน เพราะว่าไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ที่กล่าวว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เพราะว่ามีสภาพรู้ซึ่งเป็นจิต เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ คือ เห็น

    ในขณะที่กำลังเห็น เป็นอาการรู้อย่างหนึ่ง และขอให้ทราบว่า จิตทางตาที่เกิดขึ้นเห็น ซึ่งทุกคนมี ขณะนี้กำลังเห็น แต่ทุกคนไม่ได้พิจารณาจิตที่เห็นเลย เพราะว่าทันทีที่เห็นแล้วนึกถึงเรื่องของสิ่งที่เห็นทันที

    เพราะฉะนั้น คนที่มีจักขุปสาท คือ คนที่ตาไม่บอด มีปัจจัยทำให้เห็น แต่ทำไมลืมพิจารณาว่า เห็นเป็นของจริง เป็นจิตชนิดหนึ่งซึ่งเพียงเห็น เพราะว่า คนตาบอดคิดได้ เวลาที่คลำสิ่งต่างๆ ก็สามารถคิดถึงสิ่งที่ถูกต้องกระทบสัมผัสนั้นได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่เห็น แต่ใจนี่คิด เวลาที่ได้ยินเสียงก็ยังคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อได้ แสดงให้เห็นว่า จิตเห็นเป็นชั่วขณะเดียว ซึ่งเหมือนทางหรือเหมือนประตูที่นำเรื่องราวต่างๆ มาให้คิดมากมายจากการเห็น ใครจะคิดอะไรในวันนี้ ก็คิดเรื่องที่เห็น ถูกไหม เห็นอะไรก็คิดเรื่องนั้นทันที และบางเรื่องก็คิดนาน บางเรื่องก็คิดสั้น แล้วแต่ว่า จะสนใจในสิ่งที่เห็นนั้นมากน้อยแค่ไหน

    ท่านที่ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ อ่านตำรับตำรา ต้องอาศัยตาเห็น และใจก็ นึกไปถึงสมัยโน้น ประเทศนั้น มีผู้นำประเทศต่างๆ มีอะไรต่างๆ จากเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เป็นตัวหนังสือเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาจริงๆ ว่า ทุกคนที่มีตาซึ่งเป็นทางที่ทำให้จิตเห็นสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ยังนำเรื่องราวต่างๆ มาสู่ใจ ทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์มากมาย โดยที่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นจิตต่างๆ ชนิด คือ จิตเห็น ไม่ใช่จิตคิด จิตได้ยินไม่ใช่จิตคิด จิตได้กลิ่นไม่ใช่จิตคิด จิตที่กำลังลิ้มรสที่หวาน เปรี้ยว ขม เผ็ด ไม่ใช่จิตคิด จิตที่กระทบสิ่งที่อ่อนแข็งหรือเย็นร้อน ก็ไม่ใช่จิตคิด

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ มีจิตเห็นเกิดขึ้น และมีเรื่องที่จิตคิดยาวมาก ทุกคนจึงอยู่ในโลกของความคิด โดยจิตคิดเรื่องสิ่งที่เห็นบ้าง สิ่งที่ได้ยินบ้าง สิ่งที่ได้กลิ่นบ้าง สิ่งที่ลิ้มรสบ้าง สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง และก็เป็นสุขเป็นทุกข์เพลินอยู่กับความคิด ของตนเอง ทั้งๆ ที่สิ่งที่เห็นนั้นก็หมดไปแล้ว เสียงที่กระทบหูก็ดับหมดไปแล้ว กลิ่นที่กระทบจมูกชั่วครู่ก็ดับไปแล้ว รสที่กระทบลิ้นชั่วขณะก็ดับไปแล้ว สิ่งที่กระทบสัมผัสกายก็ดับไปแล้ว วันหนึ่งๆ ไม่ได้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงเลยว่า สุขทุกข์ เกิดขึ้นเมื่อไร ทางไหน เพราะจิตประเภทไหน



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๖๒ ตอนที่ ๑๖๑๑ – ๑๖๒๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 93
    28 ธ.ค. 2564