แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1770


    ครั้งที่ ๑๗๗๐


    สาระสำคัญ

    ปัญญาคือความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง

    อนัตตาไม่ใช่อยู่ในหนังสือ

    สังสารวัฏฏ์ คืออะไร


    สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลจังหวัดอุดรธานี

    วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑


    . เจริญปัญญาเพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตว่า กิเลสเป็นอย่างไร … (ได้ยินไม่ชัด)

    สุ. ขณะนี้จริงไหม ที่กำลังเห็น ปัญญาสามารถรู้ขณะนี้ได้ไหม รู้ได้ แต่ต้องมีเหตุที่จะให้รู้ได้ ซึ่งไม่ใช่ไปนั่งสงบ ถูกไหม เพราะว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าฟังเรื่องของการเห็นเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้น นี่คือการเริ่มเข้าใจชีวิตในภพหนึ่งชาติหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ปัญญา คือ ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ทุกขณะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยังไม่ต้องถึงขั้นที่ปัญญาจะแหลมคมถึงกับดับกิเลส เพียงแต่เริ่มเข้าใจการเห็นในขณะนี้ก็มีประโยชน์กว่าการที่เราไม่เข้าใจ และเราก็ไปนั่ง และคิดว่าเราจะรู้การเห็นขณะนี้ได้

    การที่จะรู้ความจริงของการเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ไม่ใช่ไปนั่งเฉยๆ และปัญญาที่เริ่มเข้าใจจะเป็นสังขารขันธ์ เป็นสิ่งที่จะปรุงแต่งให้ปัญญาในกาลต่อไปเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น แต่ต้องเริ่มจากการฟังเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องของจิต เรื่องของสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ซึ่งเรียกว่า เจตสิก ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ และเรื่องของรูปซึ่งมีจริงๆ

    สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏ และไม่เคยรู้ ไม่เคยฟัง ไม่เคยเข้าใจ ปัญญาจะเริ่มจากการฟังเรื่องสิ่งต่างๆ เหล่านี้จนกระทั่งเข้าใจขึ้น จึงจะรู้ชัดได้ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น เหตุกับผลต้องตรงกัน

    . ขอให้อาจารย์อธิบายสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ เป็นอย่างไร

    สุ. โดยมากคิดว่า สมาธิ คือ การที่จิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดอารมณ์เดียวนานๆ ที่ใช้คำว่า สมาธิ หมายความว่าอย่างนั้นหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ จึงมีทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ และถ้าศึกษาพระธรรมโดยละเอียดจะทราบว่า มีเจตสิก คือ มีสภาพธรรมที่เกิดกับจิตชนิดหนึ่งชื่อว่าเอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพ ที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ขอเชิญอาจารย์สมพร

    สมพร เอกะ ตามศัพท์จริงๆ แปลว่า หนึ่ง หมายความว่า มีอารมณ์เลิศเป็นอย่างเดียว ซึ่งสัมมาสมาธิในองค์มรรคต้องประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่เป็นองค์มรรค เพราะฉะนั้น ต้องประกอบ ๒ อย่าง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ

    สุ. ขณะนี้ก็มี เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง แต่เมื่อไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ทำให้ลักษณะของสมาธิไม่ปรากฏ แต่ใครก็ตามที่จะทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใดขอให้ทราบว่า ถ้าเป็นสิ่งที่ยาก เราต้องใช้สมาธิ เช่น การเดินบน ไม้ไผ่ลำหนึ่งหรือว่าลวดเส้นหนึ่งจะเห็นได้เลยว่า ต้องมีความตั้งใจมั่นแน่วแน่ ไม่คิดปั่นป่วนวุ่นวาย ใช่ไหม ในขณะนั้นลักษณะของสมาธิก็ปรากฏ แต่ขณะที่กำลังไต่ลวดเป็นกุศลหรือเปล่า เป็นสมาธิ แต่ไม่ใช่กุศล ใช่ไหม หรือการที่จะเย็บเสื้อผ้า ปักเสื้อผ้า ทำอะไรก็ตามที่ให้ประณีต ให้สวยงาม ก็จะต้องมีลักษณะของสมาธิ ความตั้งใจมั่นอยู่ที่สิ่งที่กำลังทำ แต่ขณะนั้นก็ไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่สัมมาสมาธิ

    สัมมาสมาธิเกิดกับจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นสัมมามรรคจะต้องเกิดร่วมกับปัญญา เพราะฉะนั้น ทิฏฐิ คือ ความเห็น ก็มี ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก และมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ฉันใด สมาธิก็เป็นคำกลางทั่วๆ ไป หมายความถึงขณะที่จิตตั้งมั่น

    ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิก็เกิดกับอกุศลจิต ถ้าเป็นสัมมาสมาธิก็เกิดกับกุศลจิตเท่านั้น ถ้าเป็นข้อปฏิบัติที่ถูกก็ต้องประกอบด้วยปัญญา ถ้าทำเพราะอยากจะทำ ก็ต้องเป็นโลภะ ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ผลของความอยากไม่ได้ทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นชีวิตจริงๆ ชั่วขณะหนึ่งๆ เพราะว่าชีวิตของแต่ละคนดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว ไม่มีใครมีจิตสองขณะเกิดพร้อมกันได้เลย ขณะจิตหนึ่งต้องดับไปก่อนจึงเป็นปัจจัยให้ขณะจิตต่อไปเกิดขึ้นทีละขณะ เพราะฉะนั้น ชีวิตของแต่ละคนก็สั้นแสนสั้น นี่เป็นสังสารวัฏฏ์

    . อยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า เราควรจะทำอย่างไร

    สุ. ขอให้ฟังพระธรรมจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยในชีวิตประจำวันทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ทำให้เราเริ่มเข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น ปัญญาก็คือเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าปัญญา จะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นสติปัฏฐาน ไม่ใช่ว่าเป็นการไปทำวิปัสสนาโดยที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจอะไรเลย ซึ่งสติปัฏฐานเป็นการระลึกได้ตามที่ได้ฟังจนกระทั่งเข้าใจแล้ว แต่ต้องฟังก่อน เข้าใจก่อน จนกระทั่งสติเกิดระลึกได้ว่า ขณะที่กำลังเห็นเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ขณะที่กำลังได้ยินเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ถ้ายัง ไม่เข้าใจอย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะว่าไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องการอบรมเจริญความรู้ ความเข้าใจขึ้น

    ในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ขอให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น นี่คือการสะสมของ ผู้ที่เป็นอริยสาวกที่ท่านได้บรรลุอริยสัจจธรรมแล้ว ท่านบำเพ็ญบารมีกันมาถึงแสนกัป โดยการฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และค่อยๆ เข้าใจขึ้นเสียก่อน

    ถ้าใครยังไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฟังเลยและไปทำ ต้องผิดแน่ๆ เพราะว่าปัญญา ยังไม่เกิด ไม่รู้อะไร จะทำได้อย่างไร

    กำลังเห็นเป็นของจริงแต่ไม่เคยรู้ว่า ไม่ใช่เราที่เห็น ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลรู้ว่าไม่ใช่เราแน่นอน กำลังได้ยินก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น อนัตตาไม่ใช่อยู่ในหนังสือ หรือไม่ใช่อยู่ที่อื่น แต่ทุกขณะทุกอย่างที่เกิดขึ้นดับไปให้พิสูจน์ได้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

    เมื่อกี้ทุกคนได้ยินเสียง จิตที่ได้ยินเสียงเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเมื่อเสียง กระทบหู เมื่อได้ยินแล้วก็ดับพร้อมกับเสียง ของเราหรือเปล่า จิตที่ได้ยินเมื่อกี้ดับแล้ว ฉันใด กำลังเห็นก็คือจิตชนิดหนึ่ง โต๊ะไม่มีจิต โต๊ะไม่มีการเห็นเลย ไม่มีธาตุรู้ ไม่มีอาการรู้ แต่ว่าทุกคนที่กำลังนั่งในขณะนี้เห็น และยังดูเสมือนว่าเป็นเราที่กำลังเห็น และเห็นคนด้วย เยอะแยะหลายคน ใช่ไหม แต่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า เห็น เป็นอนัตตา และสิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นอนัตตาด้วย

    ฟังจนกว่าจะเข้าใจ ไม่ใช่ไปทำอะไรเลย เมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น สติปัฏฐาน ซึ่งประกอบด้วยปัญญาจะเกิดระลึก และพิจารณารู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตรงตามที่ได้เคยเข้าใจแล้ว

    นี่คือการอบรมเจริญภาวนาให้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ให้ไปทำอะไร แต่ให้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ จึงจะเป็นการอบรมเจริญปัญญา มิฉะนั้นแล้วในครั้งโน้นคงจะไม่มีผู้ที่เฝ้าติดตาม เพื่อฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเสด็จจาริกไปที่ใดก็ตาม ก็มีพุทธบริษัทไปเฝ้าและฟังธรรม ไม่ใช่ไม่ฟังและไปทำอะไรกันต่างๆ

    ข้อสำคัญ คือ ฟังพระธรรมพอหรือยังเท่านั้นเอง พอไหม แม้แต่ผู้ที่เป็น พระอรหันต์ก็ยังฟัง ถ้าอ่านดูในพระไตรปิฎกท่านสนทนาธรรมกัน ท่านฟังธรรมตลอด และคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ฟังพระธรรมพอหรือยัง

    นี่เป็นเรื่องที่กว้างมาก และต้องฟังกันนานมากทีเดียว เพราะฉะนั้น ขอตอบคำถามเท่าที่สามารถจะตอบได้ในเวลาสั้นๆ

    ข้อ ๑. กำเนิดของสังสารวัฏฏ์มีความเป็นมาอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้หรือเปล่า

    ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องกำเนิดของสังสารวัฏฏ์ ควรที่จะทราบว่า สังสารวัฏฏ์ คืออะไร ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรทั้งหมดอย่าเพิ่งพอใจว่าเข้าใจความหมายของคำนั้นแล้ว แม้ว่าจะเข้าใจบ้างแล้วก็ตาม แต่ควรที่จะเข้าใจให้ชัดเจน ให้ละเอียดกว่าที่เคยคิดว่าเข้าใจแล้วด้วย ขอเรียนถามอาจารย์สมพรถึงศัพท์ที่มาของสังสารวัฏฏ์

    สมพร คำว่า สังสารวัฏฏ์ แปลตามศัพท์ว่า การท่องเที่ยวไปไม่รู้จักสิ้นสุด พระองค์ตรัสไว้ย่อๆ ว่า สังสารวัฏฏ์ไม่ปรากฏเบื้องต้นและเบื้องปลาย การที่จะรู้เบื้องต้นและเบื้องปลายนั้นรู้ไม่ได้ รู้ได้เฉพาะปัจจุบัน

    สุ. สังสารวัฏฏ์ คือ การท่องเที่ยววนเวียน ตั้งแต่ ๑๐ นาฬิกาจนถึงเดี๋ยวนี้ นั่งอยู่ที่นี่ หรือว่าท่องเที่ยววนเวียน จากทางตาที่เห็นมาถึงทางหูที่ได้ยิน มาถึง ทางกายที่กระทบสัมผัส มาถึงทางใจที่คิดนึก และก็เห็นอีก ได้ยินอีก กระทบ สัมผัสอีก คิดนึกอีก ไม่ได้ท่องเที่ยวไปไหนเลยนอกจากตามาหู มาจมูก มาลิ้น มากาย มาใจ กี่ภพกี่ชาติก็วนเวียนอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เอง

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักหรือเข้าใจสังสารวัฏฏ์ ไม่น่าจะยากมากมายอะไรเลย เพราะว่าอยู่ใกล้ที่สุด สังสารวัฏฏ์กำลังเกิด กำลังวนเวียน แต่ไม่ฟัง ไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงไม่รู้ว่าสังสารวัฏฏ์เกิดขึ้นได้อย่างไร มาจากไหน และจะจบสิ้นลงเมื่อไร

    ต่อเมื่อใดเข้าใจสังสารวัฏฏ์ว่า ขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังกระทบสัมผัส กำลังคิดนึก นี่แหละเป็นสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ชาติก่อนก็มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส อาหารของชาติก่อนอาจจะประณีตไม่เหมือนของชาตินี้เลย ไม่ว่าใครจะเกิดภพไหนภูมิไหนแต่ก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจที่จะคิดนึกวนเวียนไปในเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง พอถึงชาตินี้ ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอีก และเมื่อจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น ก็จะไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง เพราะฉะนั้น การวนเวียน ก็วนเวียนอยู่เพียงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อใดได้ประจักษ์แจ้งธรรมลักษณะจริงๆ ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อนั้นก็ดับสังสารวัฏฏ์ได้ เมื่อปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริง

    แต่ต้องเป็นปัญญา และไม่ใช่รู้อย่างอื่น ขอให้ทราบว่า ปัญญาที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้อบรม ให้เจริญ เพื่อที่จะดับกิเลสนั้น ไม่ใช่รู้อย่างอื่น แต่ต้องรู้ว่า ขณะนี้ทางตาไม่รู้อะไร และต้องฟังให้เข้าใจอย่างไร และจะประจักษ์แจ้งได้อย่างไร ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เช่นเดียวกัน

    ถ้าใครชักชวนให้ไปทำอย่างอื่นโดยไม่รู้ความจริงของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอถามสักนิดว่า จะไปไหม เมื่อถูกชักชวนให้ไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การรู้ความจริงที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลัง คิดนึกเดี๋ยวนี้ จะไปทำไหม

    ถ้าไปทำ หมายความว่าไม่มีวันที่จะพบของจริง และไม่มีวันที่จะประจักษ์แจ้งสัจจธรรม เพราะว่าไปทำขึ้น แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้นเห็น จึงเกิดขึ้นได้ยิน โดยเป็นอนัตตาจริงๆ

    ขอตอบเพียงเท่านี้ ท่านที่สนใจคงจะต้องฟังต่อไปอีก

    ที่ถามว่าสังสารวัฏฏ์มีความเป็นมาอย่างไร ก็ลงไปที่สภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือ อวิชชา ความไม่รู้นั่นเอง เมื่อเกิดมาด้วยความไม่รู้ และตายไปด้วยความไม่รู้ ก็เกิดอีกด้วยความไม่รู้ และก็ตายไปด้วยความไม่รู้ จะหมดความไม่รู้ได้ก็ต่อเมื่อ ความรู้ค่อยๆ เกิดขึ้น เช่น เวลาที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เมื่อฟังแล้วก็เริ่มรู้ ขณะใดที่รู้ ขณะนั้นละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าความรู้เรื่องของสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจจะเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น กิจของปัญญา คือ ละความไม่รู้ สำหรับกิจของอวิชชา คือ ทั้งๆ ที่เห็นตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่รู้ความจริงของเห็น เป็นเราเห็น และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นสัตว์บุคคลที่ไม่ใช่อนัตตาเลยสักอย่างเดียว

    ข้อ ๒. ในชีวิตปกติประจำวันมีสิ่งอื่นใดกำหนดชีวิตให้เป็นไปต่างๆ นานาหรือไม่ หรือว่าตัวเรากำหนดตัวของเราเอง

    ถ้ายังมีตัวเรา หรือของเรา ขณะนั้นไม่ใช่อนัตตา ค้านกับพระพุทธพจน์ เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงก็เป็นอนัตตานั่นแหละ แต่คนที่ยังเห็นว่าเป็นอัตตา เป็นเรา เป็นของเราก็ย่อมมี เพราะว่าความเห็นมี ๒ อย่าง คือ ความเห็นถูก กับความเห็นผิด

    เพราะฉะนั้น ทุกคนฟังพระธรรมเพื่อพิสูจน์ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็น ความจริงหรือไม่ ไม่ใช่ต้องเชื่อเพราะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้น ทรงแสดงเรื่องของธรรมที่มีจริงๆ ที่พิสูจน์ได้ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนก็ตาม ทุกชีวิตที่เกิดมา สามารถพิสูจน์พระธรรมได้ทั้งสิ้น

    ที่ถามว่ามีอะไรกำหนดชีวิตให้เป็นไปต่างๆ นานา

    เมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมแต่ละอย่างที่เป็นอนัตตานั้นก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีใครสามารถจะสร้างหรือจะทำขึ้นตามความพอใจได้

    ขณะนี้มีใครทำเห็นได้บ้าง หรือว่าเห็นมีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยโดยไม่ต้องทำ ขณะที่กำลังได้ยิน มีใครทำได้ยินได้บ้าง หรือว่าต้องได้ยินเพราะมีปัจจัยที่จะให้ยินเกิดขึ้น ได้ยินก็เกิดขึ้น นี่คือการที่จะเข้าใจปัจจัย คือ สิ่งที่ทำให้สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นปรากฏ

    สำหรับคนหูหนวก คนที่ไม่มีโสตปสาท มีใครทำให้เขาได้ยินได้บ้าง แต่สำหรับคนที่มีโสตปสาท จะห้ามเขาไม่ให้ได้ยินได้ไหม ในเมื่อเสียงกระทบหู

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาเรื่องของปัจจัยจะทราบว่า ทุกขณะมีปัจจัยหลายอย่าง เพียงจิตเกิดขึ้นขณะเดียว สั้นมาก คือ เพียงที่จะมีการได้ยินนิดเดียวและดับไป ต้องอาศัยหลายสิ่งหลายอย่างการได้ยินจึงจะเกิดได้ เช่น ต้องมีโสตปสาทซึ่งเป็น รูปพิเศษมีลักษณะที่กระทบเสียง ไม่มีใครสามารถสร้างรูปนี้ได้เลย นอกจากกรรม เป็นปัจจัย

    รูปทั้งหลายที่เกิดมีสมุฏฐาน ๔ อย่าง คือ บางรูปเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย บางรูปเกิดขึ้นเพราะจิตเป็นปัจจัย บางรูปเกิดขึ้นเพราะอุตุคือความเย็นความร้อน เป็นปัจจัย บางรูปเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นปัจจัย นี่เรื่องของรูป ส่วนเรื่องของนาม ก็มีปัจจัยอีกมากมายหลายอย่าง

    สรุปรวมปัจจัยใหญ่ๆ มีทั้งหมด ๒๔ ปัจจัย ทุกคนคงเคยได้ยิน เพราะว่า ทุกคนเคยไปงานศพ ซึ่งในงานศพก็มีการสวดพระอภิธรรมที่แสดงถึงปัจจัยต่างๆ ให้เห็นความเป็นอนัตตา เริ่มตั้งแต่เหตุปัจจโย คือ เหตุปัจจัย ได้แก่ โลภะเป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุ โทสะเป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุ โมหะเป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุ แต่เราไม่เข้าใจเท่านั้นเองว่า ชีวิตของเราวันหนึ่งๆ โลภะเป็นเหตุให้ชีวิตของเราก้าวไปทุกๆ ขณะ ในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาเรื่องของปัจจัย ๒๔ จะทราบได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่พ้นจากปัจจัย และสภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่อาศัยเพียงปัจจัยเดียว แต่มีหลายปัจจัยทีเดียว

    ข้อ ๓. จิตของพระอรหันต์ที่ว่าละกิเลสทั้งปวง มีลักษณะอย่างไร

    จิตของพระอรหันต์ เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เห็น ก็ได้ยิน ก็ได้กลิ่น ก็ลิ้มรส ก็กระทบสัมผัส แต่เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ เหลืออยู่เลย เพราะว่ามีโลกุตตรจิตประกอบด้วยโลกุตตรปัญญาเกิดขึ้นรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมจึงดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น คือ จากการเป็นพระโสดาบันดับ ความเห็นผิดทั้งหมด เมื่อปัญญาอบรมเจริญขึ้นก็ดับความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอย่างหยาบเป็นพระสกทาคามี และเมื่ออบรมเจริญปัญญาขึ้นก็ดับ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นพระอนาคามี และเมื่อดับ ความยินดีในภพชาติทั้งหมดก็เป็นพระอรหันต์

    คิดถึงความต่างกัน เรายังชอบรูปสวยๆ ยังชอบเสียงเพราะๆ ยังชอบ กลิ่นหอมๆ ยังชอบรสอร่อย ยังชอบการกระทบสัมผัสที่สบาย แต่สำหรับพระอรหันต์ท่านมีชีวิตอยู่เหมือนกับผู้ที่ทำงานเสร็จแล้วรอเวลาเลิกงานเท่านั้นเอง ตราบใดที่ จิตของท่านยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท คือ ยังไม่จุติ ที่เราใช้คำว่า สิ้นชีวิต หรือปรินิพพาน

    เพราะฉะนั้น โดยสภาพเป็นจิตที่ต่างกันมาก เพราะว่าได้อบรมเจริญปัญญา จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๗๗ ตอนที่ ๑๗๖๑ – ๑๗๗๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 96
    28 ธ.ค. 2564