แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1803
ครั้งที่ ๑๘๐๓
สาระสำคัญ
อถ.โลกสูตร - โลก ๓
อก.ขุ.เรวตีวิมาน
สัตว์โลกเป็นที่ดูบุญ และบาป และผลแห่งบุญและบาป
มหากุศลจิต ๘ ให้ผลเป็นกุศลวิบากซึ่งทำกิจปฏิสนธิ
อถ.ขุ. สุ. สัลลสูตรที่ ๘ - ความยากลำบากของชีวิต
ปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๑
ชื่อว่าสัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
ไม่ว่าจะเกิดในกำเนิดใด ในโลกมนุษย์ก็เห็นมนุษย์มาก แต่ในขณะเดียวกันก็มี ภูมิอื่นอีกภูมิหนึ่ง คือ สัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเป็น สัตว์ดิรัจฉานก็ตาม ชื่อว่าสัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
แม้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้อย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่าวันนี้มีใครพิจารณา บุญและบาป หรือผลแห่งบุญและบาปของสัตวโลกบ้าง เช่น สักครู่นี้มีสุนัขขี้เรื้อน ๑ ตัว ถ้าพิจารณาจะเห็นได้ใช่ไหมว่า เป็นผลแห่งบุญและบาป ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณวรรณะ รูปร่างหน้าตา แม้แต่เครื่องใช้ ที่อยู่อาศัย ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถ ชื่อว่าสัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
ดูตัวเองก็ได้ ดูญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็ได้ ดูสัตว์อื่นๆ รอบข้างก็ได้ ใครกำลังเจ็บป่วย ใครกำลังทุกข์ทรมาน ใครกำลังเดือดร้อน ใครกำลังมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าแปลก ที่ไม่เกิดกับบุคคลทั่วๆ ไป แต่ก็เกิดเฉพาะกับบางบุคคล เพราะว่า เป็นผลแห่งบุญและบาปของบุคคลนั้น
นี่คือผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ดูบุญและบาปที่กระทำอยู่ซึ่งจะทำให้ปฏิสนธิเป็นประเภทใด เพราะถ้าเป็นอกุศลกรรม เวลาที่ปฏิสนธิ จะไม่ทราบเลยว่า สัตว์ตัวนั้นชาติก่อนเคยเป็นใคร มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่เร็วยิ่งกว่ากระพริบตา เปลี่ยนจากจุติจิต จิตสุดท้ายของชาตินี้ซึ่งเคยเป็นมนุษย์ ซึ่งเคยเป็นผู้ที่มีปัญญา แต่เมื่อจุติจิตดับลง อกุศลกรรมทำให้เกิดในภูมิที่เป็นอบายภูมิ
เวลาที่เห็นสัตว์ประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดขึ้นในโลกนี้ อาจจะเป็นสัตว์ที่น่ารัก เป็นสัตว์เลี้ยง ลืมคิดถึงอดีตกรรมที่ทำให้สัตว์นั้นเกิดด้วยอเหตุกสันตีรณอกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นเครื่องเตือนจริงๆ ว่า เมื่อสัตว์นั้นยังเกิดอย่างนั้นได้ และแต่บุคคลจะไม่เกิดอย่างนั้นหรือ ถ้ายังมีเหตุ คือ ยังไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังมีปัจจัยทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิโดยรวดเร็วเหลือเกิน ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า จุติจิตจะเกิดเมื่อไร และทันทีที่จุติจิตเกิดและดับไป ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม จะเกิดต่อทันที แล้วแต่ว่าจะเกิดในภูมิไหน ถ้าเกิดในภูมิที่ดีก็ดี
ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย เรวตีวิมาน มีข้อความว่า
ขึ้นชื่อว่าสมบัติในเทวโลก ย่อมเป็นที่พอใจยิ่ง เหมือนทุบภาชนะดินแล้วรับเอาภาชนะทองฉะนั้น
ขณะนี้ทุกคนกำลังอยู่ในโลกมนุษย์ ก็รู้สึกว่าพอใจมากที่จะเป็นผู้ที่มีความ สุขสบายในโลกมนุษย์ แต่ถ้าจุติจิตเกิดและดับไป และปฏิสนธิเกิดต่อในสวรรค์ จะรู้ได้ทีเดียวว่า ขึ้นชื่อว่าสมบัติในเทวโลก ย่อมเป็นที่พอใจยิ่ง เหมือนทุบภาชนะดินแล้วรับเอาภาชนะทองฉะนั้น
สำหรับบุญกุศลทั้งหลาย จะติดตามให้ผลได้หลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว อาจจะ มีกำเนิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นผลของอกุศลกรรมก็จริง กรรมหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่กรรมอื่นๆ ที่จะตามมาอุปถัมภ์หรือเบียดเบียน ก็ยังมีโอกาสหลังจากปฏิสนธิจิตแล้ว เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า สัตว์บางชนิด เช่น สัตว์เลี้ยง บางตัวนอนเตียงทองคำ
เพราะฉะนั้น ผลของบุญ ไม่ว่าจะอยู่ในกำเนิดใดทั้งสิ้น ก็เหมือนกับมิตรและพวกพ้องทั้งหลายย่อมยินดีต้อนรับคนที่จากไปนานแล้วกลับมา ฉันใด บุญทั้งหลายของตนๆ ย่อมต้อนรับประคับประคองบุคคลที่ทำบุญไว้ ผู้จากโลกนี้ไปปรโลกฉันนั้น
ฟังแล้ว ก็น่าจะกระทำบุญจริงๆ แต่วันหนึ่งๆ คิดดู สัตว์โลกเป็นที่ดูบุญ และบาป ก็น่าจะพิจารณาจิตที่เป็นเหตุในขณะนี้ด้วยว่า วันหนึ่งๆ นั้นกุศลจิตเกิด มากไหม ถ้ากุศลจิตเกิดน้อยกว่าอกุศลก็ต้องพิจารณาอีกว่า เป็นอกุศลกรรมหรือไม่ เพราะเพียงความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะเป็นสมโลภะ เป็นความยินดีพอใจที่ไม่ถึงกับให้เกิดการกระทำทุจริตกรรม เพราะฉะนั้น แม้ว่ายังเป็นผู้ที่มีโลภะอยู่ ก็ต้องระวังที่จะไม่ทำอกุศลกรรม เพราะถ้ากระทำอกุศลกรรมแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดในกำเนิดใด
สำหรับเหตุที่จะให้เกิดกุศลวิบากซึ่งทำกิจปฏิสนธิ ได้แก่ มหากุศลจิต ๘ ดวง และกุศลที่มีกำลังมาก ขั้นสูงที่สุด คือ เป็นกุศลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา และเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยการชักจูง
เคยมีกุศลอย่างนี้บ้างไหม เป็นกุศลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา และไม่อาศัยการชักจูง ไม่ว่าจะเป็นไปในทาน หรือเป็นไปในศีล หรือเป็นไปในการศึกษาพระธรรม ในการสนทนาธรรม ในเรื่องที่เกี่ยวกับการกุศลทั้งหลาย กุศลใดที่ทำแล้วปลาบปลื้มจิตผ่องใสทั้ง ๓ กาล คือ ทั้งในขณะก่อนให้ จิตก็ผ่องใส ในขณะที่กำลังให้ จิตก็ผ่องใส ครั้นให้แล้วก็ยังปลาบปลื้มอีก และเมื่อเป็นผลของกุศลนั้น ก็จะทำให้มหาวิบากที่เป็นโสมนัสเวทนา มีปัญญาเกิดร่วมด้วย และเป็นอสังขาริกเกิด
มหากุศลดวงที่ ๒ คือ เป็นกุศลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ประกอบด้วยปัญญา แต่ต้องอาศัยการชักจูง
ที่จริงก็เป็นชีวิตประจำวัน แต่เมื่อออกมาเป็นเรื่องประเภทของจิตแต่ละชนิด และมีภาษาบาลีด้วย ท่านผู้ฟังก็คิดว่าไม่ใช่ในขณะที่ทำกุศล แต่ที่จริงอาจจะเป็น ในขณะนี้เอง มหากุศลจิตกำลังเกิด ก็พิจารณาเวทนา ความรู้สึกได้ว่า ความรู้สึกในขณะนี้โสมนัสไหม หรือเป็นอุเบกขา ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นอสังขาริกหรือเป็นสสังขาริก เพราะฉะนั้น ผลก็ต้องต่างกันไป นี่คือ กุศลที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาดวงที่ ๑ และดวงที่ ๒
สำหรับดวงที่ ๓ ยังเป็นกุศลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา แสดงให้เห็นถึงกำลังของกุศลว่า กุศลประเภทที่เกิดกับโสมนัสเวทนามีกำลังมากกว่ากุศลที่เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา สำหรับกุศลจิตดวงที่ ๓ เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาก็จริง แต่เป็นกุศลที่อ่อนกว่าดวงที่ ๑ และดวงที่ ๒ เพราะไม่ประกอบด้วยปัญญา และก็เป็นกุศลจิตที่เกิดโดยไม่ต้องอาศัยการชักจูง
สำหรับมหากุศลดวงที่ ๔ เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่อาศัยการชักจูง
ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนก็เป็นอย่างนี้ กุศลดวงนั้นบ้าง ดวงนี้บ้างประกอบด้วยโสมนัสบ้าง ไม่ประกอบด้วยปัญญาบ้าง มีการชักจูงบ้าง ไม่มีการ ชักจูงบ้าง
จริงๆ แล้วกุศลจำแนกโดยเวทนา ๑ และโดยมีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือ ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ๑ และอาศัยการชักจูงหรือไม่อาศัยการชักจูง ๑ ทำให้ กุศลนั้นต่างกันไปเป็น ๔ ดวง หรือ ๔ ประเภทที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา
และสำหรับอีก ๔ ดวง ก็เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา โดยนัยเดียวกัน คือ บางขณะประกอบด้วยปัญญาและไม่ต้องอาศัยการชักจูง บางขณะประกอบด้วยปัญญาแต่ต้องอาศัยการชักจูง และบางขณะไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่อาศัยการ ชักจูง และบางขณะไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ต้องอาศัยการชักจูง
ถ้ากุศลดวงที่เป็นอุเบกขา ไม่ประกอบด้วยปัญญา และอาศัยการชักจูง อ่อนมาก ก็ให้ผลทำให้พ้นจากอบายภูมิ ไม่ต้องเกิดเป็นเปรต ไม่ต้องเกิดในนรก ไม่ต้องเกิดเป็นอสุรกาย ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เกิดเป็นมนุษย์ แต่ว่าพิการ
แสดงให้เห็นถึงอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ชื่อว่าสัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
ผู้ฟัง สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม และเป็นความจริงอย่างมากที่อาจารย์พูดถึงเมื่อกี้ คือ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวาน เห็นแมวหิวร้อง ก็เกิดเมตตา แต่จิตไม่โสมนัส และ ไม่ประกอบด้วยปัญญา แม้กระทั่งจิตก็ยังเป็นสสังขาริก ไม่มีกำลัง แต่มีเหตุมีปัจจัย ก็ไปเรียกสหายธรรมผู้หนึ่งให้ไปซื้อปลา สหายธรรมผู้นั้นผมเชื่อว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยโสมนัส จิตก็อ่อน และยังเป็นอุเบกขา และขณะที่เดินไปซื้อ ก็ยังหันไปต่อว่าแมวว่า ทำให้ฉันต้องเดิน แสดงว่าเป็นกุศลที่อ่อนมากๆ เป็นอุเบกขาด้วย แต่ยังดีที่อาจารย์บอกว่า คงจะพ้นจากอบายได้
สุ. ที่จริงการได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ และสติเกิดระลึกทัน สามารถที่จะ เกิดความโสมนัสดีใจ แทนที่ว่าฉันต้องเดิน เป็นดีใจที่ได้เดิน และมีโอกาสทำให้ ชีวิตหนึ่งที่กำลังหิวโหยได้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ถ้าสติเกิดระลึกได้ การทำกุศล จะเพิ่มกำลังขึ้น เพราะว่าในขณะนั้นผ่องใส ไม่ใช่มีอกุศลจิตเกิดแทรกแซง
ผู้ฟัง แต่เหตุการณ์ยังไม่จบแค่นั้น หลังจากสหายธรรมผู้นั้นไปซื้อปลามาแล้ว ก็แกะเฉพาะเนื้อๆ ไม่มีก้างให้แมวกิน ก็มีสหายธรรมผู้อื่นได้อนุโมทนากับเขาว่า ให้กินแต่เนื้อๆ จัดให้อย่างดีประณีต ก็เกิดโสมนัสกัน ผมคิดว่า คงจะมีทั้งโสมนัส และอนุโมทนากันอีก ๓ ถึง ๔ คน
สุ. เพราะฉะนั้น อย่าประมาทกุศล หรือคิดว่าเพียงเล็กน้อย เพียงการ ซื้อปลาให้แมว และแกะแต่เนื้อๆ ให้ แสดงให้เห็นถึงกุศลจิตที่โสมนัสจริงๆ เมื่อจะให้ก็ให้อย่างดี ให้เขามีความสุข และก็เกิดปีติดีใจที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือ ถ้ากุศลกรรมนี้ให้ผล ก็จะทำให้มหาวิบากที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาเกิดได้ แล้วแต่ว่าจะประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าเรื่องของปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจเรื่องกรรม และต้องเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
อย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของกรรม ถ้ามีสัตว์ดิรัจฉานลักษณะอาการอย่างหนึ่งอย่างใด และระลึกด้วยความเมตตาว่า ผู้นี้อาจจะเคยเป็นผู้มีพระคุณในชาติก่อนๆ ชาติหนึ่งชาติใดที่ได้เคยกระทำคุณความดีต่อท่าน เกื้อกูลท่าน หรือได้เห็นความ ไม่เที่ยง ความไม่แน่นอนว่า แม้เป็นผู้ที่อาจจะเคยมีปัญญา แต่เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้มีสภาพที่ต่างจากที่เคยเป็นในชาติก่อน
ถ้าคิดอย่างนี้ จิตใจจะอ่อนโยน แทนที่จะรังเกียจว่า เป็นแมว และต้องรับใช้แมว โดยต้องไปซื้อปลามาให้แมว นี่ก็เป็นได้
และสำหรับการที่จะรู้กรรม ไม่ควรจะเป็นเพียงเหตุการณ์ แต่สามารถรู้ แม้ในขณะที่กำลังเห็น คือ ในขณะที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็จะต้องรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลวิบาก แต่จิตที่เกิดหลังจากนั้นอาจจะเป็นกุศลก็ได้ หรืออาจจะเป็นอกุศลก็ได้ แล้วแต่การพิจารณาในขณะนั้น
ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างนี้ทุกวันๆ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจะสังเกตเห็นว่า วันหนึ่งๆ ไม่พ้นจากผลของกรรม และกรรมซึ่งเป็นเหตุ ได้แก่ บุญและบาป
สำหรับภัยของชีวิต ซึ่งแต่ละคนประสบอยู่ทุกคน แต่อาจจะไม่ได้สังเกต เพราะว่าบางท่านอาจจะประสบภัยเพียงเล็กน้อย แต่บางท่านอาจจะประสบภัยของชีวิตที่ร้ายแรง สำหรับเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่พบกันอยู่ทุกวัน ก็ได้แก่ความ ไม่สะดวกสบายต่างๆ นี่เป็นภัยของชีวิตเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนอยากมีชีวิต ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องการพบกับความไม่สะดวกสบายใดๆ เลย เพราะฉะนั้น เวลาที่ประสบกับความไม่สะดวกสบายแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้เห็นภัยของชีวิตว่า นี่คือ ภัยอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เวลาที่เจ็บป่วย ทุกคนก็เริ่มจะเห็นภัย ซึ่งในขณะที่ไม่เจ็บป่วยไม่เคยเห็น นอกจากนั้นยังมีภัยอื่นๆ ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ต่างๆ
ปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต มหาวรรคที่ ๓ สัลลสูตรที่ ๘ ได้กล่าวถึงความยากลำบากของชีวิต ความเล็กน้อยของชีวิต ซึ่งมี ภัยมาก เพราะถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ความเป็นไปของชีวิตแต่ละขณะเนื่องกับ ปัจจัยหลายอย่างจึงดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ชีวิตไม่ได้ให้เป็นไปเพื่อความสุขเท่านั้น เพราะบางคนหวังเหลือเกิน เกิดมาชาตินี้จะให้มีความสุขมากๆ สิ่งที่ต้องการ คือ ความสุขเท่านั้น แต่ไม่ควรจะลืมอีกด้านหนึ่งของชีวิตด้วยว่า ชีวิตไม่ใช่ให้เป็นไป เพื่อความสุขเท่านั้น
สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตซึ่งบอบบาง เล็กน้อย และยากลำบากดำรงอยู่ได้ คือ
๑. ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าออก
ตราบใดที่ยังหายใจเข้าออกโดยสม่ำเสมอจะไม่รู้สึกเลยว่า ชีวิตทั้งชีวิตแขวน อยู่กับลมหายใจแผ่วๆ ซึ่งถ้าเกิดขัดข้อง คือ ไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็เป็นอยู่ไม่ได้ และก่อนที่จะไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออก จะทรมานสักแค่ไหน ในขณะที่หายใจไม่ออก อย่างบางคนเวลาที่เป็นหวัดคัดจมูก แม้เพียงเท่านั้นก็อึดอัดมากมาย และถ้ามากกว่านั้น ซึ่งหลายชีวิตต้องประสบกับภาวะเช่นนั้น ขณะนั้นก็จะต้องเป็น ภัยอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า ชีวิตบอบบางและเล็กน้อยมาก เพียงมีชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยลมหายใจที่เข้าออกเท่านั้น
๒. ชีวิตเนื่องด้วยมหาภูตรูป
อาศัยความสม่ำเสมอของธาตุทั้ง ๔ จึงเป็นปกติ ถ้าธาตุทั้ง ๔ มีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ปกติ ถ้าธาตุลมมีมากปั่นป่วนในร่างกาย จะทำให้ถึงสิ้นสติได้ หรืออาจจะทำให้ถึงกับพิการเป็นอัมพาตได้ นั่นคือความไม่สม่ำเสมอของธาตุทั้ง ๔
๓. ชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร
คือ อาหารที่บริโภคเป็นคำๆ ซึ่งทุกท่านจำเป็นที่สุดที่จะต้องบริโภคอาหารนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าอดอาหารกลางป่า หรือขาดอาหารอยู่ในที่จำกัด และขาดอาหารหลายๆ วัน ก็ทำให้สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน เพราะว่าชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร
๔. ชีวิตเนื่องด้วยไออุ่น
ได้แก่ ไฟที่เกิดจากกรรมที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น และทำให้อาหารที่บริโภคย่อย ถ้าอาหารที่บริโภคไม่ย่อยเมื่อไร เมื่อนั้นก็สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน
๕. ชีวิตเนื่องด้วยวิญญาณ
คือ เมื่อใดที่จุติจิตเกิดและดับ เมื่อนั้นสัตว์นั้นก็ไม่มีชีวิต
แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๘๑ ตอนที่ ๑๘๐๑ – ๑๘๑๐
เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1752
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1753
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1754
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1755
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1756
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1757
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1758
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1759
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1760
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1761
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1762
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1763
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1764
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1765
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1766
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1767
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1768
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1769
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1770
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1771
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1772
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1773
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1774
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1775
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1776
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1777
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1778
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1779
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1780
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1781
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1782
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1783
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1784
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1785
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1786
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1787
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1788
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1789
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1790
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1791
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1792
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1793
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1794
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1795
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1796
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1797
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1798
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1799
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1800
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1801
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1802
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1803
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1804
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1805
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1806
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1807
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1808
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1809
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1810
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1811
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1812
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1813
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1814
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1815
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1816
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1817