แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1760
ครั้งที่ ๑๗๖๐
สาระสำคัญ
โยนิโสมนสิการและอโยนิโสมนสิการ
ขุ.เปตวัตถุ อถ เขตตูปมเปตวัตถุที่ ๑ - ความประมาทย่อมพลิกชีวิตจากความเจริญไปสู่ความเสื่อม
ธรรม คือชีวิตประจำวันของเราแต่ละขณะ
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นเขา ในที่สุดก็ต้องถึงกาลที่จะต้องแตกสลาย กลายสภาพเป็นกองกระดูกหรือเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนประสบอยู่ ฉะนั้น สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรที่จะได้สติจากการตาย ซึ่งท่านได้รับทราบ เวลาที่มีการสิ้นชีวิตของบุคคลหนึ่งบุคคลใด โดยพิจารณาจิตในขณะนั้นว่า ในขณะที่ได้ทราบข่าวนั้นจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของสติปัญญา ที่จะระลึกรู้ได้ ในขณะนั้นถ้าสติเกิดจะรู้ว่าโยนิโสมนสิการคืออย่างไร และ อโยนิโสมนสิการคืออย่างไร แต่ถ้าสติไม่เกิด จะไม่สามารถรู้ได้เลย
เวลาที่ได้ข่าวคนสิ้นชีวิต ทุกคนก็คงจะบางครั้งตกใจ ไม่คาดฝัน บางครั้ง ก็รำพัน หรือเป็นทุกข์เศร้าหมอง หม่นหมอง ขณะนั้นอโยนิโสมนสิการ เป็นอกุศล ไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ถ้าสติเกิดระลึกได้ในขณะนั้นก็รู้ว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความเสียใจ ไม่มีประโยชน์อย่างใดเลยทั้งสิ้น ควรที่จะเบิกบานใจที่มีโอกาสเข้าใจพระธรรม และได้เห็นว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นสัจจธรรม แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ ก็ควรที่จะได้รับประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่เที่ยงและเป็นอนัตตา
การฟังพระธรรมจะมีประโยชน์มาก เมื่อน้อมนำพระธรรมนั้นมาพิจารณาจิตใจของตนเอง เช่น ถ้าได้ข่าวการสิ้นชีวิตของใครก็ตาม ก็ย้อนระลึกถึงตนเองนอกจากบุคคลนั้น เพราะว่าผู้ตายอาจจะเป็นผู้ที่มีโลภะมาก ชอบภาพเขียน ชอบดนตรี ชอบสิ่งสวยงาม ชอบความเพลิดเพลินต่างๆ และตัวท่านเองเหมือนอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีโลภะมาก มีความติดข้องในทรัพย์สมบัติ ก็ควรที่จะได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ ปรากฏทางตา จึงเกิดความยินดีพอใจชั่วในขณะที่เห็น เวลาที่ปรากฏทางหูเป็นเสียงที่ไพเราะ ก็ทำให้เกิดความยินดีพอใจชั่วขณะที่ได้ยิน เสียงนั้น หรือว่ากลิ่นหอมๆ ที่ปรากฏ ก็ทำให้เกิดความพอใจเพียงชั่วขณะที่สั้นมาก คือ ชั่วขณะที่กลิ่นนั้นปรากฏ แม้รส แม้สัมผัส ก็เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า แม้ว่ารูปจะเกิดขึ้นและดับไปเร็วมาก สักเท่าไรก็ตาม ความพอใจก็ยังติดตามรูปที่ปรากฏเร็วอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น และสำหรับผู้ที่มากด้วยโทสะ ซึ่งแต่ละท่านจะต้องพิจารณาตนเองว่า เป็นผู้ที่มักโกรธขุ่นเคืองเดือดร้อนใจบ่อยๆ หรือว่าผูกโกรธใครไว้บ้าง ก็จะได้พิจารณาตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงก็หามีบุคคลนั้นไม่ จะมีบุคคลนั้นก็เพียงชั่วชาติเดียว ที่ท่านพบเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแล้วไม่มีอีกเลย
จะโกรธหลังจากที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ควรหรือไม่ควร ในเมื่อไม่มี บุคคลนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีบุคคลนั้นให้เห็น ก็อาจจะทำให้ท่านนึกโกรธหรือผูกโกรธ แต่ถ้าคิดได้ว่า บุคคลนั้นอยู่ในโลกนี้ไม่นานและจะจากไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีบุคคลนั้นอีกเลย ควรจะโกรธบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่ ถ้าไม่ควร แม้ในขณะนี้เอง ก็เป็นชั่วขณะที่นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับเท่านั้น ไม่นานเลย เพราะฉะนั้น ถ้าใครเป็นคนที่มักจะขุ่นเคืองใจไม่พอใจบุคคลอื่นง่ายๆ หรือไม่ลืมความโกรธ ความขุ่นเคืองใจนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่า พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียวจริงๆ และจะไม่พบกันอีกเลย
เพราะฉะนั้น ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือควรจะโกรธกัน เพราะว่า การเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า เป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าไม่คิดว่าเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะไม่ทำดีกับบุคคลนั้น แต่ถ้ารู้ว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน และมีความเมตตากรุณาต่อกันได้
ถ้าท่านเป็นผู้ที่มากด้วยโมหะ ซึ่งก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรม ทุกคนก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้วก็รู้ว่า มีสภาพธรรมที่ปรากฏที่จะต้องศึกษา ไม่ใช่เพียงศึกษาจากตำราหรือการรับฟังเท่านั้น แต่ขณะนี้เองมีสภาพธรรมที่ปรากฏ ที่ควรต้องประจักษ์แจ้งในสัจจธรรม ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็ยังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ควรที่จะฟังและพิจารณาธรรมเพื่อเป็น สังขารขันธ์ให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ โดยที่จะไม่ละเลย หรือ สนุกสนานต่อไปโดยไม่ขวนขวายในการเจริญกุศล
เพราะฉะนั้น ถ้าทราบว่าเป็นผู้ที่ยังมีโมหะมากที่จะต้องขัดเกลา จะทำให้ ไม่ละเลยในการฟังพระธรรม และไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย เพราะว่าความประมาทย่อมพลิกชีวิตจากความเจริญไปสู่ความเสื่อมได้ จากการเป็นมนุษย์ ในชาตินี้ไปสู่การเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์ในนรก ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือเย็นนี้ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้ารู้อย่างนี้ จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท
อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ อุรควรรคที่ ๑ อรรถกถา เขตตูปมาเปตวัตถุที่ ๑ มีข้อความว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรตบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนั้นดังต่อไปนี้
น่าพิจารณา เป็นบุตรเศรษฐีในชาตินี้ และเพียงระยะที่สั้นที่สุดที่เร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ก็เป็นเปรตได้
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่าปลื้มใจอย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ
แต่ละคนในชาติหนึ่งๆ ทั้งที่ผ่านไปแล้ว ที่เคยเป็นอย่างนี้ หรือจะเป็นอย่างนี้ในชาติหน้าก็ได้ ผู้ที่มีโภคมาก มีทรัพย์มาก จะเห็นได้ว่า มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์ ที่น่าปลื้มใจมากมาย ถ้าเข้าไปในพระราชวังสักแห่งหนึ่งก็ย่อมจะมองเห็นสมบัติ เครื่องปลื้มใจ อุปกรณ์ต่างๆ ที่น่าดูน่าชมมาก หรือแม้แต่ในบ้านของเศรษฐีทั้งหลาย
เศรษฐีนั้นมีบุตรคนเดียว น่ารัก น่าชอบใจ เมื่อบุตรนั้นรู้เดียงสา มารดาบิดาก็คิดว่า แม้ว่าบุตรของเราจะจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไปวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวัน แม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ก็ไม่หมดสิ้นไป
ในสมัยโน้นเพียงพันเดียว แต่สมัยนี้ก็เพิ่มขึ้นไปอีกตามสภาพของเหตุการณ์ บางท่านแม้ว่าจะใช้ทรัพย์ถึงร้อยปี ทรัพย์นั้นก็ไม่หมดสิ้นไป
ข้อความต่อไป
จะประโยชน์อะไรด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาวิชาการต่างๆ ขอให้บุตรนี้จงไม่ลำบากกายและจิต บริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด
นี่เป็นความเห็นของมารดาบิดาซึ่งไม่ให้บุตรศึกษาศิลปวิทยาใดๆ เลย
เมื่อบุตรนั้นเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่นผู้สมบูรณ์ด้วยสกุลรูปร่างความเป็นสาวและความงาม ผู้เอิบอิ่มด้วยกามคุณ บ่ายหน้าออกจาก ธรรมสัญญา
จะเห็นได้ว่า ชีวิตของแต่ละคน แม้ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ก็ไม่สนใจ ในพระธรรมเลย ยังคงเพลิดเพลินในเรื่องของโลก เวลาที่ชักชวนในเรื่องฟังธรรม ก็ไม่สนใจ เป็นผู้ บ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญา แม้ในอดีตชาติโน้นๆ อาจจะเคย ได้ฟังพระธรรมมาบ้าง แต่ชาติใดก็ตามที่ไม่สนใจ และยังหลงอยู่ในความเพลิดเพลิน ชาตินั้นก็ บ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญา
เขาอภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้น ไม่ให้เกิดแม้ความคิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อในสมณพราหมณ์และคนที่ควรเคารพ ห้อมล้อมด้วยพวกนักเลง กำหนัด ยินดี ติดอยู่ในกามคุณ ๕ เป็นผู้มืดมนไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมลง เขาก็ให้สิ่งที่น่าปรารถนาแก่พวกนักรำนักร้องเป็นต้น ผลาญทรัพย์ ให้หมดสิ้นไป ไม่นานเท่าไรนักก็สิ้นเนื้อประดาตัว เที่ยวขอยืมเงินเลี้ยงชีพ เมื่อยืมหนี้ไม่ได้อีก และถูกพวกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็ต้องให้ที่นา ที่สวน และเรือนเป็นต้นของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น แล้วก็ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถา ในพระนครนั้นนั่นแล
คงจะมีเศรษฐีหลายคนที่ต้องเปลี่ยนสภาพเป็นผู้ที่ยากไร้ถึงกับเป็นผู้ขอทาน แต่ชีวิตของคนหนึ่งที่กรรมยังไม่เป็นปัจจัยให้จบสิ้นชีวิตลง ก็ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปอีก คือ
อยู่มาวันหนึ่ง พวกโจรมาประชุมกัน และได้ชักชวนเขาว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยการเป็นอยู่ลำบากอย่างนี้ ท่านยังเป็นหนุ่มมีเรี่ยวแรงกำลังสมบูรณ์ เหตุไฉนจึง อยู่เหมือนคนที่มือเท้าพิกลพิการ มาร่วมกับพวกเราเที่ยวปล้นทรัพย์ของชาวบ้าน และจะได้อยู่สบายๆ
ชายคนนั้นกล่าวว่า เขาไม่รู้วิธีโจรกรรม พวกโจรก็บอกว่า จะสอนให้ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ทำตามคำของพวกโจรอย่างเดียวเท่านั้น ชายนั้นก็รับคำ แล้วได้ไปกับพวกโจรเหล่านั้น
พวกโจรนั้นเมื่อไปกระทำโจรกรรม ก็ได้ใช้ให้เขายืนถือค้อนใหญ่ ตรงปากช่องทาง แล้วก็สอนว่า ถ้ามีคนมาทางนี้ ให้เอาค้อนทุบให้ตาย
ชายคนนั้นเป็นคนที่บอดเขลา ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เมื่อสั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เขาก็ได้แต่ยืนดูทางที่ตรงปากทางนั้นอย่างเดียว
เมื่อพวกโจรเข้าไปทำโจรกรรมในเรือนนั้นแล้ว ก็ถือเอาสิ่งของที่ควรจะถือ เอาไปด้วย เมื่อพวกคนในเรือนรู้ตัว พวกโจรพากันหนีไปคนละทิศคนละทาง คนในเรือนนั้นก็พากันวิ่งตามจับ เมื่อเห็นชายคนนั้นยืนอยู่ตรงช่องประตูก็ช่วยกันจับไว้ และได้นำไปกราบทูลพระราชาว่า จับโจรคนนี้ได้ที่ปากทางประตู
พระราชาทรงมีพระบัญชาให้ผู้รักษาพระนครลงโทษตัดศีรษะเขา ผู้รักษา พระนครรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ก็ให้จับชายคนนั้นมัดไพล่หลังอย่างมั่นคง และคล้องคอด้วยพวกมาลัยสีแดงห่างๆ ศีรษะของเขาก็เปรอะเปื้อนด้วยผงอิฐ ผู้รักษาพระนครให้ตีกลองพาเขาตระเวนประจานโทษ จากทางรถบรรจบทางรถ จากทางสี่แพร่งบรรจบทางสี่แพร่ง แล้วให้เฆี่ยนด้วยหวาย แล้วก็ได้นำตัวไปสู่ที่ประหารชีวิต ประชาชนก็พากันแตกตื่นมาดู
สมัยนั้น ในพระนครนั้นมีหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ชื่อสุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาทมองออกไปทางช่องทางต่าง เห็นชายคนนั้นถูกนำตัวไปยังที่ประหารชีวิต เธอเคยถูกชายผู้นั้นบำเรอมาในกาลก่อนก็เกิดความสงสารว่า ชายคนนี้เคยเสวยสมบัติ เป็นอันมากในพระนครนี้เอง บัดนี้ถึงความพินาศวอดวายถึงเพียงนี้ จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูกและน้ำดื่มไปให้ และได้แจ้งให้ผู้รักษาพระนครทราบว่า ขอให้เขากินขนมต้ม และดื่มน้ำเสียก่อน แล้วจึงประหารชีวิต
ขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นชายคนนั้นจะถูกประหารชีวิต ท่านจึงคิดด้วยความกรุณาว่า ชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาป เพราะฉะนั้น เขาจะเกิดในนรก แต่เมื่อท่านไปและเขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่ท่าน เขาก็จะเกิดเป็นภุมมเทวดา ดังนั้น ท่านก็ได้ไปปรากฏข้างหน้าของชายผู้นั้น ในขณะที่มีคนนำน้ำดื่มและขนมต้มเข้าไปให้เขา
เมื่อเขาเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะก็มีจิตเลื่อมใสคิดว่า เราผู้จะถูก คนเหล่านี้ฆ่าในบัดนี้เอง จะมีประโยชน์อะไรที่จะบริโภคขนมต้มนี้ ก็ผลทานนี้จะเป็นเสบียงสำหรับคนไปสู่ปรโลก ดังนั้น เขาจึงได้ถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่ท่านพระเถระ และเพื่อที่จะเจริญความเลื่อมใสของชายผู้นั้น เมื่อชายผู้นั้นกำลังดูอยู่นั่นเอง ท่านพระเถระก็ได้นั่งในที่นั้น ฉันขนมต้มและน้ำดื่ม แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป และชายผู้นั้นก็ถูกเพชฌฆาตตัดศีรษะ
ด้วยบุญที่เขาทำไว้ในท่านพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาควรจะเกิดในเทวโลกชั้นเยี่ยม แต่เพราะเหตุที่เขามีจิตเศร้าหมองในเวลา ใกล้จะตาย เพราะคิดถึงด้วยความผูกพันในนางสุลสาซึ่งเป็นผู้ที่ให้เขาได้มีโอกาส ถวายไทยธรรม เขาก็ได้เกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันสนิท อันเกิด แทบภูเขา
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
ได้ยินว่า ถ้าในปฐมวัยเขาจะได้ขวนขวายในการดำรงวงศ์ตระกูลไซร้ เขาจะเป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐีทั้งหลายในพระนครนี้เอง ถ้าขวนขวายในมัชฌิมวัย เขาจะเป็นเศรษฐีวัยกลางคน ถ้าขวนขวายในปัจฉิมวัย เขาก็จะเป็นเศรษฐีในวัยสุดท้าย แต่ถ้าในปฐมวัยเขาจักได้บวชไซร้ เขาก็จะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฌิมวัย เขาก็จะได้เป็นพระสกทาคามีหรือพระอนาคามี ถ้าบวชในปัจฉิมวัย เขาก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่เพราะเขาคลุกคลีด้วยปาปมิตร เขาจึงเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในทุจริต เป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง ถึงความย่อยยับ อย่างใหญ่หลวง โดยลำดับ
นี่ก็เป็นผู้ที่ประมาทในชีวิตในการเจริญกุศล เพราะฉะนั้น ความประมาทนั้นเองพลิกชีวิตจากการเป็นเศรษฐี หรือจากการที่จะเป็นพระอริยเจ้า สู่ความเป็นรุกขเทวดาหลังจากที่สิ้นชีวิตแล้ว
ถ. ผมได้ฟังเรื่องของบุตรเศรษฐีแล้วโล่งใจ เพราะว่าถูกตัดคอแล้วก็ยังได้ ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา แต่ได้ฟังบรรยายออกอากาศทางสถานีวิทยุว่า อัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ ชื่ออุพพรี ตายแล้วไปเกิดเป็นหนอน นี่น่าอนาถจริงๆ ผมคิดว่า ชีวิตเราไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ตายแล้วไม่ทราบว่าจะไปเกิดเป็นอะไร เป็นเทวดา ถึงจะชั้นต่ำก็ยังดี ยังมีโอกาสบำเพ็ญกุศลได้บ้าง แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน โอกาส ที่จะได้บำเพ็ญกุศลไม่มีเลย
ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องการศึกษาธรรม อย่างหนังสือที่ออกมาเล่มใหม่ ให้ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ พิจารณาไป เพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องแน่ชัดจริงๆ ผมนึกถึงตัวเองว่า อ่านหนังสือธรรมก็อ่านมาพอสมควร แต่ยังไม่ค่อยเกื้อกูลแก่ตัวเองเท่าไร เพราะว่าอ่านชีวิตตัวเองไม่ค่อยจะออก คือ ยังเข้าใจว่า ธรรมอยู่ในหนังสือ ธรรมอยู่ในพระไตรปิฎก ธรรมอยู่ในคำบรรยายของอาจารย์ หรืออยู่ในเทปที่ฟัง ไม่ได้นึกว่า ธรรม คือ ชีวิตประจำวันของเราแต่ละขณะนี่เอง บางทีความโลภเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น เราก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ได้พิจารณา ทำอย่างไรการศึกษาธรรมจึงจะ เป็นประโยชน์เกื้อกูลที่จะให้มีสติระลึกได้ในชีวิตประจำวันบ้าง
สุ. แสดงให้เห็นว่า อกุศลที่สะสมมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์มีกำลัง เพราะฉะนั้น การที่สติและปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นจนกว่าจะมีกำลังดับกิเลสนั้นได้ ต้องอาศัยวิริยะ ความพากเพียร ความอดทน ซึ่งไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะว่า ชาตินี้ชาติเดียวก็เห็นกำลังของอกุศลแล้ว ใช่ไหม ทั้งๆ ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ยังเหมือนกับอยู่ในตำรา จนกว่าสิ่งที่ได้ทรงแสดงไว้นั้น คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้เอง
ไม่ว่าจะทรงอธิบายเรื่องของขันธ์ เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันเลย เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาธรรม โดยสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ตรงตามที่ได้ฟังหรือเปล่า เช่น ทางตาในขณะนี้ เป็นสภาพรู้จริงๆ
แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๗๖ ตอนที่ ๑๗๕๑ – ๑๗๖๐
เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1752
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1753
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1754
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1755
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1756
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1757
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1758
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1759
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1760
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1761
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1762
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1763
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1764
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1765
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1766
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1767
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1768
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1769
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1770
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1771
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1772
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1773
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1774
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1775
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1776
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1777
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1778
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1779
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1780
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1781
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1782
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1783
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1784
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1785
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1786
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1787
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1788
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1789
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1790
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1791
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1792
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1793
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1794
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1795
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1796
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1797
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1798
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1799
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1800
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1801
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1802
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1803
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1804
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1805
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1806
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1807
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1808
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1809
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1810
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1811
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1812
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1813
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1814
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1815
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1816
- แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1817