ปกิณณกธรรม ตอนที่ 271


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๒๗๑

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทเดลี่กูดส์ จำกัด ถ.สุขสวัสดิ์ เขตราชบูรณะ

    มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒


    ท่านอาจารย์ เพราะว่าชีวิตดำรงอยู่ชั่วขณะจิต ขณะเดียวเท่านั้น จิตเกิดขณะหนึ่งแล้วก็ดับ แต่ว่าตัวจิต เขาเป็นสภาพธรรม ที่เป็นปัจจัยชนิดหนึ่งคือทันทีที่ดับก็เป็นปัจจัยให้ จิตขณะต่อไปเกิด สืบเนื่องไม่มีขาดสายเลย ปัจจัยนี้ชื่อ อันตรปัจจัย คือ ไม่มีเว้น ไม่มีขาดเลย ทันทีที่จิตดวงหนึ่งดับไป ก็เป็นอนัตรปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด ย้อนถอยไปถึงตอนเกิด ทุกขณะ จากขณะนี้ถอยไปๆ ก็คือขณะเดียวที่เกิดเป็นปัจจัยให้แต่ละขณะสืบต่อมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ แล้วขณะที่เกิดชาตินี้ก็ถอยไปอีก สืบต่อไปถึงแต่ละชาติ แต่ละชาติ เพราะฉะนั้น จิตก็เกิดขึ้นทำกิจการงานอย่างนี้แหละมานานแสนนาน แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา แล้วเราจะทำอะไรเพื่ออะไร จะทำอะไรเพื่ออะไร เพื่อความไม่รู้แน่นอน เพราะเหตุว่าไม่เคยฟัง ไม่เคยรู้เรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงปัญญาที่จะประจักษ์แจ้ง ซึ่งเป็นผลของการอบรมที่ยาวนาน ที่ในพระไตรปิฏก ใช้คำว่า จิรกาลภาวนา จิร ก็ยาวนาน กาล แปลเป็นเวลา ภาวนา คืออบรม กว่าจะถึงอย่างนั้น เราก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าขณะนี้เราไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เข้าใจ แล้วเราก็หวัง หวัง หวังว่าจะไปปฏิบัติ แล้วก็จะได้อะไรขึ้นมา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม แต่ถ้าเราเข้าใจว่า ปัญญาทั้งหมดจะเริ่มต้นจากการฟัง จะอ่าน หรือจะสนทนาธรรม หรือจะอะไรก็แล้วแต่ ให้เข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็ยังไม่มาถึง เย็นนี้ก็ยังไม่มาถึง ขณะนี้อะไรจริง สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ก็สามารถที่จะประจักษ์ว่า สั้นมาก เพียงปรากฏเมื่อเห็น ขณะที่ได้ยิน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ปรากฏแล้ว ถ้าจะรู้ความจริงอย่างนั้นได้ เราก็ต้องฟังนาน พอที่จะรู้ว่าปัญญาของเราถึงระดับขั้นไหน โดยไม่ใช่ตัวเราจะไปทำ ถ้าเป็นตัวเราจะไปทำ จะตรงกันข้ามคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดเลย ท่านสอนว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราก็เป็นอัตตา จะทำ เพราะฉะนั้น ตรงไหม ก็ไม่ตรง ถ้าเราเคยฟัง เราอาจจะใช้สาย หรืออะไรก็ได้ แล้วไม่เกิดปัญญา ก็ไม่ใช่ของจริง เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะรู้สภาพธรรมในขณะนี้ได้เลย แน่นอน แล้วเรายังจะทำไหม ในเมื่อถ้าไม่รู้ ต้องไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ธรรมเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกมี แล้วก็สิ่งที่ผิดมี สิ่งที่ผิดจะมาคละเคล้ากับสิ่งที่ถูกไม่ได้ แล้วสิ่งที่ถูกคือ ต้องพิจารณาจนกระทั่งกระจ่างชัดว่าเป็นสิ่งที่ถูก หมดความเคลือบแคลงสงสัย จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกที่แท้จริง แล้วทุกคนก็คงอยากจะต้องการสิ่งที่ถูกต้อง เราถึงได้มีการศึกษาธรรม แต่การศึกษาธรรม ถ้าเรายังไม่ได้พิจารณาละเอียดจริงๆ เราก็อาจจะมีความผิดบ้าง ถูกบ้าง เป็นของธรรมดา แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่มั่นคงจริงใจต่อสัจธรรม เราก็ต้องพิจารณาว่า สิ่งใดถูกคือถูก สิ่งใดผิดคือผิด ซึ่งเรากล้า หรืออาจหาญพอที่จะยอมรับว่าสิ่งที่ผิดคือผิด แล้วสิ่งที่ถูกคือถูกหรือเปล่า

    นี่คือประโยชน์ของการที่จะศึกษาธรรม แต่ถ้าเราศึกษาธรรมเพื่อเหตุอื่น คือไม่ใช่เพื่อความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องสัจธรรม เราก็ยังคงได้ผลเหมือนเดิม คือมีผิดกับมีถูก คละเคล้ากันไป เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ควรที่จะได้ทราบว่า ทุกคนที่ศึกษาธรรมร่วมกัน เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ร่วมกันจริงๆ คือเพื่อความถูกต้องของพระธรรมวินัยของสภาพธรรม กับสิ่งที่เราจะได้รับด้วย เพราะเราคงไม่อยากจะได้สิ่งที่ผิดๆ ถูกๆ

    ผู้ฟัง ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ผมยังไม่ได้ข้อที่ชัดเจน ว่ามันเกี่ยวข้องกับบัญญัติ และปรมัตถธรรมอย่างไร ผมจึงจะปฏิบัติตัวได้ถูก โดยสภาวธรรมของปรมัตถ์ และบัญญัติ ผมแยกไม่ค่อยออก

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นตั้งต้นใหม่ๆ เลย ตั้งแต่ต้นเลย ทุกคนก็ต้องยอมรับว่า ก่อนที่จะได้มีการฟังพระธรรม เราก็ศึกษาวิชาต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เด็กทุกคนก็มีความรู้ตามรูปแบบของแต่ละคน ว่าจะสนใจศึกษาวิชาการใด แต่ถ้ายังไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา เรามีอวิชชาแน่นอน ที่ว่าเรามี อวิชชา คำใดคำหนึ่งที่เราได้ยินได้ฟัง ขอให้เราเข้าใจความหมาย อย่าเพิ่งสรุปหรือว่าอย่าเพิ่งคิดว่าเราเข้าใจแล้ว แต่ทุกคำควรจะเข้าใจจริงๆ อะ แปลว่าไม่ วิชชา แปลว่า รู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา แปลว่าไม่รู้ เราไม่รู้ แม้แต่ว่าเราไม่รู้อะไร เราก็ได้ยินแต่ชื่อ เราก็ยอมรับ ง่ายๆ ว่าเราไม่รู้ แต่ถ้าถามลึกลงไปว่า เราไม่รู้อะไร ตอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้ปรมัตถธรรม ไม่รู้สภาวธรรม

    ท่านอาจารย์ คือเรายังไม่ได้เรียนคำ ๒ คำนี้ เราเพิ่งมาถึงคำว่า อวิชชา แปลว่าไม่รู้ แล้วเราก็ไม่สามารถจะรู้ว่า เราไม่รู้อะไร ถ้าเราไม่ได้ศึกษา เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่ความจริงพอเราศึกษาแล้ว หรือว่าเข้าใจ เริ่มรู้ว่า อวิชชาคืออะไร เราถึงจะรู้จริงๆ ว่า เราไม่รู้เลย แล้วก็ไม่รู้อย่างมากๆ ด้วย ถ้าถามต่อไปโดยการที่ศึกษาบ้างแล้ว ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมา ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เรารู้ ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายถูกต้องกระทบสัมผัส ทางใจ คิดนึก เราเห็นมานานเท่าไรตั้งแต่เกิด ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึกนี่มากมายมหาศาล ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไร ชีวิตของเราคือแต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดมา ขณะที่เห็นเป็นของจริง เป็นชีวิตที่คิดว่าเป็นเราเห็น เราไม่รู้ความจริงว่าที่ว่าเป็นเห็น หรือว่าเป็นเราเห็น ความจริงแล้วเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่คิดนึก สัมผัส แล้วจากโลกนี้ไป ด้วยการไม่รู้ความจริงของชีวิตธรรมดา ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็คือไม่รู้ความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ของสิ่งที่มีจริงๆ เรายังไม่ต้องใช้คำบาลีอะไรเลยก็ได้ เพราะว่าเราเริ่มต้นจากคำว่า ความไม่รู้ ซึ่งก็ไม่ใช่คำที่ยาก แต่ว่าความไม่รู้จะมากมายมหาศาลสักแค่ไหน ต่อให้เราไปเรียนวิชาอื่น จบมหาวิทยาลัย ชาติโน้น ชาตินี้ ชาติหน้า แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริงหนึ่งขณะที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน ที่กำลังได้กลิ่น ที่กำลังลิ้มรส ที่กำลังกระทบสิ่งที่อ่อนแข็ง เย็นร้อน ตึงไหว ที่คิดนึกเป็นประจำ หมายความว่าเรามีความไม่รู้มากไหม ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว แล้วยังจะต่อไปอีก เพราะฉะนั้น มหาศาลจริงๆ เราเริ่มรู้ว่า เราไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น เราจึงต้องศึกษาพระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ซึ่งขอให้ทุกคนเริ่มคิดพิจารณาคำว่า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ไม่มีใครมีชื่อนี้เลย เพราะว่าเป็นชื่อของพระคุณนาม เดิมไม่ได้ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประสูติชื่อว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เท่านั้น เพราะอะไร ทำไมไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนประสูติ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงของธรรม ของชีวิต ของทุกขณะจิต แต่ว่าเมื่อตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง ใครก็จะเปลี่ยนพระองค์ให้กลับไปเป็นชื่ออื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากชื่อเดียวคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง จากการอบรมพระบารมี ถ้าเราจะไม่กล่าวถึงตอนที่ตั้งความปรารถนาตอนต้นๆ ก็ ๔ อสงไขยแสนกัป นานแค่ไหน แล้วเราล่ะ จะรู้ธรรมเร็วๆ ได้ไหม ไม่ได้แน่นอน นอกจากเราคิดว่าจะมีหนทางที่จะทำให้รู้ได้ แต่พระพุทธศาสนาต่างกับศาสนาอื่น เพราะเหตุว่าศาสนาอื่นๆ ไม่ได้สอนให้เรารู้จักสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ รับรองได้ ไม่มีเลย นักปราชญ์ บัณฑิต มหาบัณฑิต นักปรัชญา นักจิตวิทยาอะไรก็ไม่สามารถที่จะสอนให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ เพราะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาฟังพระธรรมแล้วก็เริ่มเข้าใจขึ้น จากการฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณเพิ่มขึ้น แต่ว่าถ้าไม่ฟังเลย แม้ว่าเราจะกราบไหว้ มีผู้ที่บอกว่าให้ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน หรือเมื่อไรก็ตาม เราก็ยังไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ศึกษา

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราก็จะต้องทราบว่า ธรรมที่จะได้ยินได้ฟัง ก็เป็นธรรมจากพระโอษฐ์ จากการตรัสรู้ จากการทรงแสดง ด้วยพระปัญญาที่ถึงระดับขั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสิ่งที่ง่ายหรือยาก ยาก เพราะตอนที่เพิ่งตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ยากสักแค่ไหน ทั้งๆ ที่ดูธรรมดาเหลือเกิน เห็นธรรดาๆ ได้ยินธรรมดา ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกธรรมดา แต่ยากสักแค่ไหนที่จะรู้ว่า ต้องอาศัยการบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป ที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม

    ทุกคนก็เป็นผู้ที่ได้กระทำบุญมาแล้วในอดีต เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้กระทำบุญมาแล้วในอดีต ไม่มีทางที่จะได้ยินพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะว่าทุกคนที่มีโสตปสาท คือ มีหู ได้ยินเสียงอะไรก็ได้ แต่เสียงนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีบุญเก่าที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีโอกาสได้ฟังประการหนึ่ง หรือว่าถึงมีโอกาสได้ฟังก็ไม่สนใจ เพราะว่าไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์หรือคุณค่า แต่ว่าผู้ที่มีความสนใจ ทุกคนให้ทราบว่าได้เคยมีศรัทธา มีความสนใจ มีการเห็นประโยชน์ในอดีต ถึงได้ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปอ่านหนังสือ ไม่ไปดูโทรทัศน์ ไม่ไปคุยกับเพื่อน แต่ก็ยังมีโอกาสหรือมีเวลาที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสดีสำหรับชาตินี้ ซึ่งมีโอกาสได้ฟังช้ำอีก แล้วมีโอกาสที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงกาลหรือเวลา ที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ เพราะว่าการฟังเป็นการฟังเรื่องราวของธรรม ขณะนี้มีเห็นที่เราพูดถึงเมื่อกี้นี้ แล้วก็มีได้ยิน แต่ยังไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เห็น หรือสภาพได้ยิน โดยความเป็นอนัตตา เพราะว่าเพิ่งจะเริ่มฟังให้เข้าใจก่อน ซึ่งถ้าไม่มีการฟัง แน่อนอนที่สุดแล้ว คิดเอง คิดไม่ออก มีใครจะคิดออกไหมว่า ธรรมคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถที่จะอบรมเจริญรู้แจ้งความจริงได้ อันนี้เราก็ยังไม่ถึงขั้นปริยัติกับปฏิบัติ เพียงแต่ว่า ให้เราเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่เราได้ฟัง เพราะว่าการฟังพระธรรม บางคนก็บอกว่ายาก ตอนนี้วันนี้ยังไม่เข้าใจ เอาไว้กลับไปบ้านจะไปอ่าน หรือว่าอีกอาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่งก็ฟังไปอีกจะเข้าใจอีก แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ขณะใดที่ฟัง ขอให้ทุกคนพิจารณา และเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง อย่าไปคิดว่าแล้วต่อไป จะไปอ่านหรือจะไปทำอะไรก็ตามที่จะให้เข้าใจ แต่ถ้าขณะนี้ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วเมื่อไรฟังอีกจะเข้าใจได้ไหม ในเมื่อขณะนี้ไม่เข้าใจ แต่ถ้าขณะนี้เข้าใจ ขณะต่อไปคราวต่อไปฟังแล้วก็เข้าใจอีกได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ธรรมเป็นเรื่องละเอียด แล้วก็การศึกษา อย่าใจร้อน แล้วก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่า การฟัง ฟังเพื่ออะไร เพราะว่าส่วนใหญ่จะมีการศึกษาธรรมหลายรูปแบบ บางรูปแบบจะเน้นไปที่ความจำ บางรูปแบบโดยเฉพาะการศึกษาพระอภิธรรม ก็จะเน้นไปในเรื่องจำนวน แต่ถึงแม้ว่าเราจะจำได้ จำจำนวนได้ จำชื่อได้ แต่ว่าไม่เข้าใจสภาพธรรมที่เรากล่าวถึง หรือที่เราพูด ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

    จุดประสงค์จริงๆ ขอให้คิดถึงในครั้งอดีตที่ท่านพระสารีบุตรฟังธรรมท่านพระอัสสชิ แล้วสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ท่านมีความเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่เป็นที่สงสัยเลย ทำไมจะรู้ไม่ได้ ในเมื่อสภาพธรรมกำลังปรากฏ เหมือนเดี๋ยวนี้ ถ้านึกถึงพระวิหารเชตุวัน ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม มีสาวกกำลังฟัง ท่านก็เห็น ท่านก็ได้ยิน ท่านก็คิดนึก เหมือนเดี๋ยวนี้ คือเห็น เห็นไม่เปลี่ยนสภาพเลย กี่ล้านปี เห็นก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือเป็นสภาพหรือธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทำกิจอย่างเดียวคือเห็นเท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่ได้

    ถ้าใครสะสมปัญญาจากการฟัง เข้าใจตัวสภาพธรรม โดยนัยหลากหลายที่จะเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แม้ขณะนี้เองที่ได้ฟัง ก็สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ขึ้นอยู่กับว่า ปัญญาสะสมมามากน้อยเท่าไร ปัญญาระดับขั้นเพียงฟัง ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้เลย ฟังไปเถอะ ฟังไปเท่าไร เห็นไป ก็เป็นเราเห็นตลอด ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฟังธรรม ตลอดหมด ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าจะฟังความละเอียดซึ่งเป็นพระอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งยุคนี้สมัยนี้ ก็เริ่มต้นด้วยการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ซึ่งแยกเป็น ๙ ปริเฉท แต่ต้องรู้จุดประสงค์ว่าฟังเพื่ออะไร มิฉะนั้นเราจะไม่ได้ประโยชน์เลย ต้องให้ทราบว่าไม่ใช่ฟังเพื่อจำจำนวน หรือว่าจำชื่อ แต่ฟังเพื่อให้รู้ว่าทั้งหมดที่ฟัง ก็เพื่อเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ นี่คือประโยชน์ของการศึกษา ว่าฟังเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ไปสนใจ ยุ่ง ปวดหัว กับเรื่องจำนวน เพราะอะไร ตายแล้วก็ลืม มีใครบ้างที่ยังจะจำต่อไป อย่างท่านพระสารีบุตรเวลาที่ท่านกำลังรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่มีจำนวนเข้ามาเกี่ยวข้องเลยว่า จิตนี้เกิดขึ้น มีเจตสิกประกอบเท่าไร แต่ว่าสามารถที่จะละการยึดถือสภาพ ที่กำลังเห็นในขณะนี้โดยการประจักษ์แจ้ง แม้ในคำแรกที่เราได้ยินคือ นามธรรมกับรูปธรรม ขณะที่เห็นเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ส่วนธรรมอื่นที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมด้วย แต่รู้อะไรไม่ได้ เป็นรูปธรรม แค่ ๒ คำนี้ มีตลอด กี่ภพกี่ชาติที่เกิด โลกไหนก็ตาม จะขาดนามธรรมรูปธรรมไม่ได้ เว้นภูมิพิเศษ ๒ ภูมิ คือ อรูปพรหมภูมิ ซึ่งมีทั้งหมดด้วยกัน ๔ ภูมิ กับอสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งสำหรับอรูปภูมิ ก็บอกแล้วว่าไม่มีรูป ๔ ภูมิ แล้วก็อสัญญสัตตาภูมิ ก็ไม่มีนามธรรมเลย แต่นอกจากนั้นแล้ว บนสวรรค์ ก็มีนามธรรม มีรูปธรรม ในรูปพรหมภูมิ ก็มีนามธรรมกับรูปธรรม เพราะฉะนั้น ไม่ได้ขาดนามธรรมกับรูปธรรมเลย พร้อมที่จะให้เข้าใจลักษณะ แต่ว่าถึงแม้ว่าจะฟังเข้าใจ ปัญญาไม่พอที่จะละการยึดถือว่าไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้น จะเห็นระดับของปัญญาว่า จะต้องเจริญขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แล้วยังต้องถึงปัญญาที่ถึงระดับที่เริ่มที่จะละความติดข้อง ในนามธรรมในรูปธรรมด้วย เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบจริงๆ ว่า ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อน ขอให้ตั้งต้นใหม่จริงๆ โดยอะไร เข้าใจทุกคำที่ได้ยินให้ถูกต้อง อย่าข้ามไป ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ กายานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา อะไรก็ตามทั้งหมด มาทีหลัง ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ก็ต้องมีจุดที่เริ่มต้น เพราะฉะนั้น เราก็ยังไม่ต้องไปถึงเรื่องการไปประพฤติปฏิบัติที่ไหนเลย ถ้าเรายังไม่เข้าใจธรรม อนัตตา หรือว่านามธรรมกับรูปธรรม จุดประสงค์ของการเรียน เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อว่าไม่เคยเข้ามาในนี้เลย เป็นศาสนาพุทธมาตั้งแต่เกิด แต่พอวันนั้นได้ไปฟังอภิธรรม นี่ใช่แล้วตัวเรา เราคิดอย่างนี้ทุกอย่าง แต่เราไม่เคยเจอคำพูดอย่างนี้ ได้เริ่มเรียนตรงนี้ ตัวเองก็รู้ว่าสายไปหน่อย สายไป ก็อยากจะเรียนไปให้รู้

    ท่านอาจารย์ ต้องพิจารณาว่า เราเรียนเพื่ออะไร คือการกระทำทุกอย่างจะสำเร็จได้ เมื่อเรารู้จุดประสงค์ที่แท้จริง ถ้าเรายังไม่รู้จุดประสงค์ มันไปไหน เรียนไปตรงไหน เรียนไปทำอะไร เพราะฉะนั้น แม้แต่การเรียน ซึ่งบางทีเราอาจจะข้ามไป คิดว่าก็มีประโยชน์ดี ดีกว่าไม่เรียน แต่ถึงกระนั้นความละเอียดของพระธรรม ที่จะทำให้เราเข้าถึงพระธรรมจริงๆ ก็ต้องรู้ก่อนว่า เราเรียนทำไม เรียนเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง ที่ฟังมาทั้งหมด แล้วก็ฟังเทปของท่านอาจารย์มานานพอสมควร สิ่งที่ข้องใจอยู่ในตัวคือ ขณะนี้ เราไม่สามารถ ตัวเราเอง เราเรียนไปเพื่ออะไร อันนี้ถามอยู่ในใจตลอด ทีนี้ วันนี้ ขอถามเลยว่า เราคววรเรียนเพื่ออะไร แต่ที่ผ่านมา ถามว่าเรียนเพื่ออะไร สิ่งที่เราได้กับตัวเองนั้นคือ การขัดเกลาตัวเองไปตั้งหลายอย่าง และสามารถตัดสินใจตัวเองว่า เรากำลังทำ สิ่งที่เราทำ เหมือนกับมีคนมาชวนไปไหนสักอย่าง เราจะรู้เลยว่า เราควรปฏิเสธ หรือเราควรตอบรับ อันนั้นบอกว่าเป็นประโยชน์ในการที่เรียนมานี้มาก แต่วันนี้ก็อยากทราบเหมือนกันว่า เราควรเรียนเพื่ออะไร และการปฏิบัตินั้นควรทำอะไรมากไปกว่านี้บ้าง

    ท่านอาจารย์ เรื่องของธรรม ถ้าเพียงฟัง ซึ่งทุกคนชอบฟัง แต่ฟังแล้วต้องคิด เพราะอะไร เป็นปัญญาของผู้ฟัง ถ้าไม่คิด เป็นปัญญาหรือเป็นเรื่องราวของผู้พูด ผู้พูดจะพูดอะไรก็ได้ คนฟังก็ฟังไป แต่การที่พุทธศาสนาต่างกับศาสนาอื่น คือ เมื่อผู้ที่ไปเฝ้าฟังพระธรรมแล้วเกิดปัญญาของตัวเอง แต่ปัญญาของตัวเองไม่ใช่ได้มาง่ายๆ จากการฟัง ฟังคือหูได้ยิน ต่างคนต่างได้ยิน ต้องต่างคนต่างคิดพิจารณาในสิ่งที่ได้ฟังด้วย มิฉะนั้นแล้วจะไม่ใช่ปัญญาของเราแน่นอน ฟังมาว่าอย่างไรก็จำไว้แล้วก็พูดอย่างที่จำ มันไม่ใช่ปัญญาของเรา แต่ว่าขณะใดที่ฟังแล้วก็พิจารณาเหตุผล เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะนั้นเป็นปัญญา ซึ่งสมบัติหรือมรดกซึ่งทุกคนจะได้รับจากพระศาสนา หรือจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ เพราะทุกสิ่งเหล่านี้ได้มาแล้วก็สูญไป หมดไปได้ จากไปทางหนึ่งทางใดก็ได้ ทั้งที่ยังมีชีวิต หรือว่าหมดชีวิตแล้ว แต่ว่าสิ่งหนึ่งซึ่งประเสริฐกว่านั้นคือปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น ต้องทราบว่า เรามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพื่อไปขอลาภ ขอยศ ขอหายป่วย ขออะไรต่างๆ ทั้งหมด แต่เพื่อได้รับปัญญาจากที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีแสนนาน เพื่อที่จะบรรลุถึงปัญญาที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถจะมีพระญาณทรงรู้อัธยาศรัยของผู้ฟัง ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นเกิดความเข้าใจถูก เป็นปัญญาของตังเอง นี่คือขณะใดที่เป็นอย่างนี้ นั่นคือผู้ที่ได้รับมรดกธรรม จากพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ฟังเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง ฟังเพื่อให้เกิดปัญญา ในขณะที่ฟังควรจะพิจารณาไปด้วย

    ผู้ฟัง ฟังเพื่อทำความเข้าใจศึกษา แล้วระหว่างที่ตายไปเกิดชาติภพใหม่ ความเข้าใจอันนี้จะต่อไปในชาติหน้า หรือชาติหน้ามาฟัง มาเรียนรู้ มาพิจารณาเพื่อเข้าใจอีก เพราะเมื่อสักครู่นี้อาจารย์ได้พูดว่า เราเรียนพระอภิธรรม ถ้าตายไปแล้วชาติหน้าก็ลืมไป มาเริ่มต้นใหม่ ความเข้าใจนี้จะเป็นเช่นนั้น หรือว่าเข้าใจแล้วต่อเนื่อง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 97
    23 มี.ค. 2567