ปกิณณกธรรม ตอนที่ 404


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๐๔

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    พ.ศ. ๒๕๓๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องซึ่ง ถ้าอาศัยคำที่ทรงแสดงไว้ว่า วิรตี ปกติธรรมดา จะเกิดเพียงหนึ่ง ขณะนั้นเราก็น่าจะมีวิรตีเจตสิกเกิดพร้อมกับ มหากุศลจิต แม้ขณะที่สติปัฏฐานเกิดได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่กล่าวตู่พระธรรม เราเพียงแต่ต้องหาหลักฐานเพิ่มขึ้น แล้วอีกประการหนึ่ง แม้ว่าจะมีหลักฐาน ก็จริง แต่สภาพธรรม จริงๆ ใครสามารถจะรู้ได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของคนนั้นไป แต่ส่วนใครที่ไม่มีใครสามารถที่จะมีปัญญาถึงระดับนั้น ก็อย่าไปเสียเวลาเลย เพระเหตุว่าสภาพธรรม ก็กำลังปรากฏ เพียงรู้ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า นามธรรมหรือรูปธรรม สติที่เกิดกับหลงลืมสติ ต่างกันอย่างไร เรื่องก็ควรจะนำมาในที่นี้ เพราะว่าเราจะได้ไม่กล่าวตู่ มีอะไรที่เราจะพยายามช่วยกันคิดพิจารณาให้ชัดเจนขึ้น ถูกต้องขึ้น เพราะว่าคิดคนเดียวอาจจะผิด เพราะว่า คนโน้นอ่านมุมนั้น คนนั้นอ่านเล่มนี้ แต่ถ้าเอามาประกอบกันก็จำทำให้หายสงสัยได้

    ผู้ฟัง ปกติในเรื่องการรักษาศีลในชีวิตประจำวัน เราก็พูดว่ามีการงดเว้น มีการไม่เบียดเบียน อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ถ้าเป็นการงดเว้น หรือว่ามีการวิรัติในขณะนั้น เป็นองค์ ๑ ในองค์ ๓ ของวิรตีเจตสิกหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ปกติแล้ว เวลาที่เราได้มีการทำบุญ ทำกุศล ความนึกคิดก็ เป็นตัวเป็นตนตลอดเวลา แต่พอนึกได้ เราเคยเรียนมาว่า เป็นศรัทธาก็ดี เป็นกุศลจิต ไม่มีตัว มีตน มันนิดเดียวแล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนอีก

    ท่านอาจารย์ นี้คือปกติ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ว่า ความเป็นตัวเป็นตนมีมากเสียจนกระทั่งเวลาที่เราระลึกถึง การเรียนการศึกษา ว่าเป็นเพียงสติเกิดขึ้น เป็นเพียงสภาพธรรม แต่ละอย่างเกิดขึ้นนิดเดียว แล้วกลายเป็นตัวตนทันที

    ท่านอาจารย์ นี้เป็นปกติ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เป็นปกติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ ผิดปกติ ถ้าใครจะมีปัญญา รู้แจ้งอริยสัจธรรมทันทีเดี๋ยวนี้ นั่นผิดปกติ เพราะว่าเหตุยังไม่สมควรแก่ผล หรือว่าสติของใครจะเกิดทั้งวันทั้งคืนนั่นก็ผิดปกติแล้ว เพราะเหตุว่าเหตุไม่สมควรแก่ผล เพราะฉะนั้น แต่ละคนต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า อย่างไหนแน่ ที่ถูก ถ้าผิดปกติ คือประหลาด ในเมื่ออวิชชามีมากมายมหาศาล แล้วก็การฟังพระธรรมก็เพียงเท่านี้ แล้วจะให้สติระลึกเสียจนกระทั่งว่าไม่ มีความเป็นตัวตนเข้ามาอีกเลย เป็นไปได้อย่างไร อย่างนั้นคือผิดปกติ สำหรับผู้ที่ศึกษาเพียงเท่านี้ แต่ถ้ามีการศึกษาแล้วก็มีการอบรมเจริญปัญญามา สักแสนกัป หรืออาจจะไม่ถึงแสนกัปก็ได้ก็ตามแต่ เพียงฟัง คุณศุกลไม่สงสัยเลย ทำไมท่านเหล่านั้นรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ อย่างท่านพระสารีบุตรท่านฟังท่านพระอัสสชิสั้นๆ แค่นั้นเอง มีเวลาที่ไหนที่จะมาคิด ที่จะมาไตร่ตรอง รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะเหตุว่า สภาพธรรม มีจริงกำลังปรากฏ สิ่งที่เรากำลังฟัง ศึกษามาเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปีก็คือเรื่องราวของสภาพธรรม เพื่อให้เข้าใจ ตัวจริงของธรรม ว่าตรงตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้าใครสามารถจะฟังบุ๊ป เข้าใจบั๊ป แล้วสภาพธรรม ปรากฏกับบุคคลนั้นทันที วิปัสสนาญาณเกิด ไม่ช้าเลย รวดเร็วแทงตลอด อริยสัจธรรมได้ เป็นปกติของท่านผู้นั้น ที่ท่านสามารถที่จะฟัง แล้วก็รู้ลักษณะของสภาพธรรม และสภาพธรรมปรากฏ เมื่อสติ ระลึกเป็นปกติของท่านผู้นั้น แต่ผู้ที่กำลังค่อยๆ อบรมความรู้เรื่องลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะไหนหลงลืมสติ ขณะไหนสติเกิด แล้วก็ขณะไหนก็หลงลืมสติอีกบ่อยๆ นั่นคือปกติของผู้นั้น จนกว่าผู้นั้นจะรู้ว่าปกติของตนเอง มีการระลึกเพิ่มขึ้น หรือว่าไม่สำคัญที่การระลึก เพราะเหตุว่าสติเพียงระลึก แต่ปัญญาที่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ผู้นั้นจะรู้เลย เพิ่มขึ้นทันทีไม่ได้ อย่างที่คุณศุกลกล่าว ระลึกแล้วก็ตัวตนเข้ามา นี้แสดงว่าการที่จะรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมเพิ่มขึ้นต้องช้า เพราะเหตุว่ามีอวิชชาเกิด แล้วก็มีอกุศลจิตเกิด เป็นของธรรมดา ต้องรู้ความเป็นธรรมดา และความเป็นปกติจริงๆ

    ผู้ฟัง สักกายทิฏฐิ ๒๐ ควรทำความเข้าใจ ขั้นการฟังให้แจ่มแจ้งด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เวลาที่สติเกิด คนนั้นจะรู้เลย ยังสงสัย ยังไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมใด รูปธรรมใดยังมีความเป็นตัวตน ในขณะไหน สักกายทิฏฐิจะรู้ขึ้นเมื่ออบรมเจริญสติปัฏฐาน ว่ายังหลงเหลืออยู่ที่ไหนใน ๒๐ บ้าง

    ผู้ฟัง ถ้าเราใช้คำว่า มรรค สัมมาสติ ต้องเป็นสติปัฏฐาน อย่างเดียวหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต ที่มีสติเกิด แล้วอาจมีวิรตีเจตสิกองค์ใดองค์หนึ่งเกิด เราก็ไม่ถือว่าเป็นมรรค ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอนในชีวิตประจำวัน ใครที่เขาว่า วิรัติทุจริต ไม่ใช่ตัวเขา แต่เขาไม่รู้ว่า ไม่ใช่ตัวเขา แต่

    ผู้รู้ๆ ว่า ขณะนั้นเป็น วิรตีเจตสิก ที่เกิดทำกิจวิรัติ คนนั้นไม่รู้เรื่อง มหาสติปัฏฐานเลย เพราะฉะนั้น วิรตีเจตสิกก็คือการวิรัติทุจริตในชีวิตประจำวัน แต่ว่าเพราะเหตุว่าสติปัฏฐาน เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติในชีวิตประจำวัน แม้ขณะที่วิรัติขณะนั้นก็ รู้ว่าเป็นสภาพธรรม ขณะที่เป็นสติปัฏฐาน รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นการเจริญสติปัฏฐาน กับสติที่อบรมเจริญธรรม แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นเป็นโลกุตตรมรรค ก็จะเกิดมรรค แค่ ๕ องค์เท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เช่นเวลานี้ ถ้าคุณอรรณพจะระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรม เป็นสติปัฏฐาน ขณะนี้ไม่มี วิรตีเจตสิก เพราะว่าไม่เกิดขึ้น วิรัติทุจริต

    ผู้ฟัง วิรตีเจตสิก ทั้ง ๓ ถ้าจะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเกิดความพร้อม ของระดับการอบรมเจริญสติ

    ท่านอาจารย์ ไม่พร้อม วิรตีเจตสิก จะเกิดขึ้นทีละหนึ่งอย่าง ถ้าเป็นการวิรัติ กายทุจริตก็เป็น สัมมากัมมันตะ

    ผู้ฟัง เกิดได้เพียงหนึ่งดวง

    ท่านอาจารย์ ทีละหนึ่ง แต่จะเกิดพร้อมกันในโลกุตตรจิต เท่านั้น

    ผู้ฟัง ถ้าเราเกิดสติระลึกรู้สภาพธรรม ในขณะนี้ สัมมาสติซึ่งระลึก รู้ ตรงสภาพ ลักษณะปรมัตถธรรม รูปหรือนามที่กำลังเป็น อารมณ์ของจิต ในขณะนั้น ถ้าวิรตีเจตสิกเกิด ขึ้นหนึ่งดวง จะวิรัติอะไร ในขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ เวลานี้คุณอรรณพ วิรัติ อะไรหรือเปล่า ไม่วิรัติ ก็มี ๕ แต่ขณะที่คุณอรรณพ ปกติอย่างนี้ กำลังจะพูดเรื่องของคนอื่นซึ่ง ไม่เป็นประโยชน์ หรืออะไรอย่างนี้ แล้วคุณอรรณพ วิรัติแล้วสติระลึก สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวัน จนกว่าจะไม่ใช่เรา แม้แต่ขณะที่พูด แม้แต่ขณะที่เห็น แม้แต่ขณะที่คิด กายทุจริตก็มี ใครที่จะโกง กำลังจะโกงแล้ว วิรัติ ไม่โกง ขณะนั้นถ้าสติเกิดจะรู้เลย ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง สติก็จะเกิดระลึกรู้สภาพที่เป็นกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ นามธรรมหรือรูปธรรม ยังไม่ต้องไปถึงกุศลจิต เพราะเหตุว่าสำหรับพระโสดาบันบุคคล ให้ทราบว่าดับสักกายทิฏฐิ ดับความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม สิ่งซึ่งผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล จะต้องรู้ก็คือว่าลักษณะนั้น เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมเท่านั้น ยังไม่ต้องไปสังสัยว่านี่กุศลจิต หรือ นั่นอกุศลจิต แต่แยกลักษณะที่เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้จริงๆ ออกจากรูป เพราะเหตุว่าเวลานี้ มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม ก็ขอพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เอาสีออกให้หมด เอาเสียงออกให้หมด เอากลิ่น เอารส เอาอ่อน เอาแข็งออกให้หมด สิ่งที่เหลือยังมี นั่นคือลักษณะของนามธรรมล้วนๆ ไม่มีรูปธรรม ใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องเลย แล้วก็เป็นสภาพรู้ เพราะว่าต้องเกิด ที่จะไม่ให้สภาพรู้เกิดไม่มีเลย ไม่มีใครสามารถจะไปยับยั้ง ธาตุรู้ สภาพรู้ไม่ให้เกิดได้ เพราะเหตุว่า มีปัจจัยทุกขณะที่จะเกิด จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วก็จุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่มีปัจจัยที่จะให้นามธรรม หรือจิตเจตสิกเกิดต่อไปได้ เพราะฉะนั้น ต่อให้เอารูปออกให้หมด เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ออกให้หมด ก็ยังเหลือสิ่งที่เป็นนามธรรม คือสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปธรรมใดๆ มาเกี่ยวข้องเลย เพราะฉะนั้น การที่จะพิจารณาลักษณะของสภาพรู้ ทั้งๆ ที่มีอยู่ แล้วก็กำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง คิดนึกบ้าง ก็แสดงให้เห็นว่า จะต้องรู้จริงๆ ว่าลักษณะอาการรู้หรือธาตุรู้ ไม่เกี่ยวข้องกับรูป ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย ยังไม่ต้องไปถึงกุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือ วิรตีหรืออะไรเลย แต่ทั้งนี้แล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏกับสติ โดยมาก มักจะมีตัวตนที่ช่างจัดการแล้วก็ช่างบงการ จะเอาตอนนี้ จะเอาตอนนั้น จะเอารูปนี้ จะเอารูปนั้น แต่ให้ทราบว่า ถ้าเป็นสัมมาสติแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย ระลึกทันทีตรงลักษณะที่เป็นปรมัตถอย่างฉลาดแล้วเก่งด้วย ถ้าอบรมเจริญขึ้น ไม่ต้องห่วงว่าสิ่งนี้สติจะระลึกไม่ได้ หรืออยากจะให้สติไประลึกสิ่งนั้น นั่นคือความเป็นตัวตน ด้วยความอยาก แต่ถ้าเป็นสัมมาสติที่เกิดเพราะการอบรมแล้ว จะระลึกตามปกติ แล้วก็ระลึกสิ่งซึ่งคนนั้นไม่เคยหวัง หรือไม่เคยคิดที่จะระลึก แต่สติก็ระลึกได้ในเมื่อขณะนั้นเป็นสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นปรากฏ

    ผู้ฟัง ทำทานอย่างไรถึงจะมีญาณสัมปยุต หรือวิปปยุต หรือคุยกันเรื่องมรรคมีองค์ ๘ แท้ที่จริงแล้วคือชีวิตประจำวันของเรา สติสัมปชัญญะ หรือว่าสติปัฏฐาน เกิดหรือยัง ระลึกหรือยัง แล้วก็เราจะไปมุ่งหวังที่จะทำให้ ญาณสัมปยุต หรือวิปปยุต หรือว่ามรรคมีองค์ ๘ ก็เป็นเรื่องที่เราศึกษาได้ แต่ว่าในชีวิตประจำวัน เราควรจะศึกษาหรือทำความเข้าใจ ในเรื่องนี้ให้มาก ตามที่ผมเข้าใจอย่างนี้ ไม่ทราบว่า ผิดหรือถูก

    ท่านอาจารย์ ความสงสัยของแต่ละคน คงจะไม่เหมือนกัน แล้วการศึกษาการฟังธรรมก็ มีมาก ก็อาจจะมีบางจุด บางข้อ ซึ่งคนที่เป็นหมอบ้าง คนที่เป็นอาชีพอื่น ก็อาจจะมีความสงสัยต่างๆ ว่าจะเกี่ยวข้องหรือว่าทางธรรมจะแสดงไว้ว่าอย่างไร ก็แล้วแต่ว่าเข้าสามารถที่จะหายความข้องใจ หรือว่าสามารถจะเห็นความต่างกัน ลิบ ระหว่างพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับเพียงวิชาการทางแพทย์ ซึ่งผู้ที่สอน ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตรัสรู้จริงๆ โดยละเอียด ไม่ใช่โดยทฤษฎีซึ่งเรียนมา แล้วก็เข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไม่ทราบคุณวีระมีความสงสัย อะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ผมขออนุญาต ท่านอาจารย์ได้กล่าวแล้วในช่วงต้น คือ ถ้ามีสภาพเสียงเกิดขึ้นก็ตาม แล้วต่อไปก็มี สภาพเห็นเกิดขึ้นก็ตาม จากการที่ได้ฟังเทปในรถ ขณะเดินทางมานี่ อาจารย์ได้กล่าวไว้ในเทปว่า มีช่องว่างระหว่างได้เห็น เดี๋ยวก็ได้ยิน ขณะนั้นท่านพันเอกพินิจ เห็นว่ามันไม่มี ช่องว่างนั้น ยังมีอะไรที่มีอยู่ในนั้นอยู่ ความนึกคิด

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วหมายความถึงภวังค์ เพราะเหตุว่าอารมณ์ไม่ปรากฏ ต้องมีภวังค์คั่น ระหว่างขณะที่เห็นกับขณะที่ได้ยิน เพราะเหตุว่าอารมณ์คนละอย่าง อารมณ์ทางตาปรากฏเป็นสีสันวัณณะ อารมณ์ทางหู เสียง เพราะฉะนั้น ๒ อารมณ์ ความต่างกัน ที่จิตจะเกิดขึ้น กำลังเห็นอยู่ จะให้ไปได้ยินไม่ได้ เพราะฉะนั้น ระหว่างเห็นกับได้ยิน มีภวังคจิต เกิดคั่นซึ่งอารมณ์ ขณะนั้น ไม่ปรากฏ เหมือนกับมีช่องว่าง แต่ความจริงที่ว่าไม่ว่าง เพราะเหตุว่า เป็นจิตซึ่งเกิดขึ้น ทำภวังคกิจ แต่อารมณ์ของภวังค์ไม่ได้ปรากฏ

    ผู้ฟัง ความนึกคิดที่ผมฟัง

    ท่านอาจารย์ คิดนี้ ต้องทางมโนทวาร ยังต้องห่างกันอีก โดยที่ต้องมีช่องว่าง คือ ภวังคจิตคั่นอยู่ตลอด แต่ละวาระ ทางตา สีที่ปรากฏ ที่เราคิดว่าปรากฏ ติดต่อกันไม่เคยดับไปเลย แท้ที่จริงมีภวังค์คั่นแม้ว่า เสียงยังไม่ปรากฏ นี้แสดงถึงความรวดเร็วของจิต

    ผู้ฟัง ดูเหมือนเป็นเรื่องเป็นราว

    ท่านอาจารย์ มิได้ เป็นความจริง ซึ่งพระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ แล้วผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้ง สาวกองค์แรกคือ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ไม่ใช่ว่าพระองค์ตรัสรู้องค์เดียว บุคคลอื่นก็สามารถจะประจักษ์แจ้งความจริงได้ โดยที่ว่าต้องฟังธรรมอย่างละเอียด ว่าเห็น ไม่ใช่ได้ยิน เป็นจิตคนละขณะ อาศัยเหตุปัจจัยคนละอย่าง เพราะเหตุว่าเห็น ต้องอาศัยจักขุปสาท ที่กลางตา ได้ยินต้องอาศัย โสตปสาทกลางหู ระหว่างตากับหู ไกลกันเหมือนไฟคนละกอง แล้วก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ นับไม่ถ้วน ระหว่างตากับหู เพราะฉะนั้น เวลาที่มีปัจจัยคือ สีกระทบกับจักขุปสาท ทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น แล้วดับ วิถีจิตที่เป็นจักขุทวารวิถี หลายวิถี เป็นวาระ ๑, ๑๗ ขณะที่รูปเกิดขึ้นดับแล้วดับไป นี่ก็แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงสามารถที่จะประจักษ์ว่า แม้แต่ว่าขณะที่เราคิดว่าเราเห็นตลอด ความจริงวาระของการเห็น สั้นมาก และทั้งๆ ที่สั้นอย่างนั้น มีจิตกี่ประเภทที่เป็นวิถีจิตเกิดขึ้นทำกิจของจิตแต่ละขณะ แล้วก็มีภวังคจิตคั่น แล้วถ้าเสียงยังไม่ปรากฏ มีการเห็นสืบต่อ ก็มีการเห็นวาระต่อไป เกิดซ้ำไปซ้ำมา แต่ว่าต้องมีภวังคจิตเกิดคั่น นี่คือ สภาพธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน อนิจจัง คือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ถ้าไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์ ไม่ทรงแสดง ไม่ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าการเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือไม่ใช่พระอรหันต์สาวก สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า แม้ว่าจะไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เหลือแล้ว อันตธานไปหมดแล้ว แต่การอบรมเจริญปัญญาซึ่งได้อบรม ไว้แล้วจากการฟัง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก่อนๆ ก็ทำให้ผู้นั้นสามารถที่จะมีปัญญา ตรัสรู้อริยสัจธรรม คือความจริงอันนี้ ด้วยตนเองเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าไม่ได้พร้อมด้วย ทศพลญาณ อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญพระบารมีมากกว่า แล้วก็พระคุณหนึ่ง คือ สัตตูปการสัมปทา การถึงพร้อมด้วยการอุปการะแก่สัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงธรรม

    เพราะฉะนั้น เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าจิตเกิดดับ มีใครรู้บ้างว่าจิตเกิดดับ หรือว่าจะมีใครรู้ลักษณะของจิตบ้าง รู้อย่างคร่าวๆ ว่ามีจิต แต่ว่าจิตอยู่ที่ไหน ก็บอกใครก็ไม่ได้สักคนหนึ่ง แต่คำของพระผู้มีพระภาค ที่ตรัสแล้ว จากการประจักษ์แจ้ง จากการทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น แม้แต่คำเดียวก็ทรงแสดงชัดเจน ว่าลักษณะของสภาพธรรมนั้น ที่ทรงใช้คำนั้น เรียกสภาพธรรม นั้น สภาพธรรม นั้นๆ มีลักษณะอย่างไร อย่างจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้อารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏให้รู้ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ด้วย แล้วก็จิตที่เกิดขึ้น จะเกิดโดยลำพังไม่ได้ ต้องมีสภาพธรรม อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกันปรุงแต่งกัน เป็นปัจจัย อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น สภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง คือเจตสิก ก็ได้ทรงแสดงพระธรรม เพราเหตุว่า รู้ว่ามีสัตว์โลกที่ได้อบรมบารมีมาพร้อมที่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็สามารถที่จะตรัสรู้ ความจริงนี้ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ตลอดที่ยังไม่ดับขันธ์ ปรินิพพาน เพราะพุทธกิจ จะเห็นได้ว่ามากมายมหาศาล ที่ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก

    เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้มาฟังธรรม เราถึงได้ค่อยๆ เกิดความรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร แล้วทรงแสดงเรื่องอะไร ที่เป็นสัจธรรม แล้วสัจธรรมเป็นความจริงพิสูจน์ได้ ขอให้ทน ต่อการที่จะศึกษา แล้วก็อบรมปัญญา แล้วก็สามารถประจักษ์สภาพธรรม ที่เป็นอริยสัจธรรมได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่ประจักษ์ มี มากมามหาศาล ในครั้งที่ทรงแสดงธรรม ตั้งแต่ได้ตรัสรู้จนกระทั่ง ใกล้ที่จะปรินิพพาน เพียงแค่ว่า จิตคืออะไรเกิดดับ นี่ก็ทำให้เรา พอที่เราจะเห็นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างที่ เกิดขึ้น ดับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เกิดตอนนี้ แล้วก็ไปดับตอนตาย หรือว่าตอนที่ไม่ป่วยไข้ ก็เกิดป่วยไข้ขึ้น หรือป่วยไข้แล้วหาย ก็คืออนิจจัง นั้นไม่ใช่เลย ถ้าเป็นอริยสัจธรรม แล้วต้องหมายความถึงการเกิดขึ้น และดับไปทันที อย่างรวดเร็วเหลือเกิน

    ผู้ฟัง ผมจะขออนุญาตเสริมคำถาม การที่มีช่องว่าง ท่านอาจารย์ได้กรุณากล่าวถึง ภวังคจิตซึ่งดับไปรวดเร็วเหลือเกิน ที่ไม่มีโอกาสที่จะทราบได้ ทีนี้จะเกี่ยวเนื่องกับว่า จะเป็นปัญจทวารปิดบังมโนทวาร มโนทวารปิดบังปัญจทวาร เรายังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่าในระหว่างที่เห็น ก็ตาม แล้วก็ได้ยินก็ตาม ขณะนั้นต้องมีโอกาสที่ ทวารอื่นจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะทางมโนทวาร เพราะฉะนั้น ท่านผู้ถาม ก็ใคร่จะเรียนถามว่าในขณะนั้น โอกาสที่มโนทวารจะนึกคิดไปกับสิ่งที่เห็น ย่อมมีได้แน่นอนอยู่แล้ว อันนั้นใช่ไหม ที่ทำให้ท่าน มองไม่เห็น ว่าช่องว่างที่ว่ามีภวังคจิต อะไรมันมีอยู่นั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ภวังคจิตอย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะจิตอย่างไรก็ยังไม่ทราบแล้ว ไม่ต้องภวังคจิตอย่างไรก็ไม่ทราบ แม้แต่จิตซึ่งเป็นนามธรรมขณะนี้อย่างไร ก็ยังไม่ทราบ ทราบเรื่องราวเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็น โดยขั้นปริยัติ ไม่ว่าจะเป็นจิตที่รู้อารมณ์ทางตา คือจักขุทวารวิถีจิต วาระหนึ่งดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ มโนทวารต้องรู้สิ่งเดียวกันกับ ทางจักขุทวารวิถี ซึ่งเพิ่งดับ ถ้าเป็นทางหู โสตทวารได้ยินเสียงที่ยังไม่ดับ พอเสียงดับแล้ว ภวังคจิตคั่นแล้ว มโนทวารวิถีต้องรู้เสียงนั้นต่อทันที เพราะฉะนั้น การรู้อารมณ์ ครั้งหนึ่งๆ ผ่านจากทางปัญจทวารไปสู่ทาง มโนทวาร ทุกครั้ง หมายความว่าต้องคู่กันทุกครั้ง แต่ทางฝ่ายมโนทวาร เราอาจจะนึกคิดขึ้นมาเอง โดยไม่เห็น โดยไม่ได้ยิน ทุกคนเกิดความคิดขึ้นได้ ขณะนั้น มโนทวารไม่ต้องมีปัญจทวารเกิดก่อน แต่ให้ทราบว่า ครั้งใด คราใดก็ตาม ที่ทางทวารหนึ่งทวารใด ในปัญจทวาร เกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่ง อารมณ์ใด ใน ๕ ทวาร มโนทวารวิถีจิตต้องเกิด รู้อารมณ์นั้นต่อทันทีทุกครั้ง มีข้อความนี้กล่าวยืนยันไว้

    นอกจากตอนที่จะตาย ตอนที่จะตาย หลังปัญจทวารวิถี คือหลังจักขุทวารวิถีดับ จุติจิตเกิดก็ได้ หรือมีภวังค์คั่นก่อนก็ได้ หรือมี ตทาลัมพนจิตก่อนก็ได้ แต่ทีนี้ความละเอียด ยังไม่ต้องพูดถึงโดยละเอียด เอาเพียงแค่ว่าเมื่อเห็นทางจักขุทวารวิถีดับแล้ว มโนทวารไม่ทันจะเกิดต่อ จุติจิตก็เกิดได้ หรือว่ามโนทวารจะเกิดต่อ แล้วจุติจิตก็เกิดได้ แต่ให้ทราบว่าที่ ปฏิสนธิจิต มีอารมณ์เดียวกับจุติจิต โดยที่ว่า เมื่อปัญจทวารทางตา เห็นแล้วก็ตาย ทุกคนอาจจะสงสัยว่า เป็นไปได้หรือเห็นแล้วก็ตาย ขณะนี้ก็กำลังเห็น ตายได้ไหม ตายได้ เพราะฉะนั้น เห็นแล้วตายก็ได้ แล้วปฏิสนธิจิตก็รับอารมณ์นั้นต่อ ทันที แสดงให้เห็นว่า ปฏิสนธิจิต มีอารมณ์เดียงกับใกล้จุติจิต แทน มโนทวารวิถี ซึ่งไม่ได้เกิด อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ ปลีกย่อยออกไป ก็ยังไม่ต้องจำก็ได้ ตอนนี้จะต้องเรียกว่า จำ ยังไม่ต้องจำก็ได้ แต่ให้เข้าใจว่า ตามปกติแล้ว ปัญจทวารวิถีวาระหนึ่ง วาระใดใน ๕ ทางดับไปแล้ว ภวังค์เกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตต้องเกิดต่อทุกครั้ง ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่

    ผู้ฟัง ขอเล่าถึงเรื่องว่า คนตาบอด ผู้ที่เขาเสียตา ในขณะนั้นเขามีจักขุปสาทอยู่ แต่พอตาเขาบอด ขณะนั้นเขามีจักขุปสาท หรือไม่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 99
    23 มี.ค. 2567