แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 8


นี่เป็นเรื่องธรรมทั้งหมด ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าอกุศลมีมากแค่ไหน และจะเห็นโทษภัยของอกุศล เริ่มคิดที่จะขัดเกลากิเลส นี่คือคุณประโยชน์ของพระธรรม แต่ถ้าไม่มีการพูดเรื่องธรรมเหล่านี้เลย ไม่ให้เกิดปัญญาจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรทำกิจของปัญญาได้ โลภะก็ต้องทำกิจของโลภะ มานะก็ต้องทำกิจของมานะ โทสะก็ต้องทำหน้าที่ของโทสะ

เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ต่อเมื่อไรปัญญาเกิดเมื่อนั้น ซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่าง ที่ทำให้เห็นสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง และจะรู้พระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงพระมหากรุณา แสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา สำหรับพวกเราสมัยนี้

ถ้าเป็นท่านพระสารีบุตร เพียงฟังท่านพระอัสสชิแสดงธรรม ปัญญาที่ท่านสะสมมาแล้วมาก ก็ทำให้ท่านรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันได้ แต่คนในสมัยนี้อ่านอนัตตลักขณสูตร ซึ่งเป็นสูตรที่ท่านปัญจวัคคีย์ได้ฟังแล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕ รูป อ่านไปกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม เพราะเหตุว่าสะสมปัญญาไม่พอที่จะละคลายและดับกิเลสตามลำดับ ไม่ใช่จากปุถุชนข้ามไปเป็นพระอรหันต์ทันที

พระโสดาบันคฤหัสถ์มีชีวิตประจำวันอย่างคฤหัสถ์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็นพ่อค้า วิสาขามิคารมาตามีธุระกิจการงาน มีลูกหลานมาก พระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันอย่างท่านวิสาขามิคารมาตายังมีโลภะ โทสะ แต่ไม่มีความเห็นผิด ไม่เข้าใจผิดในสภาพธรรม เพราะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจากการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์แต่เป็นอริยคฤหัสถ์ ไม่ใช่ว่าทุกคนมีปัญญาอยู่แล้ว แต่ปัญญาจะเกิดมีขึ้นได้โดยอาศัยการฟังพระธรรม แล้วพิจารณาไตร่ตรอง สนทนาธรรมเพื่อเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้น เมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นปัญญาก็จะเจริญขึ้น

ที่พูดว่าใช้สติใช้ปัญญานั้นไม่ถูกต้อง เพราะสติและปัญญาเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้สติและปัญญาเกิด สติและปัญญาก็เกิดไม่ได้ เมื่ออบรมให้สติปัญญาเกิดขึ้น สติปัญญาจึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครไปใช้สติปัญญาได้ เมื่อไม่ได้อบรมให้สติปัญญาเกิด ก็ไม่มีสติปัญญา แล้วจะไปใช้สติปัญญาได้อย่างไร แต่เมื่ออบรมเจริญเหตุให้เกิดปัญญา ปัญญาก็เกิดได้แม้ในขณะนี้

ถ. เมื่อกี้อาจารย์พูดถึงเรื่องปัญญา ปัญญามีลักษณะอย่างไร กรุณาให้คำจำกัด ความสำหรับปัญญาด้วย อะไรเป็นเหตุให้ปัญญาเกิดได้ แล้วปัญญาเกิดได้เร็วเหมือนดอกไม้บานไหม

สุ. ไม่เหมือนเลย

ถ. เราจะทำเหตุอย่างไร สติจึงจะเจริญ

สุ. เรื่องจะทำเหตุหรือทำวิธีการต่างๆ เพื่อให้ปัญญาเกิดนั้น ไม่ถูกต้อง แทนที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใด ควรพิจารณาให้เข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน อย่างที่ถามว่าปัญญามีลักษณะอย่างไร ปัญญานี้มีจริงแน่นอน และใช้คำนี้กันบ่อยๆ แต่เวลาพูดถึงปัญญานั้นยังกับเข้าใจแล้วว่าปัญญาคืออะไร แต่ความจริงยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจจริงๆ เลย

ภาษาไทยเราใช้คำภาษาบาลีตามใจชอบ ต่อเมื่อได้ศึกษาพระพุทธศาสนาจึงจะรู้ว่าสภาพธรรมที่เป็นปัญญานั้น คือสภาพที่รู้และเข้าใจธรรมทั้งหลายถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงของลักษณะสภาพธรรมนั้นๆ เช่นปัญญารู้ว่าไม่ว่าจะมีสภาพธรรมมากสักเท่าไรก็ตาม ทั้งในโลกนอกโลก

ก็เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือสภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้ ๑ ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปะหรือรูป เป็นสภาพที่รู้อะไรไม่ได้เลย เช่น สิ่งที่แข็งไม่ว่าจะถูกกระทบสัมผัสอย่างไร ลักษณะที่แข็งนั้นก็ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกกระทบ รส กลิ่นเป็นต้นนั้นก็เป็นรูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้

ส่วนสภาพธรรมอีกอย่าง ๑ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เช่นขณะที่กระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็รู้ลักษณะแข็งที่ปรากฏเมื่อกระทบ อาการรู้ลักษณะที่แข็งนั้น เป็นสภาพรู้ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า นามธรรม หรือ นาม ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายที่มีจริงนั้น จึงต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ นามธรรม ๑ รูปธรรม ๑ ไม่ยากเกินไปที่จะค่อยๆ ฟัง ศึกษา พิจารณาให้เข้าใจขึ้น

เพราะสภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงและพิสูจน์ได้ทันที ไม่ต้องรอหรือไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เมื่อเข้าใจแล้วว่ารูปธรรมเป็นสภาพที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรเลย นามธรรมก็มีจริงและเป็นสภาพรู้ ก็พิจารณารู้ได้ด้วยตัวเองว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม เสียง กลิ่น รส แข็ง เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นรูปธรรม ง่วง เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ง่วง เป็นนามธรรม รูปธรรมไม่ง่วง ไม่อิ่ม ไม่หิว ไม่เจ็บ ไม่ปวด สภาพที่จำ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เป็นนามธรรม

สิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เป็นรูปธรรม สภาพอื่นนอกจากนั้นทั้งหมดเป็นนามธรรม เช่น ความรู้สึกเป็นสุข เป็นนามธรรม ความรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นนามธรรม ความจำก็เป็นนามธรรมที่ต่างจากความรู้สึก ความรู้สึกจำอะไรไม่ได้เลยเป็นแต่รู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เท่านั้น ความจำก็จำเท่านั้น เห็นอะไรก็จำ ได้ยินอะไรก็จำ ได้กลิ่นอะไรก็จำ มีหน้าที่จำอย่างเดียวเท่านั้น

สภาพธรรมซึ่งเป็นสภาพจำนั้นภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดร่วมกับจิต มีลักษณะและมีกิจหน้าที่เฉพาะตนๆ ต่างๆ กันไปแต่ละประเภท สภาพนั้นเป็นเจตสิกไม่ใช่จิต ฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง ที่เข้าใจและรู้ความจริงของสภาพธรรมต่างๆ ได้ถูกต้อง

จิตได้ยินรู้เสียง แต่ปัญญารู้ว่าได้ยินเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้เสียง การรู้สภาพธรรมแต่ละอย่างถูกต้องเป็นปัญญา แต่ปัญญาขั้นฟังและขั้นพิจารณาเข้าใจสภาพธรรมนั้น เป็นปัญญาที่อ่อนมาก ยังดับกิเลสไม่ได้ เพราะเป็นปัญญาขั้นละความไม่รู้ละความสงสัย จากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเท่านั้นเอง

สภาพธรรมแต่ละอย่างมีหลายระดับขั้น ปัญญาก็มีตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นพิจารณาไตร่ตรอง และ ขั้นคมกล้า ประจักษ์ชัด ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้จริงๆ อย่างเวลาที่ฟังและเข้าใจว่า รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ ก็พิจารณารู้ว่า สิ่งที่ยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเราก่อนฟังพระธรรมนั้น เมื่อฟังพระธรรมก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริงๆ

และธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรานั้นได้แก่อะไรบ้าง ทั้งนามธรรมและรูปธรรมตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แขนเรา ขาเรา เท้าเรา มือเรา หูเรา ตาเรา จมูกเรา ปากเรา ยึดถือรูปที่เกิดขึ้นว่าเป็นของเรา รูปนี้จะเกิดมาได้อย่างไร ก็ไม่สนใจ ไม่คิด ไม่พิจารณา เมื่อเกิดขึ้นมีแล้วก็ยึดถือว่าเป็นของเราเลย

นี่คือการรวบรัดยึดถือโดยความไม่รู้ไม่คิดไม่พิจารณาไตร่ตรองว่า รูปเกิด ขึ้นได้อย่างไร ทำไมวันนี้รูปแข็งแรง รุ่งขึ้นหรือหลายปีต่อมาเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่ารูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านั้น รูปบางกลุ่มเกิดจากกรรม รูปบางกลุ่มเกิดจากจิต รูปบางกลุ่มเกิดจากอุตุ คือความเย็นหรือความร้อน รูปบางกลุ่มเกิดจากอาหาร

ฉะนั้น รูปจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เพราะรูปเกิดจากสมุฏฐานคือ กรรมบ้าง จิตบ้าง อุตุบ้าง อาหารบ้าง แล้วก็ดับไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ยังไม่ตาย และก็จะถึงวันตายซึ่งกรรมหยุดไม่เป็นปัจจัยให้รูปนี้เกิดอีกต่อไป จิตก็ดับไม่ทำให้รูปนี้เกิดอีกต่อไป อาหารไม่มีการบริโภคอีกต่อไป ฉะนั้น จึงยังเหลืออยู่แต่ซากศพเท่านั้นเอง

ฟังพระธรรมและพิจารณาให้รู้ความจริงว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเราหรือของเราจริงๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้นชั่วขณะจิต แล้วก็ดับหมด เหมือนกับไฟที่ดับไป ไฟที่ดับไปแล้วนั้น ใครจะไปตามหาว่าไฟที่ดับไปแล้วนั้นอยู่ที่ไหน ก็หาไม่ได้ฉันใด สภาพของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยก็ดับหมดไปอย่างรวดเร็วฉันนั้น แต่เมื่อไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา เมื่อมีเราเป็นตัวตนแล้ว ก็ทำทุกอย่างเพื่อตัวตน เพราะคิดว่าเป็นตัวตนของเรา

ที่โลกยังวุ่นวาย เป็นทุกข์ ก็เพราะอกุศล เพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้นเกิดจากการฟัง การพิจารณา การระลึก รู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเป็นการปฏิบัติอบรมเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นเป็นลำดับ ไม่ใช่เราทำ

ถ. การฟัง ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่จะให้ปัญญาเกิด ทีนี้ในการฟังคงมีอีกหลายอย่างเหมือนกัน ผมอยากจะยกตัวอย่าง อาจารย์พูดไปเราก็ฟังเสียงไป เข้าใจในความหมายของเสียงที่อาจารย์พูด แต่เราระลึกรู้อย่างเดียวว่านั่นคือเสียงอันไหนฟังแล้วจะเกิดปัญญาได้ดีกว่ากัน

สุ. ถ้าทราบว่า กว่าจะละคลายความสงสัย ความไม่รู้สภาพธรรมจนกระทั่งดับกิเลสได้นั้น ต้องอบรมเจริญปัญญานานมากกว่าจะบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบัน ฉะนั้นก็ไม่ต้องห่วงกังวลอะไรทั้งสิ้น

การปฏิบัตินั้น คืออบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมพร้อมด้วยสติ ขณะนี้กำลังพูดเรื่องการเห็น แต่สติยังไม่ได้ระลึกที่เห็น กำลังพูดเรื่องการได้ยิน แต่สติก็ยังไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยิน อาจจะระลึกรู้ที่เสียงบ้าง ที่แข็งบ้าง แต่ยังไม่ทั่ว

ฉะนั้นการฟังจะเกื้อกูลให้เข้าใจถูกต้องว่า สติจะเริ่มระลึกรู้สภาพธรรมเมื่อ เข้าใจสภาพธรรมมากขึ้น อย่างทางตา บางคนบอกว่าฟังธรรมมาหลายปีหรือหลายสิบปีแต่ยังไม่ได้ระลึกทางตา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเข้าใจในเรื่องสภาพธรรมทางตายังไม่มั่นคงพอที่จะทำให้สติระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเหมือนเงาในกระจก แล้วก็นึกคิดว่าเป็นคนเป็นสัตว์

ฉะนั้น จึงต้องฟังเรื่องสภาพธรรมทั่วๆ ไปทั้ง ๖ ทวารมากขึ้น เพราะเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้สติระลึกได้ เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ดีแล้วก็จะไม่มีการทำอะไรขึ้น แต่จะอบรมปัญญาระลึกรู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วในขณะนี้

ไม่มีใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้เลย ไม่มีใครทำได้ยินให้เกิดขึ้นได้เลย เมื่อมีปัจจัยให้เกิดเห็น สภาพเห็นก็เกิดขึ้น ไม่มีใครทำให้โกรธเกิดขึ้น โกรธเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยให้ความโกรธเกิด ไม่มีใครทำให้เกิดความติดข้องพอใจ เมื่อมีปัจจัยให้เกิดความติดข้องพอใจ ความพอใจติดข้องก็เกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วตามปกติ ไม่ต้องมีการทำอะไรอีก แต่อบรมเจริญปัญญาให้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง

นี่คือการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งพร้อมด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติและมรรคองค์อื่นๆ ซึ่งเป็นเจตสิกแต่ละประเภทปฏิบัติกิจของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เรา แล้วรู้ตามความเป็นจริงด้วยว่า ไม่ใช่เราทำ ปัญญาที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เราทำให้เกิด แต่เมื่อฟังพิจารณามากขึ้น สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ปัญญาก็เจริญขึ้นเป็นลำดับตามเหตุปัจจัย ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่ทำ

ผลหรือความสำเร็จทั้งหลายนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อมีจุดประสงค์ ถ้าไม่มีจุดประสงค์หรือจุดประสงค์ผิด ผลก็ต้องผิดหรือคลาดเคลื่อน ผู้ที่ศึกษาพระ อภิธรรมหรือฟังธรรม ก็ต้องมีจุดประสงค์ที่ถูกต้อง ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ตั้งจิตไว้ชอบ ซึ่งถ้าจะเหมือนวิชาการอื่น คือ เพื่อการสอบได้ประกาศนียบัตร ก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ถูกต้อง หรือจะศึกษาเพื่อเก่งกว่าคนอื่นที่ไม่ได้ศึกษา ก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ถูกต้องอีกเหมือนกัน

เพราะจุดประสงค์ที่ถูกต้องของการฟังพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในพระไตรปิฏกนั้น ก็เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อยศ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อสักการะ หรือไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใดเลย

เห็นขณะนี้ไม่ใช่เห็นเมื่อกี้นี้ ได้ยินขณะนี้ไม่ใช่ได้ยินเมื่อกี้นี้ คิดนึกแต่ละขณะในขณะนี้ก็ไม่ใช่เมื่อกี้นี้ แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมทุกขณะเกิดดับอย่างรวดเร็ว เป็นชีวิตจริงๆ ฉะนั้น การที่จะเร่งรัดปฏิบัติให้ประจักษ์การเกิดดับของนามรูป ให้เป็นพระโสดาบันโดยเร็วนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตาม

ความเป็นจริง ขั้นเพียงฟังให้เข้าใจเสียก่อน ก็ยังจะต้องมี ถ้าขั้นเพียงฟังให้เข้าใจไม่มี การปฏิบัติอะไรก็เป็นไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ และสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นความจริงทุกขณะ จริงยิ่งกว่าอื่น เพราะเหตุว่ากำลังมีแล้วในขณะนี้ เห็น ได้ยิน ขณะนี้ เป็นจริงเกิดขึ้นแล้วจริงๆ เป็นอนัตตาจริงๆ หมดไปแล้วจริงๆ คือพูดถึงสภาพธรรมตามความเป็นจริงให้รู้ชัดตามความเป็นจริงแท้ๆ ของลักษณะนั้น

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม เพื่ออนุเคราะห์ให้สาวกอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ถูกต้อง และตรวจสอบตัวเองได้ว่า พระธรรมแสดงว่าเห็นเป็นสภาพธรรม เป็นอนัตตา เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นสภาพรู้ เข้าใจจริงๆ อย่างนี้แล้วหรือยัง ไม่ต้องให้คนอื่นบอกเลย ตัวเองเท่านั้นที่รู้ได้ว่าขณะนี้ หลงลืมสติหรือสติเกิด ปัญญาขณะนี้รู้ตรงตามที่ได้ฟัง หรือยังจะต้องฟังต่อไปอีกจนกว่าจะรู้จริงๆ อย่างนี้ได้

ส่วนนิพพานนั้นก็ยังอีกไกล ถ้ายังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็ไม่มีทางถึงนิพพาน เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เราถึงนิพพาน แต่เป็นปัญญาที่เจริญจนกระทั่งถึงขั้นที่แทงตลอดการเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ แล้วละคลายความติดข้องที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา จนกระทั่งดับความยึดถือว่าสภาพธรรมเป็นเราได้จริงๆ ด้วยการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ฉะนั้นก่อนจะไปถึงขั้นนั้นก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่ขั้นนี้

วันก่อนไปสนทนาธรรมที่สำนักแห่งหนึ่ง ท่านขอให้พูดถึงขั้นเริ่มต้นของการปฏิบัติ ดิฉันก็ได้เรียนให้ทราบว่า ขั้นเริ่มต้นของการปฏิบัตินั้นคือฟังให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจก่อน แล้วสติและปัญญาจึงจะอบรมให้เจริญขึ้นจนสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ ฉะนั้น

ขั้นฟังก็ต้องพิจารณาว่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า สภาพธรรมในขณะนี้กำลังเกิดดับนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เป็นความจริงเพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ คือประจักษ์แจ้ง แล้วทรงแสดงธรรมตามที่ทรงประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพียงอนุมาน แบบนักจิตวิทยาหรือนักปรัชญา แต่เป็นปัญญาขั้นโลกุตตระ ที่สามารถแทงตลอดการเกิดดับในขณะนี้ได้ ปัญญาเริ่มตั้งแต่พิจารณารู้ว่า จิตที่เห็นไม่ใช่จิตที่ได้ยิน จิตขณะหนึ่งต้องดับเสียก่อนแล้วจิตอีกขณะหนึ่งจึงจะเกิดขึ้นได้ นี่คือความรู้ความเข้าใจขั้นฟัง

แต่ก็จะต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ อีกมากทีเดียว ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จะกระโดดทีเดียวให้เป็นผู้ชนะเลิศในทางกระโดดสูงก็ไม่ได้ จะต้องค่อยๆ ฝึกไปอบรมไป


หมายเลข  5360
ปรับปรุง  1 พ.ค. 2565