แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 10


ตอบปัญหาต่อจากครั้งที่ ๙

ถ. ดิฉันก็เคยได้ยินอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่ไม่สนใจพระไตรปิฏกเลย เพราะคิดว่ายากเกินกว่าที่สติปัญญาจะไปถึง เพราะฉะนั้น ดิฉันก็ชอบไปฟังแต่ที่โน่นที่นี่ หรือหนังสืออะไรดีที่ถูกจริตนิสสัย ก็จะเอามาอ่าน โดยส่วนตัว แล้วไม่เคยอ่านพระไตรปิฏก แต่เคยได้ยินเป็นลักษณะนิทาน ที่บอกว่าในครั้งพุทธกาล บางคนบรรลุธรรมโดยไม่เคยได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่เคยฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่อาจจะโดยบังเอิญพบอะไรทำให้ปัญญาเกิด แล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่บ่อยๆ ไม่ทราบว่าอันนี้เป็นนิทานที่ถูกหรือเปล่า ดิฉันจะเป็นคนที่ไม่ชอบจำรายละเอียด คือฟังแล้วเกิดความเข้าใจแล้ว ก็ทิ้งเอาไว้ตรงนั้น แต่จะรู้ว่าเป็นลักษณะแบบนั้นแบบนี้ แล้วจะไม่จำ จำแต่เนื้อเรื่องคร่าวๆ แต่เคยได้ฟังบ่อยๆ ว่าบรรลุโดยไม่เคยฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเลย ไม่เคยไปนั่งปฏิบัติธรรม หรือไม่เคยอ่านพระไตรปิฏก

สุ. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เลิศสูงสุดหาบุคคลใดเปรียบไม่ได้ในทุกสถาน พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงพร้อมด้วยพระสัมมาสัมโพธิญาณและพระพลญาณอื่นๆ ในพระชาติที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรมด้วยพระองค์เอง แต่มิได้หมายความว่า ในชาติก่อนๆ ไม่เคยเป็นพหูสูต ไม่เคยฟังพระธรรม ไม่เคยพบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ

ในสมัยบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มา ๒๔ พระองค์ ในพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ในชาตินั้นจะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันกับพระองค์เลย

ฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ประเสริฐสุด และในสมัยที่พระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าลบเลือนเสื่อมสูญไปแล้วนั้น บุคคลใดที่ได้สะสมปัญญามาสมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงกาลก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมด้วยตนเอง เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะไม่ได้อบรมบารมีถึงขั้นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยการฟังจากผู้อื่นมี ๒ บุคคล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ และ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑

พระปัจเจกพุทธเจ้ามีมากมายหลายพระองค์ เพราะเหตุว่าแต่ละคนได้ฟังธรรมและได้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต เมื่อถึงกาลสมัยที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ไม่ถึงพร้อมด้วยพระทศพลญาณอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

นอกจากพระพุทธเจ้า ๒ ประเภท คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ผู้อื่นที่รู้แจ้งอริยสัจจเป็นพุทธสาวก เช่นท่านพระสารีบุตร และพระสาวกรูปอื่นๆ แม้ท่านพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกผู้เลิศทางปัญญา ก็ยังต้องฟังธรรมจึงรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมด้วยตนเองโดยไม่ฟังธรรมไม่ได้เลย

ถ. อันนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ดิฉันเพียงแต่คิดว่าปัจจุบันนี้ สมมติว่าจะไปเชียงใหม่ ก็คงจะไม่ใช่หนทางเดียวที่จะไปถึงเชียงใหม่ เราจะบินไปก็ได้ เดินก็ได้ ขึ้นรถไฟก็ได้ หรืออาจจะขึ้นรถทัวร์ หรืออาจจะขึ้นรถปิคอัพ หรืออะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นในความเห็นของดิฉัน ก็อยากจะเรียนอาจารย์ว่าดิฉันก็ยังไม่เชื่อว่าการฟังธรรมอย่างอาจารย์อธิบายนี้ จะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ มันน่าจะมีหลายๆ ทาง สำหรับคนหลายๆ ประเภทที่จะเดิน มิฉะนั้น พระพุทธเจ้าคงจะไม่ตรัสถึงจริต คือการฟังธรรมจะต้องเป็นไปตามจริต ดิฉันเคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้า พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก่อนจะไปรับบาตร หรือว่าออกไปไหนไม่ทราบ ท่านจะต้องตรวจดูก่อนด้วยพระญาณพิเศษของท่านว่า มีบุคคลใดบ้างที่ท่านสมควรจะไปโปรด ถึงเวลาที่บุคคลนั้นควรจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์

สุ. ก็แสดงว่าท่านผู้นั้นได้ฟังพระธรรม

ถ. วิธีการที่จะฟังคงจะไม่มีวิธีเดียว วิธีที่คนจะบรรลุคงไม่ผูกขาด น่าจะมีหลายๆ วิธี

สุ. คนที่จะไปเชียงใหม่ ก็ต้องรู้ว่าเชียงใหม่อยู่ที่ไหน ถ้าเราจะเปลี่ยนคำพูดแทนการฟังว่า ต้องถึงด้วยปัญญา จะยอมรับข้อนี้ไหม หรือไม่ใช่ปัญญาก็ถึงได้

ถ. ถ้าไม่ใช่ปัญญา สมมติว่าดิฉันจะเรียนถามว่า มีพระบางองค์นั่งสมาธิ และด้วยสมาธินี้ ซึ่งตัวดิฉันเองก็ยังไม่เคยได้ แต่จากที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ท่านทำสมาธิวิปัสสนาจนท่านได้รู้เห็นธรรม เมื่อปัญญาเกิด มันก็ใช่ปัญญา ปัญญาเกิด ก็คือได้รู้เห็นธรรม

สุ. คือเราต้องยอมรับเป็นข้อๆ ก่อนว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้นั้น ต้องรู้แจ้งด้วยปัญญา

ถ. อันนี้ใช่ แต่ดิฉันหมายความว่า ดิฉันไม่เชื่อว่าการเรียนจากอภิธรรมอย่างเดียวจะทำให้เกิดปัญญา แน่นอนคนเราต้องใช้ปัญญา ต้องกินอาหารจึงจะทำให้อิ่ม ทีนี้คนมีปัญญาไม่จำเป็นจะต้องมาจากการอ่านอภิธรรม

สุ. ดิฉันเข้าใจว่าที่พูดนี้ จะตามคำที่พูดว่า จะไปกรุงโรมนั้นไปได้หลายทาง แทนไปกรุงโรมก็ไปเชียงใหม่ ก็ไปได้หลายทางเหมือนกัน การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมต้องเป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปในขณะนี้ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ ปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่เกิดดับในขณะนี้ จึงเป็นปัญญาที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

สำหรับคนที่ปัญญาไม่เกิดกิเลสต้องเกิด เช่น พอเห็นแล้วก็ไม่รู้ เห็นแล้วก็ชอบ เห็นแล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือผู้ที่ปัญญาไม่เกิด ฉะนั้นผู้ที่จะดับกิเลสได้นั้น ปัญญาต้องเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น เมื่อรู้ว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ แต่ขั้นต้นนั้นปัญญายังประจักษ์การเกิดดับไม่ได้ ปัญญาจะต้องสมบรูณ์ขึ้นเป็นขั้นๆ จนถึงขั้นวิปัสสนาญาณที่เริ่มต้นจาก นามรูปปริจเฉทญาณ คือเป็นปัญญาที่ถึงความสมบรูณ์ ถึงขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะที่แยกขาดกันของนามธรรมและรูปธรรม โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน

ทางมโนทวาร ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าปัญญาไม่เกิดก็แยกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไม่ออก แยกเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ ขณะที่ได้ยินก็แยกได้ยินกับเสียงไม่ออก ถ้าสติไม่เกิดไม่ระลึก ก็จะไม่รู้ว่าได้ยินเป็นสภาพรู้ไม่ใช่เสียง

ถ้าปัญญาขั้นนี้ยังไม่เกิด ปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งการเกิดดับก็เกิดไม่ได้ ฉะนั้น จะกล่าวว่าหนทางเดียวหรือหลายหนทาง ในเมื่อในมหาสติปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เอกายนมคฺโค คือการอบรมเจริญสติปัญญา โดยเป็นผู้ที่ปกติระลึกได้ เมื่อได้ฟังพระธรรมและพิจารณาเข้าใจแล้วว่าเป็นสภาพธรรมไม่ใช่ตัวตน เมื่อสติเกิดก็ระลึกได้ แล้วค่อยๆ รู้ขึ้น จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับจริงๆ ฉะนั้นใครจะระลึกรู้สภาพธรรมอะไรขณะไหนก็แล้วแต่ ไม่เหมือนทางไปโรมหรือไปเชียงใหม่ แต่ปัญญาจะต้องรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรม และสัจจธรรมก็กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วย

ถ. คราวนี้ดิฉันเห็นด้วยที่อาจารย์พูดว่า ทุกอย่างจะต้องมีปัญญาจึงจะสำเร็จ ไม่ว่าแม้ในธรรมหรือในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่มีปัญญาก็คงจะทำอะไรไม่ได้ แต่ที่พูดนี้หมายถึงดิฉันไม่เห็นด้วยว่า คนจะต้องเรียนอภิธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา อาจจะเกิดปัญญาโดยธรรมชาติในขณะนั้นโดยไม่ต้องไปอ่านอภิธรรม จากสิ่งที่อ่านในขณะนั้น โดยไม่ต้องไปอ่านอภิธรรม

สุ. เข้าใจหรือยังว่าอภิธรรมคืออะไร ขณะนี้ที่เรากำลังพูดนี้เป็นอภิธรรมทั้งนั้น

ถ. อภิธรรมอย่างอาจารย์ อาจารย์ก็พยายามจะอธิบายให้เห็นว่า เมื่อเห็นทางตาเป็นอย่างไร มีรูปมีนามอย่างไร สิ่งเหล่านี้ดิฉันเห็นว่าไม่จำเป็น

สุ. ถ้าไม่จำเป็น จะไม่รู้ว่ารูปคืออะไร และนามคืออะไร

ถ. และไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยว่า รูป นาม คืออะไร เพราะเราไม่ยึดถือไงคะ

สุ. เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ว่า เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรมตราบใดตราบนั้น ก็จะยึดถือเพราะยังรวมกันอยู่ ขณะนี้ยังรวมกันเป็นแจกันดอกไม้ เป็นแก้วน้ำส้ม ยังไม่ได้แยกออกเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นจะเป็นอนัตตาไม่ได้เลย

ถ. ขอบคุณค่ะ

ถ. ขอแทรกสักหน่อย คือขอถามว่าผู้ปฏิบัติธรรม ทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ทำไปแล้วจะได้อะไร อาจารย์ให้คำตอบได้ไหม

สุ. ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ปฏิบัติธรรมคืออะไร ถ้ายังไม่เข้าใจว่าปฏิบัติธรรม คืออะไร สิ่งต่างๆ ที่ปฏิบัติไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้น ขอเรียนถามเป็นข้อๆ คือปฏิบัติธรรมในที่นี้หมายความว่าอย่างไร ที่ใช้คำว่าปฏิบัติธรรมนั้นทำอย่างไร ทุกอย่างจะเลื่อนลอยไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีความเข้าใจชัดเจน ถูกต้อง

แม้แต่คำว่า "ปฏิบัติธรรม" ถ้ามีคนนั่งหลับตาแล้วบอกว่า เขานั่งปฏิบัติธรรม เชื่อไหม พอเขาว่าปฏิบัติก็ปฏิบัติไปด้วย ก็ไม่มีเหตุผลเลย เห็นเขานั่งจ้องดินสีอรุณ แล้วเขาบอกว่าเขาปฏิบัติธรรม ก็จะเชื่อหรือว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดง ทรงพระมหากรุณาให้ผู้ฟัง เกิดปัญญาด้วยตนเอง นี่คือพระคุณที่สูงสุด คือทำให้ผู้มีอวิชชา ความไม่รู้ เกิดมีวิชชาความรู้ขึ้น ไม่หลง ไม่งมงาย ไม่ตื่นเต้นในข่าวต่างๆ ฉะนั้น

แม้คำว่าปฏิบัติธรรม ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ถ้ามีคนนั่งหลับตาแล้วบอกว่าปฏิบัติธรรม แล้วเราก็บอกว่าเขาปฏิบัติธรรม ใครๆ ก็บอกว่าเขาปฏิบัติธรรม ก็เป็นสิ่งที่เหลวไหล เพราะเหตุว่า ยังไม่เข้าใจเลยว่าปฏิบัติธรรมจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร ต่อเมื่อใดเข้าใจแล้ว จึงจะรู้ว่าปฏิบัติธรรมหรือไม่ใช่ปฏิบัติธรรมซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถูกต้อง

ขณะที่ท่านพระสารีบุตรฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิ ปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ท่านพระอัสสชิท่านเดินบิณฑบาต และท่านพระสารีบุตรท่านก็รู้สึกว่า ภิกษุรูปนี้ มีกิริยาที่เป็นสมณะจริงๆ ฉะนั้น ธรรมของท่านก็จะต้องเป็นธรรมที่น่าเลื่อมใส ด้วยเหตุนี้ท่านก็ได้ติดตามท่านพระอัสสชิไป และขอให้ท่านพระอัสสชิแสดงธรรม ในขณะที่ท่านพระสารีบุตรฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิ ท่านพระสารีบุตรปฏิบัติธรรมหรือเปล่า เพราะว่า เมื่อจบธรรมสั้นๆ ที่ท่านพระอัสสชิกล่าวแล้ว ท่านพระสารีบุตรก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน ฉะนั้น ในขณะที่กำลังฟังนั้นท่าน พระสารีบุตรปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ขณะนั้นท่านพระสารีบุตรปฏิบัติธรรมแน่นอน

ฉะนั้นปฏิบัตินั้น ไม่ใช่นั่งหลับตา ไม่ใช่เดินผิดปกติ แต่ขณะใดที่ปัญญา เกิดพร้อมสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมด้วยความเข้าใจ ขณะนั้นสติปัญญาปฏิบัติกิจของสติปัญญา คือระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดแล้วค่อยๆ เข้าใจ สะสมความรู้ความเข้าใจไปจนกว่าจะถึงกาลที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งจะเป็นขณะไหนก็ได้ ขณะที่ถูกวัวขวิดก็ได้ ขณะไหนก็ได้ทั้งนั้น

เพราะเหตุว่า ขณะนี้สภาพธรรมก็เป็นของจริง ซึ่งกำลังเกิดดับเป็นอริยสัจจธรรม เมื่อบุคคลใดประจักษ์แจ้งลักษณะความจริงของสภาพธรรมขณะนี้ ก็เป็นพระอริยบุคคล เป็นผู้เจริญจริงๆ เพราะว่าเจริญจากอวิชชาสู่วิชชา จนสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

ฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดเรื่องปฏิบัติธรรม ว่าจะเป็นอย่างอื่น ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งนับถือพุทธศาสนาแบบมหายาน ขณะนี้มีชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ซึ่งได้ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท จากพระไตรปิฏกภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลจากภาษาบาลี เขาศึกษามาประมาณ ๑๐ ปีแล้ว ได้มาที่เมืองไทย เป็นผู้ที่มีความสนใจในการที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมมาก

แต่ว่าเมื่อศึกษาคนเดียว ก็เป็นธรรมดาที่เขาไม่มีใครที่จะอธิบายข้อความในพระไตรปิฏก และในอรรถกถาเขามีความวิริยะอุตสาหะ ขนาดที่พูดภาษาไทยไม่ได้เลย แต่สามารถที่จะเขียนภาษาไทยได้ โดยคัดลอกจากตัวหนังสือภาษาไทย และตำราพระธรรมภาษาไทยโดยเฉพาะคือพระอภิธรรม เขาสามารถที่จะเขียนวิถีจิตและเรียบเรียงได้ ตัวหนังสือก็อ่านง่ายสวยงาม แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีวิริยะอุตสาหะมาก

แต่ก็น่าเสียดายที่การศึกษาธรรมลำพังตนเอง โดยที่ไม่มีกัลยามิตรหรือสหายธรรมที่จะให้คำชี้แจง ปรึกษา หรือมีความคิดอ่านที่จะช่วยกันทำให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น จึงทำให้เขาประพฤติปฏิบัติตึงไปสำหรับคฤหัสถ์ ท่านผู้นี้ไม่ได้บวชเป็นบรรพชิต แต่เป็นผู้ที่ไม่นอน รับประทานอาหารวันละมื้อเดียว และก็น้อยมากด้วย กลางคืนก็ไม่นอนเลย นั่งแล้วก็ลุกขึ้นเดิน แล้วก็นั่งแล้วก็ลุกขึ้นเดิน เขาก็ตั้งใจจะเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต เป็นผู้ที่มีสัทธามาก

แต่ว่าเรื่องของปัญญาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงอ่านแล้วคิดแล้วเข้าใจเอาเอง ท่านผู้นั้นพยายามทุกอย่างที่จะศึกษาและปฏิบัติ ตามวิสุทธิมรรค ท่านผู้นี้เคยมาเมืองไทย ๓ ครั้ง และได้มีโอกาสพบดิฉัน ซึ่งเขาก็ยังคงมีความเชื่อมั่นในการประพฤติปฏิบัติของเขา ว่าเป็นหนทางที่จะขัดเกลากิเลส แต่เขายังไม่รู้ว่ากิเลสละเอียดมาก ทันที่ที่เห็นแล้วปัญญาไม่เกิด ขณะนั้นถ้าไม่ศึกษาพระธรรม จะไม่รู้เลยว่าเป็นอกุศลแล้ว

เพราะเมื่อเห็นแล้วก็ย่อมมีความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็นบ้าง หรือว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่น่าพอใจ ก็เกิดความไม่แช่มชื่น ก็เป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง โดยที่ไม่รู้เลย ท่านผู้นี้พยายามที่จะทำสมาธิ แล้วก็เข้าใจว่าตนเองได้บรรลุสมาธิสูงพอสมควร เพราะเมื่อก่อนนี้เขาบอกว่าเขาต้องหลับตาจิตของเขาจึงจะเป็นสมาธิ แต่เดี๋ยวนี้เชื่อเขาเถอะเขาลืมตาเขาก็สามารถที่จะเป็นสมาธิได้

แต่ถ้าถามเรื่องปัญญา วิธีที่จะอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงในขณะนี้ ท่านผู้นี้จะตอบไม่ได้เลย ซึ่งผู้ที่เป็นพุทธบริษัทย่อมรู้ว่า พระอรหันต์เห็น แต่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น แต่ปุถุชนเห็นแล้วเต็มไปด้วยกิเลส

ฉะนั้นความต่างกันที่ทำให้ จากปุถุชนสู่ความเป็นพระอรหันต์ ก็คือการสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นแล้วปัญญาไม่เกิด กิเลสก็เกิด ถ้าได้ยินแล้วปัญญาไม่เกิด กิเลสก็เกิด

ฉะนั้น ทำอย่างไร เข้าใจอย่างไร จึงจะสามารถรู้ความจริงว่า ขณะที่เห็นแล้วปัญญาเกิดแทนกิเลสนั้นเป็นไปได้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่เป็นสิ่งที่จะต้องเริ่มจากการฟังเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน แล้วสามารถที่จะเข้าใจในความเป็นอนัตตา เป็นนามธรรมรูปธรรมของธรรมในขณะนี้

จนกระทั่งสติเกิดระลึกได้ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน เมื่อมีปัญญาเกิด ปัญญานั้นก็สามารถที่จะละคลายการยึดถือการเห็นที่เคย เป็นเราเห็น การได้ยินว่าเป็นเราได้ยิน เมื่อหมดความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลส คือความเห็นผิดและความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

เป็นพระโสดาบันบุคคล ก็ยังมีกิเลสเหลืออยู่อีกที่จะต้องอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของกิเลสนั้นๆ จนกว่าจะเห็นสภาพธรรมที่เกิดและดับว่าเป็นทุกข์ เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมอีกครั้งหนึ่ง ก็เป็นพระสกทาคามีบุคคลต่อจากนั้นก็จะต้องอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งเป็นพระอนาคามีบุคคล และเมื่อดับกิเลสหมดก็เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ว่าเป็นได้ยาก แต่ไม่ถึงกับสุดวิสัย

ถ้าสนใจแต่เรื่องของสมาธิ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าปัญญานั้นไม่ใช่สมาธิ เพราะว่าถ้าเป็นสมาธิแล้ว จิตจดจ้องอยู่ที่อารมณ์เดียว แต่ถ้าเป็นสติปัฏฐานสติก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ แล้วปัญญาเจริญขึ้น ที่จริงแล้ว น่าจะพูดถึงเรื่องมิจฉาสมาธิ หรือ "มิจฉามัคค" มิจฉาปฏิปทา เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะนิยมปฏิบัติ แต่ถ้าไม่ทราบว่าการปฏิบัติมี ๒ อย่าง คือ "สัมมามัคค" และ "มิจฉามัคค" ถ้าไม่รู้ความต่างกัน ก็จะปฏิบัติมิจฉามัคค ไม่ใช่สัมมามัคค สมาธิก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่มีแต่สัมมาสมาธิเท่านั้น มิจฉาสมาธิก็มี

ฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าสัมมาสมาธิประกอบด้วยปัญญาอย่างไร ขณะนั้นก็เป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ สำหรับในพระพุทธศาสนาแล้ว ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่าด้วยปัญญาพระผู้มีพระภาคจึงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงพระธรรมทั้งหมดเพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้เกิดปัญญาของตัวเองด้วย

ถ. จะทราบได้อย่างไรว่าปัญญาเกิด

สุ. ต้องทราบว่า "ปัญญา" รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จึงจะเป็นปัญญาที่สามารถจะดับกิเลสได้ เพราะว่าขณะนี้ที่กำลังเห็น ก็ยึดถือว่าเป็นเราเห็น แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล

ฉะนั้นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ต้องไม่ใช่เราและก็ไม่ใช่ตัวตนด้วย เป็นเพียงจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คือเมื่อมีจักขุปสาทแล้วมีสิ่งที่กระทบตา มีการเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะเหตุว่าจิตที่เห็นไม่ใช่จิตที่ได้ยิน นี่แสดงให้เห็นความต่างกันว่า คนหนึ่งๆ จะมีจิตซ้อนกัน 2 ถึง 3 ขณะไม่ได้

ชีวิตแต่ละคนดำรงอยู่ได้ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียว ฉะนั้นในขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ต้องมีความรู้ซึ่งเกิดจากการฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว ก็จะมีแต่สมาธิ และไม่รู้ว่าปัญญานั้นรู้อะไร แต่ก่อนอื่นก็ต้องรู้ว่าปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันทุกขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะเป็น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส คิดนึก


หมายเลข  5365
ปรับปรุง  6 พ.ค. 2565