แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 284


มีท่านหนึ่งสงสัยว่า ทำไมเปรตถึงทราบว่าบุรุษที่ถูกเสียบหลาวนั้นจะตกนรกหรือทราบว่าบุรุษที่ถูกเสียบหลาวนี้จะได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล ดูเหมือนว่าเปรตนั้นช่างมีความรู้เกินกว่าฐานะของการเป็นเปรต หรือว่าโดยภูมิของเปรต แต่ขอให้ท่านคิดถึงแม้จิตใจของท่านในขณะนี้ ถ้าท่านเห็นใครกำลังได้รับความทุกข์ทรมานโดยการถูกลงโทษ เช่น การถูกเสียบหลาว คงจะสงสาร และคิดว่าย่อมมีอกุศลกรรมเป็นปัจจัย ฉะนั้นเมื่อสิ้นชีวิตลง ก็ย่อมยังมีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้ ธรรมดาท่านก็คิดอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เปรตก็คิดอย่างนี้ได้ ไม่ใช่ว่าจะมีญาณพิเศษที่จะรู้ว่าบุคคลนี้จะต้องไปตกนรกแน่นอน สำหรับการสงเคราะห์บุคคลที่จะสงเคราะห์ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นเปรต หรือว่าจะได้พบเทพ ส่วนมากจะต้องเป็นผู้ที่สมควรแก่การที่จะสงเคราะห์ด้วยเหตุปัจจัยของบุคคลนั้นเอง เมื่อบุคคลนั้นเป็นผู้ที่เจริญกุศล บำเพ็ญกุศลมามากถึงกับว่าในชาตินั้นสามารถจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยทำให้บุคคลอื่นมีความสงสาร ต้องการที่จะเกื้อกูลให้พ้นจากการที่จะไปสู่อบายภูมิ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทั้งๆ ที่อดีตได้สั่งสมเหตุอบรมมาเพื่อที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่อำนาจของกิเลสซึ่งยังไม่ดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นทำให้บุคคลนั้นๆ กระทำกรรมต่างๆ ในชีวิต ก่อนที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล

สำหรับภูมิอื่นที่จะปรากฏให้ท่านเห็น นอกจากในภูมิของเปรตก็มีภูมิของเทพ ซึ่งสามารถที่จะปรากฏให้บุคคลอื่นเห็นได้ แต่ไม่ใช่เพื่อท่านจะไปติดข้อง ผูกพัน ยึดมั่น หรือเกี่ยวข้องกับเทพเหล่านั้น เพราะว่าเมื่อเทพจะปรากฏนั้น ย่อมปรากฏเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลในทางธรรมให้บุคคลนั้นเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในกรรมของตน

ขอกล่าวถึงเรื่องของเทพที่ปรากฏกับบุคคลในครั้งนั้น และคงจะเป็นต้นเหตุหรือเหตุของการที่จะสร้างศาลเจ้า หรือศาลเทพ ซึ่งเป็นการสร้างเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงความดี แต่ไม่ใช่ว่าสร้างเพื่อขอให้เทพนั้นมาสิงสถิตอยู่ที่ศาลนั้น หรือว่าจะให้เป็นที่พึ่งพาอาศัย และก็หลงขอ โดยที่ไม่เจริญกุศลกรรม ไม่พึ่งกรรมของตัวเอง ฉะนั้น ท่านก็จะเทียบได้ถึงความเข้าใจของคนในครั้งอดีตกับคนในสมัยปัจจุบัน ถ้าบุคคลในครั้งอดีตจะสร้างศาลเทพ ก็เพื่อที่จะระลึกถึงความดีของบุคคลนั้น ไม่มีจุดประสงค์ที่จะให้หลงขอโดยที่ไม่เจริญกุศล หรือว่าไม่พึ่งกรรมของตนเอง ซึ่งถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีกุศลกรรมพอที่จะเกื้อกูลเทพ จึงจะเกื้อกูล เพราะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่เจริญกุศลสมควรรับผลของกุศลกรรม ซึ่งเทพจะเกื้อกูล

ใน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เสริสกวิมาน มีข้อความว่า

ท่านพระควัมปติกล่าวว่า

ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำเทวดา และพวกพ่อค้าซึ่งมาพบกัน ในเวลาที่พวกพ่อค้าหลงทางในทะเลทราย อนึ่ง ถ้อยคำที่พวกเทวดาและพวกพ่อค้าโต้ตอบกัน ฉันใด ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนั้น ฉันนั้นเถิด

พระธรรมทั้งหมดมีประโยชน์ ถ้าท่านจะฟังคำที่เทวดากับพวกพ่อค้าสนทนาโต้ตอบกัน แม้แต่พระอรหันต์ในครั้งนั้น คือ ท่านพระควัมปติ ก็ยังได้กล่าวว่า ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำเทวดาและพวกพ่อค้าซึ่งมาพบกันในเวลาที่พวกพ่อค้าหลงทางในทะเลทราย อนึ่ง ถ้อยคำที่พวกเทวดาและพวกพ่อค้าโต้ตอบกัน ฉันใด ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนั้น ฉันนั้นเถิด

ในครั้งที่พระอรหันต์ทั้งหลายยังมีมาก เมื่อพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน หรือหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้ว ก็ยังมีพระอรหันต์ที่ได้แสดงธรรมข้อปฏิบัติ คือ การเจริญมรรคมีองค์ ๘ การเจริญสติปัฏฐาน แต่แม้กระนั้นข้อความอื่นซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่เว้นที่จะกล่าว ไม่ใช่ว่าพอพบกันก็พูดแต่เรื่องสติปัฏฐาน มรรคมีองค์ ๘ อิทธิบาท ๔ หรือโพชฌงค์

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าในครั้งนั้นจะได้มีการแสดงธรรมเรื่องของการเจริญ สติปัฏฐาน มรรคมีองค์ ๘ แต่แม้พระอรหันต์ทั้งหลายก็ยังได้แสดงข้อความธรรมซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ฟังด้วย

ท่านพระควัมปติกล่าวต่อไปว่า

ยังมีพระราชาทรงพระนามว่า ปายาสิ มียศถึงความเป็นสหายของภุมมเทวดาบันเทิงอยู่ในวิมานของตน เป็นเทวดาแต่ได้มาปราศรัยกับพวกมนุษย์

เสริสกเทพบุตรถามพวกพ่อค้าด้วยคาถาว่า

มนุษย์ทั้งหลายผู้กลัวทางคด หลงทางแล้วมาทำไมในป่าที่น่ารังเกียจ เป็นที่สัญจรไปแห่งอมนุษย์ เป็นที่กันดาร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร เดินไปแสนยาก เป็นท่ามกลางแห่งทะเลทราย ในทะเลทรายนี้ไม่มีผลไม้ ไม่มีเผือกมัน หาเชื้อมิได้ จักมีอาหารแต่ที่ไหน นอกจากฝุ่น และทรายอันร้อนทารุณดังไฟเผา ที่นี้มีภาคพื้นอันแข็งร้อนดังแผ่นเหล็กแดง หาความสุขมิได้ เท่ากับนรก สถานที่นี้เป็นที่อยู่ดั้งเดิมของพวกหยาบช้า มีปีศาจ เป็นต้น เป็นเหมือนภูมิประเทศที่ถูกสาปแช่งไว้

เออก็พวกท่านหวังประโยชน์อะไร ไม่ทันพิจารณาคุณและโทษ พากันหลงทางเข้ามายังประเทศนี้เพราะเหตุอะไร เพราะความโลภ หรือความกลัว

พวกพ่อค้าตอบว่า

พวกข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าเกวียนอยู่ในแคว้นมคธ และแคว้นอังคะ บรรทุกสินค้ามามาก ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความต้องการทรัพย์ ปรารถนาอดิเรกลาภอันเพิ่มพูน จึงพากันไปสินธุประเทศ และโสวีระประเทศ ข้าพเจ้าทุกคนไม่อาจจะอดกลั้นความกระหายในเวลากลางวัน และหมายจะอนุเคราะห์โคทั้งหลาย จึงได้พากันรีบเดินทางมาในราตรีอันเป็นเวลาค่ำคืน ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พลัดพรากจากทางไปสู่ทางผิดมืดมนดุจคนตาบอด หลงเข้าไปในป่าที่ไปได้แสนยาก อันเป็นท่ามกลางทะเลทราย มีจิตงงงวย ไม่อาจกำหนดทิศได้

ดูกร เทพเจ้าผู้ควรบูชา พวกข้าพเจ้าได้เห็นวิมานอันประเสริฐของท่านนี้กับตัวท่านซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน จึงหวังว่าจะรอดชีวิตได้ยิ่งกว่าก่อน เพราะเห็นวิมานของท่านกับตัวท่าน พวกข้าพเจ้ามีความดีใจร่าเริง ขนลุกขนพอง

เสริสกเทพบุตรกล่าวว่า

ดูกร พ่อค้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเที่ยวไปสู่ฝั่งทะเลทรายข้างนี้จดฝั่งทะเลทรายข้างโน้น แล้วไปสู่ทางอันเป็นทางไปยาก ประกอบด้วยเชิงหวายและหลักตอ ข้ามแม่น้ำและภูเขาทั้งหลายไปสู่ทิศต่างๆ เป็นอันมาก เพราะเหตุอยากได้โภคทรัพย์ เมื่อพวกท่านไปสู่แว่นแคว้นของพระราชาเหล่าอื่น ท่านไปเห็นมนุษย์ในต่างประเทศ เราจะขอฟังสิ่งอัศจรรย์ที่ท่านทั้งหลายได้ฟัง หรือได้เห็นมาแล้วในสำนักของท่านทั้งหลาย

พวกพ่อค้าตอบว่า

ดูกร กุมาร พวกข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน หรือได้เห็นสมบัติมนุษย์ในประเทศอื่นทั้งหมดที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่าสมบัติในวิมานของท่านนี้ พวกข้าพเจ้าได้เห็นวิมานของท่านอันรัศมีไม่ทราม

ข้อความต่อไปบรรยายถึงความวิจิตรของวิมานของเสริสกเทพบุตร ซึ่งในมนุษย์ไม่มีที่แห่งใดที่จะเปรียบเทียบได้ แม้ว่าจะไปสู่ประเทศนั้น สู่ประเทศนี้ต่างๆ ที่จะให้วิจิตรอย่างวิมานของเทพบุตรซึ่งเป็นผลของบุญนั้น ก็ไม่สามารถที่จะวิจิตรเท่าได้

ข้อความต่อไป

พ่อค้าถามว่า

ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นยักษ์ เป็นท้าวสักกะจอมเทพ หรือเป็นมนุษย์ พวกเราถามท่าน ขอท่านจงบอกว่า ท่านเป็นเทวดาชื่อไร

เสริสกเทพบุตรตอบว่า

ข้าพเจ้าเป็นเทวดาชื่อว่า เสริสสกะ เป็นผู้รักษาทางกันดาร เป็นเจ้าทะเลทรายทำตามคำสั่งของท้าวเวสสุวรรณ รักษาประเทศนี้อยู่

พวกพ่อค้าถามว่า

วิมานนี้ท่านได้ตามความปรารถนา หรือเกิดในกาลบางคราว ท่านทำเอง หรือเทวดาทั้งหลายมอบให้ พวกเราทั้งหลายถามท่าน วิมานอันเป็นที่ชอบใจนี้ท่านได้มาอย่างไร

เสริสกเทพบุตรตอบว่า

วิมานอันเป็นที่ชอบใจนี้ มิใช่ข้าพเจ้าได้ตามความปรารถนา มิใช่เกิดขึ้นในกาลบางคราว ข้าพเจ้ามิได้ทำเอง และเทวดาทั้งหลายก็มิได้มอบให้ วิมานอันเป็นที่ชอบใจนี้ ข้าพเจ้าได้มาเพราะบุญกรรมอันดีงามของตน

พวกพ่อค้าถามว่า

อะไรเป็นวัตร และเป็นพรหมจรรย์ของท่าน นี้เป็นวิบากแห่งบุญอะไรที่ท่านสั่งสมไว้แล้ว เราถามท่าน วิมานนี้ท่านได้อย่างไร

เสริสกเทพบุตรตอบว่า

ข้าพเจ้ามีนามว่าปายาสิ เมื่อครั้งข้าพเจ้าเสวยสมบัติในแคว้นโกศล ข้าพเจ้ามีความเห็นผิดว่า ไม่มี มีความตระหนี่เหนียวแน่น มีธรรมอันลามก มีปกติกล่าวว่าขาดสูญ มีสมณะนามว่ากุมารกัสสปะ เป็นพหูสูต เป็นผู้เลิศในทางมีถ้อยคำอันวิจิตรครั้งนั้นท่านได้แสดงธรรมกถาแก่ข้าพเจ้า ได้บรรเทาทิฏฐิผิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมกถาของท่านนั้นแล้ว ได้ประกาศตนเป็นอุบาสก งดเว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน สันโดษ ยินดีด้วยภรรยาของตน ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา ข้อนั้นเป็นวัตร และเป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้า นี้เป็นวิบากแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมไว้วิมานนี้ข้าพเจ้าได้มาเพราะบุญกรรมอันดีงามนั้น นั่นแล

พวกพ่อค้าถามว่า

ได้ยินว่า ถ้อยคำของนรชนผู้มีปัญญา เป็นบัณฑิต ที่ได้พูดไว้เป็นคำจริงไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่นว่า บุคคลผู้ทำบุญจะไปในที่ใดๆ ย่อมได้ตามปรารถนา บันเทิงใจในที่นั้นๆ ความเศร้าโศก ความร่ำไร การเบียดเบียน การจองจำ ความเศร้าหมองมีอยู่ในที่ใดๆ คนบาปย่อมไม่พ้นจากทุคติในกาลไหนๆ

ดูกร กุมาร เพราะเหตุใดหนอความโทมนัสจึงได้เกิดแก่เทวดาผู้เป็นบริวารของท่านนี้ และแก่ท่าน ดุจคนผู้หลงใหลฟั่นเฟือน และดุจน้ำอันขุ่นในครู่เดียวนี้

แม้แต่ว่าจะเป็นเทวดามีวิมานแต่ก็ยังมีความโทมนัสได้

เสริสกเทพบุตรตอบว่า

แน่ะพ่อทั้งหลาย ป่าไม้ซึกเหล่านี้เป็นทิพย์ มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่ววิมานนี้ ใช่แต่เท่านั้น ป่าไม้ซึกนี้ยังกำจัดความมืดได้ทั้งกลางวันกลางคืน ล่วงไป ๑๐๐ ปีเปลือกฝักแห่งต้นซึกนี้จึงจะสุก หล่นลงครั้งหนึ่งๆ เป็นอันรู้ว่า ๑๐๐ ปีของมนุษย์ล่วงไปแล้ว

ดูกร พ่อทั้งหลาย ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดในเทพนิกายนี้ จักตั้งอยู่ในวิมานนี้ตลอด ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วจึงจุติเพราะสิ้นอายุ เพราะสิ้นบุญ ข้าพเจ้าสยบซบเซาเพราะความเศร้าโศกนั้นนั่นแล

พวกพ่อค้ากล่าวว่า

ท่านได้วิมานนี้มานาน จะนับประมาณมิได้ เมื่อท่านเป็นเช่นนั้นจะเศร้าโศกไปทำไมเล่า ก็แหละคนที่มีบุญน้อยเข้าอยู่ในวิมานนี้นิดหน่อย ควรเศร้าโศกแน่แท้ แต่ท่านมีอายุถึง ๙ ล้านปีของมนุษย์ จะเศร้าโศกไปทำไมเล่า ท่านอย่าเศร้าโศกเลย

เสริสกเทพบุตรกล่าวว่า

ดูกร พ่อทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายได้กล่าวตักเตือนข้าพเจ้าด้วยวาจาอันเป็นที่รักนั้น สมควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตามรักษาพวกท่าน ท่านทั้งหลายจงไปโดยสวัสดียังที่ๆ ท่านทั้งหลายปรารถนาเถิด

พวกพ่อค้ากล่าวว่า

ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความต้องการทรัพย์ ปรารถนาอดิเรกลาภเพิ่มพูน จึงไปสู่สินธุประเทศและโสวีระประเทศ บัดนี้พวกข้าพเจ้าขอบวงสรวงท่าน ขอให้ปฏิญาณไว้แก่ท่าน ถ้าพวกข้าพเจ้าได้ทรัพย์สมความปรารถนาแล้ว จะทำการบูชาเสริสกเทพบุตรให้ยิ่ง

เสริสกเทพบุตรกล่าวว่า

ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำการบูชาแก่เสริสกเทพบุตรเลย สิ่งที่ท่านพูดถึงทั้งหมดจะเป็นของท่าน ขอพวกท่านจงงดเว้นกรรมทั้งหลายอันเป็นบาป แล้วจงอธิษฐาน การประกอบตามซึ่งธรรม ในหมู่พ่อค้าเกวียนนี้มีอุบาสกผู้เป็นพหูสูต สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร มีศรัทธา มีปกติบริจาค มีศีลเป็นที่รัก มีปัญญาเครื่องพิจารณา เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้รู้ เมื่อรู้สึกอยู่ไม่พูดมุสา ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่พึงกล่าวคำส่อเสียดให้เขาแตกกัน พูดแต่วาจาอ่อนหวาน ละมุนละม่อม มีความเคารพยำเกรงอ่อนน้อม ไม่เป็นคนทำบาป หมดจดในอธิศีล เป็นคนเลี้ยงมารดาและบิดาโดยธรรมมีความประพฤติบริสุทธิ์ แสวงหาโภคะทั้งหลายเพราะเหตุแห่งมารดาและบิดาไม่ใช่เพราะเหตุแห่งตน เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว มีจิตน้อมไปในเนกขัมมะจักประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนตรง ไม่คดโกง ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ไม่พูดโดยอ้างเลศอุบาสกผู้ทำงานอันบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในธรรมเช่นนี้ จะพึงได้ทุกข์อย่างไรเล่า เพราะอุบาสกนั้นเป็นเหตุ ข้าพเจ้าจึงมาแสดงตนให้ปรากฏ

ดูกร พ่อค้าทั้งหลาย ฉะนั้นพวกท่านจึงได้เห็นข้าพเจ้า ก็ถ้าเว้นอุบาสกนั้นเสียพวกท่านก็จักมืดมน ดุจคนตาบอดหลงเข้าไปในป่า จักเป็นเถ้าถ่านไป อันคนอื่นเบียดเบียนคนอื่นนั้นเป็นการกระทำได้ง่าย การสมาคมด้วยสัตบุรุษนำมาซึ่งความสุข

เทวดาเห็นไหมว่าใครเป็นอย่างไร แม้ผู้ใดที่เป็นอุบาสกประพฤติธรรม เป็นผู้ที่มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร เป็นพหูสูต มีปกติบริจาค มีศีลเป็นที่รัก มีปัญญาเครื่องพิจารณา เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้รู้ เมื่อรู้สึกอยู่ไม่พูดมุสา เทวดาก็ยังรู้

เป็นอย่างไรเรื่องมุสา ไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม แต่เวลาที่รู้ ผู้ที่มีศีลย่อมไม่พูดสิ่งที่ไม่จริง แต่บางทีเวลาที่ไม่รู้สึกตัว เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเป็นนิสัยที่เคยชิน ไม่ใช่เป็นเรื่องสลักสำคัญ เป็นเรื่องธรรมดา ก็อาจจะเผลอพูดไป แต่บุคคลผู้มีศีล เมื่อรู้อยู่จะไม่พูดมุสา ซึ่งเทพยดาทั้งหลายท่านก็เป็นผู้ที่รู้เห็นการกระทำทั้งในที่ลับ ทั้งในที่แจ้ง

พวกพ่อค้าถามว่า

อุบาสกนั้นชื่ออะไร ทำกรรมอะไร มีชื่ออย่างไร มีโคตรอย่างไร ดูกร เทพเจ้าผู้ควรบูชา ท่านมาในที่นี้เพื่ออนุเคราะห์อุบาสกคนใด แม้พวกข้าพเจ้าก็ต้องการเห็นอุบาสกนั้น แม้ท่านรักอุบาสกคนใด ก็เป็นลาภของอุบาสกคนนั้น

ไม่ได้มีจิตริษยาเลย พร้อมที่จะชื่นชม อนุโมทนาในคุณความดีของบุคคลอื่น

เสริสกเทพบุตรกล่าวว่า

บุรุษใดเป็นกัลบกมีชื่อว่าสัมภวะ เป็นคนรับใช้สอยของพวกท่าน อาศัยการตัดผมเลี้ยงชีพ

ท่านทั้งหลายจงรู้บุรุษนั้นว่าเป็นอุบาสก ท่านทั้งหลายอย่าได้ดูหมิ่นอุบาสกนั้น ด้วยว่าอุบาสกนั้นเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก

พวกพ่อค้ากล่าวว่า

ดูกร เทพเจ้าผู้ควรบูชา ท่านพูดถึงช่างตัดผมคนใด ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้จักแล้ว แต่ก่อนข้าพเจ้าทั้งหลายไม่รู้จักว่าเป็นเช่นนี้เลย เพราะฟังคำของท่าน แม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักบูชาอุบาสกนั้นเป็นอย่างยิ่ง

ปกติการเจริญธรรม ไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลใด อาชีพใด ทำกิจการงานอย่างไร ทุกท่านสามารถที่จะประพฤติธรรมได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น บุคคลอื่นไม่ทราบว่า ใครเป็นอุบาสกผู้ประพฤติธรรม แต่เทพยดาท่านทราบ

เสริสกเทพบุตรกล่าวว่า

มนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้ เป็นหนุ่ม แก่ หรือปานกลาง มนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดจงขึ้นสู่วิมานนี้ แล้วจงดูผลบุญของคนตระหนี่

เพราะว่าในกาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าปายาสิเป็นผู้ที่ตระหนี่มาก ภายหลังเมื่อได้บำเพ็ญบุญกุศล ก็เป็นผลของบุญซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนตระหนี่ ฉะนั้น จึงได้กล่าวว่า จงดูผลบุญของคนตระหนี่


หมายเลข  6251
ปรับปรุง  4 ต.ค. 2566