แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 303
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาตถาคตและภิกษุสงฆ์
พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละ ได้ประชุมกัน เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนาเราในบัดนี้ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละ จักประชุมกัน เพื่อทัศนาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจักมีในอนาคตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนาเราในบัดนี้
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะมีเทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ มาประชุมกัน เพื่อเฝ้าทัศนาพระผู้มีพระภาคและพระภิกษุสงฆ์ โดยไม่ต้องมีใครเชิญ เพราะเหตุว่าผู้ทรงคุณอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์นั้น เป็นผู้ควรแก่การทัศนาที่จะได้เฝ้า
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เราจักบอกนามพวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา เราจักแสดงนามพวกเทวดา พวกเธอจงฟังเรื่องนี้ จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
เราจักร้อยกรองโสลก ภุมเทวดาอาศัยอยู่ ณ ที่ใด พวกภิกษุก็อาศัยที่นั้น ภิกษุพวกใดอาศัยซอกเขา ส่งตนไปแล้ว มีจิตตั้งมั่น ภิกษุพวกนั้น เป็นอันมาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์ ครอบงำความขนพองสยองเกล้าเสียได้ มีใจผุดผ่อง เป็นผู้หมดจด ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว พระศาสดาทรงทราบ พระภิกษุประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่อยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ แต่นั้นจึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น
ภิกษุเหล่านั้น สดับรับสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร ญาณเป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์ ได้ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้น
ไม่ใช่จะเห็นได้ง่ายๆ แม้ว่าเทวดาทั้ง ๑๐ โลกธาตุจะได้มาเฝ้า พระผู้มีพระภาคก็จะทรงแสดงนามของพวกเทวดาเหล่านั้น ระบุนามของพวกเทวดาเหล่านั้น บอกนามของพวกเทวดาเหล่านั้น โดยไม่ได้บอกเฉยๆ โดยไม่ได้ระบุเฉยๆ โดยไม่ได้แสดงนามเฉยๆ แต่พระภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปนั้น กระทำความเพียร ญาณเป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์ ได้ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้น ถ้าไม่มีญาณที่จะเห็น ก็ไม่เห็น ไม่ใช่ว่าจะเห็นได้ง่ายๆ โดยการที่บอกว่าใครมาและคนอื่นก็เห็น แต่ที่จะเห็นได้ต้องมีเหตุ คือ กระทำความเพียร ญาณเป็นเครื่องเห็นอมนุษย์ ได้ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้น ถ้าเห็นจริงต้องเป็นอย่างนี้ คือ ต้องถึงความสมบูรณ์ด้วยเหตุที่จะให้เห็นได้
ซึ่งภิกษุบางรูปได้เห็นอมนุษย์ร้อยหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์พันหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์เจ็ดหมื่น บางพวกได้เห็นอมนุษย์หนึ่งแสน บางพวกได้เห็นไม่มีที่สุด อมนุษย์ได้แผ่ไปทั้งทิศ
พระศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงใคร่ครวญทราบเหตุนั้นสิ้นแล้ว แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น เราจักบอกพวกเธอด้วยวาจาตามลำดับ
ยักษ์เจ็ดพันเป็นภุมเทวดา อาศัยอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
ข้อความต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงลำดับเทพที่มาประชุม ณ ที่นั้น โดยตลอดไปจนถึงเทพชั้นพรหมที่เป็นพรหมบุคคล รวมทั้งมารเสนาก็มาด้วย
ข้อความตอนท้ายของพระสูตรนี้มีว่า
มารเสนาได้เห็นพวกเทวดา พร้อมทั้งพระอินทร์พระพรหมทั้งหมดนั้น ผู้มุ่งมา ก็มาด้วย แล้วกล่าวว่า
ท่านจงดูความเขลาของมาร พระยามารกล่าวว่า พวกท่านจงมาจับเทวดาเหล่านี้ผูกไว้ ความผูกด้วยราคะจงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงล้อมไว้โดยรอบ อย่าปล่อยใครๆ ไป
นี่เป็นวิธีของมาร ทั้งๆ ที่พระภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แต่มารก็เข้าใจว่า จะผูกภิกษุเหล่านั้นได้ด้วยราคะ
ข้อความต่อไปมีว่า
พระยามารบังคับเสนามารในที่ประชุมนั้นดังนี้แล้ว เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆยังฝนให้ตก คำรามอยู่ พร้อมทั้งฟ้าแลบ ฉะนั้น เวลานั้น พระยามารนั้น ไม่อาจยังใครให้เป็นไปในอำนาจได้ โกรธจัด กลับไปแล้ว
พระศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงพิจารณาทราบเหตุนั้นทั้งหมด แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย มารเสนามาแล้ว พวกเธอจงรู้จักเขา
ภิกษุเหล่านั้น สดับพระดำรัสสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร มารและเสนามารหลีกไปจากภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่ยังแม้ขนของท่านให้ไหว ซึ่งพระยามารก็ได้กล่าวสรรเสริญว่า
พวกสาวกของพระองค์ทั้งหมดชนะสงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏในหมู่ชน บันเทิงอยู่กับด้วยพระอริยเจ้า ผู้เกิดแล้วในพระศาสนา ดังนี้แล
ถ. คำว่า อนุโมทนา ที่กล่าวอยู่เป็นอันมากนี้ บางทีก็มีความเข้าใจสับสนอยู่บ้าง บอกว่าอนุโมทนาในส่วนกุศลบ้าง อนุโมทนาในส่วนอกุศลบ้าง ส่วนอกุศลนี่ กระผมเองก็ไม่ค่อยเคยได้ยินว่าใครอนุโมทนา แต่ก็มีการกล่าวถึงเหมือนกัน
อย่างพวกเทพ ท่านย่อมรู้สารพัด เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่มีทิพยจักษุ ทิพยโสต เพราะฉะนั้น มนุษย์จะทำอะไรๆ ก็ตาม พวกเทพย่อมรู้ สมมติว่า มนุษย์กำลังประกอบการกุศลอยู่ เทพรู้ก็อนุโมทนาได้ มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องไปบอกว่า ฉันขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่าน หรือว่า ท่านรู้ว่าศาลตัดสินเอาคนชั่วไปลงโทษ ตัดสินให้ประหารชีวิตบุคคลผู้นั้นเสีย อย่างนี้เทพย่อมจะอนุโมทนาด้วยหรือเปล่าครับ
สุ. ก่อนที่จะคิดถึงจิตใจของเทพ ใจมนุษย์เป็นอย่างไร อนุโมทนา เป็นการยินดีด้วย ยินดีในกุศลที่บุคคลอื่นกระทำ ไม่ใช่ในอกุศล บุคคลทำกรรมใดก็ได้รับผลของกรรมนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่บุคคลอื่นจะต้องไปยินดีในเคราะห์กรรมของคนที่กำลังได้รับผลของอกุศลกรรม
ถ. สรุปได้ว่า อนุโมทนา หมายความถึง ยินดีในกุศลกรรม หรือตามยินดีในกุศลกรรมของผู้อื่นที่เขากระทำแล้ว แต่สำหรับเทพ ท่านก็รู้สารพัด มนุษย์นี้จะอุทิศหรือจะไม่อุทิศ ท่านก็รู้ของท่านอยู่แล้ว ทำไมต้องรอให้มนุษย์อุทิศให้ ท่านถึงจะรับอย่างนั้นหรือ
สุ. เรื่องการอนุโมทนาเป็นเรื่องของเทพ แต่เรื่องการอุทิศเป็นกุศลของผู้อุทิศ การบูชาเทพด้วยการอุทิศส่วนกุศล บูชาด้วยการทำกุศล และอุทิศส่วนกุศลให้เป็นกุศลจิตของมนุษย์ต่อเทพ
ถ. ที่ว่า อนุโมทนาในอกุศล มีครับ มีมากด้วย อาจจะเนื่องจากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือว่าไม่ได้ศึกษา ยกตัวอย่าง เมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องจริง เลยคลองเตยไปเกือบๆ จะถึงซอยอารีย์ มีร้านขายยางร้านหนึ่ง ตัวเถ้าแก่ไปเล่นไพ่กลางคืน ตัวเถ้าแก่นั้นมีเงิน ได้ยินว่าเปียแชร์มามีเงิน ๒ - ๓ หมื่นบาท เก็บไว้ในบ้าน ลูกจ้างก็ขโมยไป เมื่อขโมยแล้วยังไม่ไป รอจนกระทั่งเถ้าแก่กลับมา ฆ่าเถ้าแก่และภรรยาเถ้าแก่ที่อยู่ที่บ้านก็ฆ่าเสีย คนใช้อีกคนหนึ่งก็ถูกฆ่าด้วย ๔ ชีวิตเขาฆ่าหมด ภายหลังตำรวจจับได้ ศาลสั่งประหารชีวิต เมื่อสั่งประหารชีวิต หนังสือพิมพ์ก็ออกว่า บุคคลทำกรรมแบบนี้ ทำความผิดแบบนี้ ถูกศาลสั่งประหารชีวิต ผู้ที่รู้ข่าวแบบนี้ พลอยยินดีไปทั้งนั้นว่า บุคคลคนนี้ควรแล้ว สมควรแล้วที่ศาลสั่งฆ่าเสีย แบบนี้ผมเข้าใจว่า เป็นการอนุโมทนาในอกุศล
และผมสงสัยว่า ๑๐ โลกธาตุนี้หมายถึงอะไร และที่ภิกษุเมื่อทำความเพียรแล้ว กลับไปเห็นอมนุษย์ หมายความว่า เทวดากับอมนุษย์นี้เป็นอันเดียวกันหรือครับ
สุ. เรื่อง ๑๐ โลกธาตุ หมายความว่า มาก โลกมีมากซึ่งเป็นที่อยู่ เป็นจักรวาล เป็นพันจักรวาล เป็นหมื่นจักรวาล เป็นแสนจักรวาล เป็นโกฏิจักรวาล โลกของมนุษย์ก็มีหลายทวีป เช่น โลกที่อยู่ในขณะนี้ ก็เป็นชมพูทวีป และยังมีโลกอื่นอีก แต่เมื่อเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จะรู้สึกอย่างไรเมื่อพูดถึงโลกเหล่านี้ นอกจากเป็นที่ตั้งของความสงสัยว่า มีจริงไหม อยู่ที่ไหน อย่างไร ไกลแสนไกลสักแค่ไหน แต่ผู้ที่รู้ ผู้ที่เห็นก็แสดงได้ เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่าท่านจะมีปัญญาที่จะรู้จริงถึงกับประจักษ์ หรือว่าศึกษาตามท่านที่ได้รู้แล้ว แสดงแล้ว
สำหรับอมนุษย์ ความหมายคือ ไม่ใช่มนุษย์ ภพอื่น ภูมิอื่น คติอื่น ทั้งหมดที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นอมนุษย์ทั้งนั้น เปรตเป็นอมนุษย์ อสุรกายเป็นอมนุษย์ เทพเป็นอมนุษย์ สัตว์ในนรกเป็นอมนุษย์ ดิรัจฉานเป็นอมนุษย์ ทั้งหมดที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นอมนุษย์
ถ้าท่านพิจารณาพระธรรม จะเห็นได้ว่า ในพระไตรปิฎกไม่ได้มีการเชื้อเชิญเทพ แต่ว่าบุคคลใดที่มีคุณความดี ควรที่เทพผู้ใคร่ในการเจริญกุศลก็มาสนทนาด้วย หรือว่ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาค เป็นต้น และเวลาที่มา ก็ไม่ได้มาเพื่อลาภสักการระ แต่มาอนุโมทนาในกุศล ในการขัดเกลา ในการละกิเลส ในการดับกิเลส แต่ผู้ที่ยังต้องการลาภอยู่ เต็มไปด้วยกิเลส จะหวังให้เทวดามาอนุโมทนาได้ไหม
เพราะฉะนั้น ข้อความในพระสูตรนี้ มีหลายตอนที่ท่านผู้ฟังควรที่จะได้พิจารณา บางตอนท่านผู้ฟังก็อาจจะสงสัย เช่น ข้อความที่ว่า เทวดาหายไป ณ เทวโลกชั้นสุทธาวาส แล้วมาปรากฏเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดออกเข้า ฉะนั้น
สำหรับเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น ได้แก่ พรหมโลกชั้นสูง เป็นภูมิของผู้ที่เจริญสมถะถึงขั้นปัญจมฌาน และเจริญวิปัสสนาบรรลุคุณธรรมถึงขั้นพระอนาคามีบุคคล แม้เป็นพระโสดาบันได้ถึงปัญจมฌาน ก็ไม่สามารถที่จะเกิดในสุทธาวาสภูมิได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะเกิดภูมินั้นได้ ต้องเป็นผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล และได้บรรลุปัญจมฌานด้วย จึงจะเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสได้
ข้อความที่ว่า เทวดาหายไป ณ เทวโลกชั้นสุทธาวาส แล้วมาปรากฏเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดออกเข้า ฉะนั้น เร็วอย่างนั้น เพราะเหตุว่าบุรุษที่มีกำลัง กับบุรุษที่ไม่มีกำลัง ใครทำได้เร็วกว่ากัน ใครเหยียดได้เร็ว ได้ช้ากว่ากัน แล้วแต่กำลัง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่จิตบริสุทธิ์ และอบรมทั้งสมถภาวนา ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ก็สามารถที่จะทำสิ่งที่บุคคลที่ไม่ได้อบรมมาอย่างนั้นกระทำไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย
ขอต่อเรื่องของการบูชาเทวดา ด้วยการอุทิศส่วนกุศล ซึ่งท่านผู้ฟังจะได้ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในครั้งนั้น ใน ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยสูตร มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงปาฏลิคาม อุบาสกชาวปาฏลิคามได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปถึงปาฏลิคามแล้ว ลำดับนั้นแล อุบาสกชาวปาฏลิคามพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคทรงรับเรือนสำหรับพักของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด
พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ
ลำดับนั้นแล อุบาสกชาวปาฏลิคามทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ แล้วเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก ครั้นแล้วลาดเครื่องลาดทั้งปวง ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรือนสำหรับพัก ข้าพระองค์ทั้งหลายปูลาดแล้ว ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคทรงสำคัญกาลอันควรเถิด
ครั้งนั้นแลเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จถึงเรือนสำหรับพัก พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วทรงล้างพระบาท เสด็จเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก ประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา แม้ภิกษุสงฆ์ล้างเท้าแล้ว เข้าไปยังเรือนสำหรับพัก นั่งพิงฝาด้านหลัง ผินหน้าไปทางทิศบูรพา แวดล้อมพระผู้มีพระภาคอยู่ แม้อุบาสกชาวปาฏลิคามก็ล้างเท้า แล้วเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก นั่งพิงฝาด้านหน้า ผินหน้าไปทางทิศประจิม แวดล้อมพระผู้มีพระภาคอยู่
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสกับอุบาสกชาวปาฏลิคาม เรื่องโทษของศีลวิบัติ ๕ ประการ
ข้อความต่อไปมีว่า
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้อุบาสกชาวปาฏลิคามเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธัมมีกถา สิ้นราตรีเป็นอันมาก แล้วทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า
ดูกร คฤหบดีทั้งหลาย ราตรีล่วงไปแล้ว ท่านทั้งหลายจงสำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด
ลำดับนั้น อุบาสกชาวปาฏลิคามทั้งหลาย ชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไปลำดับนั้น เมื่ออุบาสกชาวปาฏลิคามหลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปยังสุญญาคาร
ข้อความต่อไปมีว่า
ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ในแคว้นมคธ ชื่อสุนีธะและวัสสการะ จะ สร้างเมืองในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้งหลาย
ก็สมัยนั้นแล เทวดาเป็นอันมาก แบ่งเป็นพวกละพัน ย่อมรักษาพื้นที่ในปาฏลิคาม เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่รักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราชมหาอำมาตย์ของพระราชาผู้มีศักดิ์ใหญ่ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น
นี่คือจิตที่ตรงกัน ระหว่างผู้ที่มีศักดิ์ใหญ่ที่เป็นเทพ กับผู้ที่มีศักดิ์ใหญ่ที่เป็นมหาอำมาตย์ของพระราชา
เทวดาผู้มีศักดิ์ปานกลาง รักษาพื้นที่อยู่ในประเทศใด จิตของราชมหาอำมาตย์ของพระราชาผู้มีศักดิ์ปานกลาง ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในประเทศนั้น
นี่คือการสร้างเมืองใหม่ ก็มีผู้คนที่จะสร้างบ้านสร้างเมืองกัน ณ ที่ต่างๆ และจิตของเทพชั้นใดก็ตรงกับจิตของมนุษย์ผู้มีศักดิ์ชั้นนั้นๆ