แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 312
ข้อความใน มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ สมณมุณฑิกสูตร ซึ่งเป็นเรื่องของศีลมีว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นปริพาชก ชื่ออุคคาหมานะ เป็นบุตรนางสมณมุณฑิกา พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ อาศัยอยู่ ณ อารามของพระนางมัลลิการาชเทวี ในตำบลเอกสาลา ชื่อว่าติณฑุกาจีระ คือ แวดล้อมด้วยแถวต้นมะพลับ เป็นที่ประชุมแสดงลัทธิของนักบวช
ท่านผู้ฟังจะเห็นว่า ความเห็นถูกเป็นเรื่องยาก ถ้าไม่อาศัยการอบรมจริงๆ จะมีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปได้ และมีหนทางที่จะคลาดเคลื่อนไปได้มากทีเดียว
ครั้งนั้น ช่างไม้ผู้หนึ่งชื่อปัญจกังคะ ออกจากเมืองสาวัตถีเพื่อจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อเวลาเที่ยงแล้ว ครั้งนั้นเขามีความดำริว่า เวลานี้มิใช่กาลที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคก่อน พระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นอยู่ และไม่ใช่สมัยที่จะไปหาภิกษุทั้งหลายผู้เจริญทางใจ ภิกษุทั้งหลายผู้เจริญทางใจก็หลีกเร้นอยู่ อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปหาอุคคาหมานปริพาชกสมณมุณฑิกาบุตรที่อารามของพระนางมัลลิการาชเทวี ณ ตำบล เอกสาลา ชื่อว่าติณฑุกาจีระ เป็นที่ประชุมแสดงลัทธิของนักบวชเถิด ลำดับนั้น ช่างไม้ปัญจกังคะจึงเข้าไปยังอารามของพระนางมัลลิการาชเทวี ณ ตำบลเอกสาลา ชื่อว่าติณฑุกาจีระ
สมัยนั้น อุคคาหมานปริพาชกสมณมุณฑิกาบุตรนั่งอยู่กับปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ ซึ่งกำลังพูดดิรัจฉานกถาหลายประการ ด้วยส่งเสียงอื้ออึงอึกทึก
คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องหญิงสาวใช้ตักน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ
ที่จริงแล้วยังไม่หมด ดิรัจฉานกถายังมีอีกมากมาย อะไรๆ ก็เป็นดิรัจฉานกถาถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแสดงกถาเพื่อความหลุดพ้น แต่ขอให้ท่านระลึกว่าพระภิกษุท่านพูดเรื่องเหล่านี้บ้างไหม เวลาที่กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบเรื่องบ้านเมือง เรื่องของมหาอำมาตย์ เรื่องของอุบาสกนั้น เรื่องของอุบาสกนี้ก็มี เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของจิต ว่ามีสติระลึกรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิตอย่างไรหรือไม่ เพราะว่าไม่พูดเลย ไม่ได้ใช่ไหม
อุคคาหมานปริพาชกสมณมุณฑิกาบุตรได้เห็นช่างไม้ปัญจกังคะ ซึ่งกำลังมาแต่ไกล จึงห้ามบริษัทของตนให้สงบว่า
ขอท่านทั้งหลายจงเบาเสียงหน่อย อย่าส่งเสียงนัก ช่างไม้ปัญจกังคะผู้เป็นสาวกของพระสมณโคดมกำลังมา บรรดาสาวกของพระสมณโคดมที่เป็นคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาวประมาณเท่าใดอาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี นายช่างปัญจกังคะนี้เป็นผู้หนึ่งของบรรดาสาวกเหล่านั้น ท่านเหล่านั้นชอบเสียงเบา ได้รับแนะนำในการเสียงเบา กล่าวสรรเสริญคุณของเสียงเบา
เป็นเรื่องพิจารณาจากภายนอก แต่ความจริงการที่จะดับกิเลส ละคลายกิเลส มีมากกว่านั้น ซึ่งจะขาดการเป็นผู่มีปกติเจริญสติปัฏฐานไม่ได้
อุคคาหมานปริพาชกกล่าวต่อไปว่า
บางทีช่างไม้ปัญจกังคะทราบว่าบริษัทมีเสียงเบา จะพึงสำคัญที่เข้ามาหาก็ได้
ปริพาชกเหล่านั้นจึงพากันนิ่งอยู่
ลำดับนั้น นายช่างปัญจกังคะได้เข้าไปหาอุคคาหมานปริพาชกผู้สมณมุณฑิกาบุตรถึงที่ใกล้ ได้ปราศรัยกับอุคคาหมานปริพาชกสมณมุณฑิกาบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ธรรมดาเวลาไปหาใคร ไม่ปราศรัยได้ไหม ไปถึงก็นั่งเฉยๆ ไม่พูดจา มีไหมธรรมเนียมอย่างนี้ ไม่มี นี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อ เป็นคำพูดพอประมาณ และในพระไตรปิฎกไม่ว่าผู้ใดจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หรือพระภิกษุท่านไปมาหาสู่กัน ท่านก็จะต้องปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว ก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ซึ่งการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะทำให้ละคลาย และก็ดับการที่จะพูดเกินประมาณได้
ข้อความต่อไปมีว่า
อุคคาหมานปริพาชกผู้สมณมุณฑิกาบุตร ได้กล่าวกะนายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
ดูกร นายช่างไม้เราย่อมบัญญัติบุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกร นายช่างไม้ บุคคลในโลกนี้ ไม่ทำกรรมชั่วด้วยกาย ไม่กล่าววาจาชั่ว ไม่ดำริถึงความดำริชั่ว ไม่เลี้ยงชีพชั่ว เราบัญญัติบุรุษบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลว่า เป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ดังนี้
ลำดับนั้น นายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ ไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของ อุคคาหมานปริพาชกผู้สมณมุณฑิกาบุตร แล้วลุกจากอาสนะหลีกไปได้ ดำริว่า
เราจักรู้แจ้งเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค แล้วเขาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลเล่าการเจรจาปราศรัยกับอุคคาหมานปริพาชกผู้สมณมุณฑิการบุตรทั้งหมดแก่พระผู้มีพระภาค
พูดได้ไหม เพ้อเจ้อหรือเปล่า เป็นเรื่องที่สมควรจะกราบทูลไหม
เมื่อนายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกร นายช่างไม้ เมื่อเป็นเหมือนอย่างคำของอุคคาหมานปริพาชกผู้สมณมุณฑิกาบุตร เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ ก็จักเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้
ดูกร นายช่างไม้ เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่า กาย ดังนี้ ก็ยังไม่มีที่ไหนจักทำกรรมชั่วด้วยกายได้เล่า นอกจากจะมีเพียงอาการดิ้นรน
เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่า วาจา ดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจักกล่าววาจาชั่วได้เล่า นอกจากจะมีเพียงการร้องไห้
เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่า ความดำริ ดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจักดำริชั่วได้เล่า นอกจากจะมีเพียงการร้องไห้และการหัวเราะ
เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่า อาชีพ ดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจักเลี้ยงชีพชั่วได้เล่า นอกจากน้ำนมของมารดา
ดูกร นายช่างไม้ เมื่อเป็นเหมือนอย่างคำของอุคคาหมานปริพาชกผู้สมณมุณฑิกาบุตร เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ จักเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้
ความจริงแล้ว การที่จะเป็นสมณะ เป็นผู้ที่มีกุศลอย่างยิ่งนั้น เป็นเรื่องของการดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ไม่ใช่ว่าเพียงอาการที่ไม่กระทำกรรมชั่วด้วยกาย หรือว่าไม่กล่าววาจาชั่ว ไม่ดำริถึงความดำริชั่ว ไม่เลี้ยงชีพชั่วเท่านั้น แต่จะต้องคิดถึงกิเลสที่สะสมอยู่ในจิต ดับหมดหรือยัง ถ้ายังดับไม่หมด เพียงในขณะที่ไม่ทำกรรมชั่วด้วยกาย ไม่กล่าววาจาชั่ว ไม่ดำริถึงความดำริชั่ว ไม่เลี้ยงชีพชั่วเท่านั้น จะกล่าวว่าผู้นั้นมีกุศลสมบูรณ์ หรือว่ามีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ กล่าวอย่างนี้ยังไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้นไม่ได้กระทำ แต่กิเลสยังมีเต็มอยู่ในจิตใจที่ยังไม่ได้ดับหมด เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม การฟังธรรม เป็นเรื่องละเอียดจริงๆ ซึ่งพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดนั้น เพื่อเกื้อกูลให้พุทธบริษัทมีความเข้าใจถูกในสภาพธรรม เพื่อที่จะได้ประพฤติหนทางที่ถูก และดับกิเลสได้จริงๆ
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร นายช่างไม้ เราบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการว่า มิใช่ผู้มีกุศลสมบูรณ์เลย ไม่ใช่ผู้มีกุศลอย่างยิ่ง มิใช่เป็นสมณะผู้ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ก็แต่ว่าบุคคลผู้นี้ยังดีกว่าเด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกร นายช่างไม้ บุคคลในโลกนี้ไม่ทำกรรมชั่วด้วยกาย ไม่กล่าววาจาชั่ว ไม่ดำริถึงความดำริชั่ว ไม่เลี้ยงชีพชั่ว เราบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลว่า มิใช่ผู้มีกุศลลมบูรณ์ มิใช่ผู้มีกุศลอย่างยิ่ง มิใช่เป็นสมณะผู้ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ก็แต่ว่าบุคคลผู้นี้ยังดีกว่าเด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่
นี่คือ ท่านผู้ฟังดีกว่าเด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แต่ว่าเมื่อกิเลสยังไม่ได้ดับหมดเป็นสมุจเฉท ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่มีกุศลสมบูรณ์ ไม่ใช่ผู้ที่มีกุศลอย่างยิ่ง มิใช่เป็นสมณะผู้ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร นายช่างไม้ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้
ดูกร นายช่างไม้ ข้อที่ศีลเหล่านี้เป็นอกุศล ศีลเป็นอกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ศีลเป็นอกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งศีลเป็นอกุศล เรากล่าวว่าควรรู้
ข้อที่ศีลเหล่านี้เป็นกุศล ศีลเป็นกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ ศีลเป็นกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งศีลเป็นกุศล เรากล่าวว่าควรรู้
ข้อที่ความดำริเหล่านี้เป็นอกุศล ความดำริเป็นอกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ความดำริเป็นอกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งความดำริเป็นอกุศล เรากล่าวว่าควรรู้
ข้อที่ความดำริเหล่านี้เป็นกุศล ความดำริเป็นกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ ความดำริเป็นกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งความดำริเป็นกุศล เรากล่าวว่าควรรู้
นี่เรื่องของการเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า ศีล คือ ความประพฤติเป็นไปทางกายทางวาจา ที่เป็นอกุศล มีสมุฏฐานแต่จิต เวลาที่จิตเป็นอกุศล กายก็เป็นทุจริต วจีก็เป็นทุจริต เป็นอกุศลจิต เป็นอกุศลศีล
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ศีลเป็นอกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งศีลเป็นอกุศล เรากล่าวว่าควรรู้ ถ้าไม่รู้จะดับได้ไหม เวลาที่อกุศลจิตเกิดขึ้น หรือว่ากายทุจริต วจีทุจริตเป็นไปตามกำลังของอกุศลเกิดขึ้นแล้ว สติก็จะต้องระลึกรู้ เพื่อดับ เพื่อละ และจึงจะรู้ว่า ศีลเป็นอกุศลดับหมดสิ้นในที่นี้
หรือแม้แต่ข้อที่ว่า ศีลเหล่านี้เป็นกุศล ศีลเป็นกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ ศีลเป็นกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งศีลเป็นกุศล เรากล่าวว่าควรรู้
แม้แต่กุศลจิต ก็ไม่ใช่ตัวตน ถ้าไม่รู้ ก็เป็นเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด เป็นความเข้าใจผิด ไม่ใช่การดับกิเลส ถ้าตราบใดที่ยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล จะไม่มีโอกาสดับกิเลสอะไรได้เป็นสมุจเฉท
เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรรู้ และผู้ที่ปฏิบัติจนกระทั่ง แม้ความดำริที่เป็นอกุศล แม้ความดำริที่เป็นกุศล มีสมุฏฐานแต่จิต ความดำริที่เป็นอกุศล ความดำริที่เป็นกุศลดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งความดำริเป็นอกุศล เป็นกุศล เรากล่าวว่าควรรู้
เป็นเรื่องของการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ไม่ว่าขณะนั้นจะเป็นอกุศล เป็นกุศล เป็นความดำริ เป็นกายกรรม วจีกรรม อย่างไรก็ตาม
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร นายช่างไม้ ก็ศีลที่เป็นอกุศลนั้นเป็นไฉน
ถ้าท่านศึกษาธรรมโดยละเอียด ท่านจะทราบความเป็นจริงของกายกรรม วจีกรรมที่เป็นอกุศลศีล หรือกุศลศีล ซึ่งส่วนมากท่านผู้ฟังจะเข้าใจว่า ศีลเป็นกุศลอย่างเดียว ศีลที่เป็นกุศล หมายความถึงเฉพาะศีลที่จะขัดเกลากิเลส จึงเป็นกุศล แต่ว่าธรรมดาแล้ว ศีลหมายความถึงความประพฤติของกายของวาจา ถ้าเป็นทุจริต ก็เป็นอกุศล ถ้าเป็นสุจริต ก็เป็นกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่จะดับกิเลส ก็ต้องเจริญศีล อบรมศีลที่เป็นกุศล
ใน วิสุทธิมรรค ตามชื่อก็คือหนทางปฏิบัติ เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเพราะฉะนั้น ในวิสุทธิมรรคก็กล่าวถึงเฉพาะเรื่องของศีลที่เป็นกุศล และในข้อธรรมหมวดอื่นซึ่งเป็นการขัดเกลาดับกิเลสก็กล่าวถึงศีลที่เป็นกุศล แต่ว่าข้อความในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสถึงทั้งศีลที่เป็นอกุศลและศีลที่เป็นกุศล ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสกับนายช่างไม้ปัญจกังคะว่า
ดูกร นายช่างไม้ ก็ศีลที่เป็นอกุศลนั้นเป็นไฉน
ดูกร นายช่างไม้ กายกรรมเป็นอกุศล วจีกรรมเป็นอกุศล การเลี้ยงชีพชั่วเหล่านี้ เรากล่าวว่าศีลเป็นอกุศล
ก็ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้มีอะไรเป็นสมุฏฐาน แม้สมุฏฐานแห่งศีลเป็นอกุศลเหล่านั้น เรากล่าวแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า มีจิตเป็นสมุฏฐาน
จิตเป็นไฉน ถึงจิตเล่าก็มีมาก หลายอย่าง มีประการต่างๆ
จิตใดมีราคะ โทสะ โมหะ ศีลเป็นอกุศล มีจิตนี้เป็นสมุฏฐาน ก็ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้ดับลงหมดสิ้นในที่ไหน แม้ความดับแห่งศีลที่เป็นอกุศลเหล่านั้น เราก็ได้กล่าวแล้ว
ดูกร นายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต ละมิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะ
ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้ ดับลงหมดสิ้นในการละทุจริต เจริญสุจริต และการละมิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะนี้
ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งศีลที่เป็นอกุศล
ดูกร นายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น
ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว
ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพี่อความเจริญเพื่อความเต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ดูกร นายช่างไม้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อการดับแห่งศีลที่เป็นอกุศล
ท่านผู้ฟังอย่าคิดว่า ไม่ใช่ท่านผู้ฟังขณะนี้ ขอให้ทบทวนพยัญชนะที่ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
ท่านผู้ฟัง ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น ใช่ไหม ที่เป็นผู้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้ เพื่อเหตุนี้ใช่หรือไม่ใช่